วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2565

นพ.เหวง โตจิราการ : รำลึกถึง “วัฒน์ วรรลยางกูร” ในบางมุมจากความทรงจำ


รำลึกถึง “วัฒน์ วรรลยางกูร” ในบางมุมจากความทรงจำ


มิตรสหายจำนวนมากได้เขียนถึงวัฒน์ในหลากหลายมิติ ในหลากหลายแง่มุม

ผมได้ตามอ่านดูแทบจะทุกข้อเขียน

ผมจึงมานั่งนึกใคร่ครวญดูว่าหากผมเขียนถึง “วัฒน์ วรรลยางกูร”

ผมน่าจะเขียนในแง่มุมไหน อย่างไร

หลังจากที่คิดพิจารณาไตร่ตรองดูแล้ว

ผมคิดว่า ผมจะนำเอา ห้วงเวลาแห่งชีวิตที่

ผมอยู่ใกล้ชิด “วัฒน์ วรรลยางกูร” มากที่สุดมาเขียนรำลึกวัฒน์

นั่นคือช่วงชีวิตที่อยู่ในเขตงานอิสานเหนือ

และดูเหมือนจะยังไม่มีมิตรสหายท่านใดได้เขียนเอาไว้

ยกเว้นตัววัฒน์เองที่ได้เขียนเอาไว้บ้างจำนวนหนึ่ง

แต่นี่เป็นระยะเวลาอันยาวนานมากแล้ว (ร่วม 44-45 ปี)

ดังนั้นความทรงจำบางเรื่องอาจจะไม่แม่นยำ

จึงขอให้มิตรสหายที่ยังคงจดจำได้แม่นยำหรือมีที่ถูกต้อง

ได้ช่วยเสนอแนะแก้ไขอย่างสร้างสรรค์ด้วยครับ


ผมเข้าป่าโดยเข้าทางจังหวัดน่าน

ผมเดินทางจากเขตงานน่านไปถึงภูพาน

เขตงานอิสานเหนือในราวปี 20-21

ก่อนที่ วัฒน์ วรรลยางกูร จะเข้าไป

ในระยะแรกที่ผมไปถึงนั้น ยังไม่มีหน่วยงานทางด้านวัฒนธรรม ยังไม่มีสำนักหนังสือพิมพ์เพื่อออกหนังสือพิมพ์ประจำ (รายปักษ์หรือรายสัปดาห์) ไม่มีหน่วยศิลป์ ไม่มีหน่วยฉายหนังเคลื่อนที่ ไม่มีสำนักแพทย์ ไม่มีโรงเรียนเด็กเล็ก ฯลฯ เนื่องจากขาดแคลนปัญญาชนและเงื่อนไขทางวัตถุที่จำเป็น

แต่กระแสใหญ่ของนักศึกษาปัญญาชนที่เคียดแค้นชิงชังฝ่ายขวาจัดอำนาจนิยมที่ก่อเหตุการณ์ 6ตุลา19 ผลักดันให้นักศึกษาปัญญาชนหลั่งไหลเข้าป่าจำนวนมาก

ทางเขตงานอิสานเหนือก็ได้ต้อนรับ วัฒน์ วรรลยางกูร

และนักศึกษาปัญญาชนคนอื่น ๆ อีกจำนวนมาก

ฝ่ายนำที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงในทางวัฒนธรรม

จึงเห็นช่องทางในการผลักดันให้เกิดกระแสการเคลื่อนไหวทางด้านวัฒนธรรมในเขตงานอิสานเหนือ


“วัฒน์ วรรลยางกูร” เป็นทรัพยากรบุคคลสำคัญที่ทำให้ฝ่ายนำตัดสินใจในการก่อตั้งสำนักพิมพ์เพื่อทำหน้าที่ในการเผยแพร่โฆษณายกระดับงานเคลื่อนไหวมวลชนให้ทรงพลังยิ่งขึ้น 

ทำให้เกิดสำนัก “ธงปฎิวัติ” ขึ้น (ผมไม่แน่ใจว่า ชื่อธงปฏิวัติ เป็นชื่อที่วัฒน์ คิดขึ้นมาหรือเปล่า)

“ธงปฏิวัติ” มีบทบาทในการเพิ่มชีวิตชีวาของการเคลื่อนไหวต่อสู้ของเขตงานอิสานเหนืออย่างมาก เพราะผมในหน่วยแพทย์ได้มีโอกาสสนทนากับพลพรรคพคท.และมวลชนอยู่ไม่น้อย จึงได้เห็นผลสะเทือนทางความนึกคิดจิตใจของหนังสือพิมพ์ “ธงปฏิวัติ” ที่วัฒน์ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญและเป็นคนเขียนเรื่องราวในนั้นเป็นส่วนใหญ่

นอกจากนี้ วัฒน์ ยังได้ทำงานสำคัญ คือ ฝึกฝนยกระดับ สหายพื้นฐานในป่า ให้สามารถทำหน้าที่นักข่าว ผู้สื่อข่าว เขียนคอลัมน์ เขียนบทความ เขียนเรื่องสั้น เขียนบทกลอน ประพันธ์เพลง

วัฒน์ จึงเป็นแม่ทัพหน้าของกระบวนทัพทางวัฒนธรรมในเขตงานอิสานเหนือย่างโดดเด่นสง่างาม

ผมจำได้ว่า วัฒน์ วรรลยางกูร เข้ามาในเขตงานอิสานเหนือ

พร้อมกับ บทเพลงอันทรงพลัง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน”

ผมได้รับฟังครั้งแรกจาก “รายการวิทยุเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย”

เพื่อนมิตรที่เข้าป่าอิสานเหนือมีจำนวนมากที่มีความสามารถทางดนตรี จึงมีการจัดตั้งวงดนตรี 66 ขึ้นมา ในระยะเวลาไม่นานนัก

วงดนตรี 66 ได้นำเพลง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน” ไปแสดงให้นักรบและมวลชนได้รับชมรับฟัง ครั้งแล้วครั้งเล่า เกือบจะทุกครั้งที่มีงานแสดง

บทเพลงดังกล่าว ปลุกพลังสู้รบของทั้งนักรบและมวลชน

ทั้งสร้างความเข้าใจในเวลาที่สั้นที่สุดต่อคำถามของมวลชนในป่าว่า

ทำไมนักศึกษาปัญญาชนจำนวนมากมาย

จึงหลั่งไหลเข้าป่าไปจับปืนร่วมสู้กับพคท.”

สำหรับผม งานประพันธ์เพลง “จากลานโพธิ์ถึงภูพาน”

เป็นหมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนไทยที่ต้องการการปลดปล่อยเลยทีเดียว

นักศึกษาปัญญาชนที่หลั่งไหลเข้าทางเขตงานอิสานเหนือ

ล้วนแล้วแต่เป็นเยาวชนที่อยู่ในวัยหนุ่มสาว

เปรียบเสมือนดอกไม้แรกแย้มไม่ว่าชายหรือหญิง

ผมได้เห็น “ความรักแห่งอุดมการณ์” ค่อย ๆ ตั้งดอกตูม

งอกงาม เจริญเติบโตและผลิดอกออกผล

อย่างสวยสดงดงามในเขตงานอิสานเหนือ

ผมได้เห็นการก่อเกิดความรักอันงดงามของสหายร้อย (วัฒน์ วรรลยางกูร) กับสหายรุ่งโรจน์ ที่บ่มเพาะด้วยเปลวเพลิงของสงครามปฏิวัติจนสุกงอมและเจริญเติบโตเป็นจนเป็นครอบครัวอันงดงาม

นี่อาจจะเป็นแรงบันดาลใจอันสำคัญของ วัฒน์ หรือไม่?

ในการประพันธ์หนังสือ “ด้วยรักแห่งอุดมการณ์” ที่โด่งดังของเขา

ภายหลังกลับจากเขตป่าเขา

นกปีกหัก” ทั้งหลายต้องใช้เวลาในการเยียวยารักษาบาดแผล

และตั้งตัวตั้งครอบครัวกันอยู่อย่างยากลำบากและยาวนาน

ทำให้ผมและวัฒน์ไม่ค่อยได้พบเจอกันบ่อยนัก

แต่ได้พบกับ วัฒน์ บ้างในช่วงที่วัฒน์กำลังทำหนังสือ

ชีวประวัติของพี่ไขแสง สุกใส นักต่อสู้ชั่วชีวิตของประชาชนอีกคนหนึ่ง

ซึ่งก็สำเร็จออกมาเป็น หนังสือ “ลูกผู้ชายหัวใจไม่ผูกเชือก”

ที่พี่ไขแสง สุกใส ภาคภูมิใจเป็นนักเป็นหนา

และพี่ไขแสงจะคุยถึงหนังสือเล่มนี้ที่วัฒน์เรียบเรียงออกมาอยู่เนือง ๆ

ตอนหลังเมื่อวัฒน์ลี้ภัยการเมืองไปอยู่ฝั่งลาว

ผมก็คอยเฝ้าติดตามข่าวคราวมาโดยตลอด

และหลังจากที่ พวกขวาจัดอำนาจนิยม ฆ่า สุรชัย แซ่ด่าน ภูชนะ และ กาสะลอง

ผมก็เป็นห่วงวัฒน์และเพื่อนมิตรที่หนีร้อนไปพึ่งเย็นทั้งหมดเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อทราบว่าวัฒน์ลี้ภัยไปฝรั่งเศสสำเร็จก็ดีใจ

ที่ดีใจเป็นอย่างยิ่งก็คือที่ฝรั่งเศสมอบสถานะผู้ลี้ภัยให้กับวัฒน์

และวัฒน์กำลังคร่ำเคร่งกับการรวบรวมประสบการณ์ในการต่อสู้กับพวกขวาจัดอำนาจนิยมในระหว่างการลี้ภัยอยู่เจ็ดปี

ผมถือว่าการลี้ภัยนั้นเป็นการต่อสู้ในอีกรูปแบบหนึ่งกับพวกขวาจัดอำนาจนิยมและพวกเขาไม่ได้อยู่นิ่งเฉย แต่ได้ทำการต่อสู้ทางด้านการเมืองวัฒนธรรมและทางความคิดกับพวกขวาจัดอำนาจนิยมอยู่ตลอดเวลา

ผมทราบจากวัฒน์ว่า ทำเสร็จแล้ว

กำลังรอพิมพ์เป็นรูปเล่มอยู่


ผมก็เฝ้ารอที่จะอ่านจะศึกษา “เจ็ดปีแห่งการลี้ภัยเพื่อต่อสู้กับเผด็จการขวาจัดอำนาจนิยม” อยู่อย่างกระหายยิ่งครับ


นพ.เหวง โตจิราการ

2 เม.ย. 65


#วัฒน์วรรลยางกูร

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์