“หมออ๋อง” ซัดกลับ “ศรีสุวรรณ” ร้องยุบพรรคก้าวไกลกล่าวหานำสถาบันฯหาเสียง เป็นเท็จ
ตั้งข้อสังเกตรับลูกใครมาหรือไม่ เผยขอรอดูสำนวน หากฟ้องเท็จเจอฟ้องกลับ
วันที่
21 มีนาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปดิพัทธ์
สันติภาดา หรือหมออ๋อง ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล
ตอบโต้กรณีที่ ศรีสุวรรณ จรรยา ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)
ให้สอบสวนตนพร้อมกล่าวหาว่ามีการปราศรัยหาเสียงพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งมีโทษถึงขั้นยุบพรรค โดยระบุว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ตนได้รับเชิญจากชมรมโรงฝึกพลเมืองพิษณุโลก
ซึ่งเป็นองค์กรที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของชาวพิษณุโลก
และเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวพิษณุโลกสามารถเข้ามาซักถามพูดคุยกับผู้สมัครจากพรรคการเมืองต่างๆ
ได้ โดยตนเป็นคนแรกที่ถูกเชิญเข้าร่วมกิจกรรม โดยมีการถามคำถามเกี่ยวกับ 1)
ปัญหาที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
จากประสบการณ์ที่ได้เป็น ส.ส. 2) นโยบายที่จะทำให้พิษณุโลกเจริญขึ้น
และ 3) มีนโยบายการกระจายอำนาจและการปราบปรามการทุจริตอย่างไร
ซึ่งในงานดังกล่าว
ได้มีการเชิญประชาชนจากทุกกลุ่มมารับฟังวิสัยทัศน์
โดยหนึ่งในกลุ่มที่ถูกเชิญเข้ามาร่วมซักถามพูดคุยด้วยก็คือกลุ่มของ แน่งน้อย
อัศวกิตติกร แกนนำศูนย์ช่วยเหลือทางกฎหมายผู้ถูกล่วงละเมิดทางสังคมออนไลน์ (ศชอ.)
ซึ่งมีบทบาทไล่ฟ้องประชาชนทั่วประเทศด้วยมาตรา 112 ตลอดเวลาที่ผ่านมา
หลังจากการพูดคุยนโยบายตามคำถามหลักเสร็จแล้ว
ได้มีการเปิดโอกาสให้ประชาชนร่วมซักถาม ซึ่งในส่วนของแน่งน้อย
ได้พูดต่อว่าผู้จัดงาน หาว่าหลอกให้มาฟังหาเสียง ก่อนใช้ท่าทีที่เต็มไปด้วยโทสะ
ถามคำถามกับตนว่าเหตุใดต้องไปประกันตัวคนที่ถูกแจ้งข้อหามาตรา 112 และเหตุใดจึงต้องมีนโยบายแก้ไขมาตรา
112 ซึ่งตนได้ตอบคำถามนี้แบ่งออกเป็น 3 ประเด็น คือ
1)
การประกันตัวผู้ต้องหาทางการเมือง ทำเพื่อยืนยันในหลักการนิติธรรม
ที่ว่าตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยย่อมต้องได้รับการสันนิษฐานก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และการไม่ได้รับสิทธิประกันตัว
ก็คือความบกพร่องในกระบวนการยุติธรรม และด้วยความเป็นคดีทางการเมือง
ที่หลายคนมองว่าไม่เข้าข่ายที่จะเป็นความผิดได้
จึงยิ่งต้องมีสิทธิได้รับการประกันตัวให้ออกมาต่อสู้คดีอย่างเป็นธรรม
2)
ตนได้อธิบายจุดยืนของพรรคก้าวไกลต่อมาตรา 112 พร้อมอธิบายว่ามีปัญหาทั้งตัวบทและการบังคับใช้อย่างไรบ้าง
3)
ปัญหาของงบประมาณที่เกี่ยวของกับสถาบันพระมหากษัตริย์และโครงการพระราชดำริ
ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในรอบหลายปีที่ผ่านมา และยังตรวจสอบได้ยาก
ซึ่งตนได้อธิบายว่านี่คืองบประมาณที่ใช้โดยหน่วยงานต่างๆ ไม่ใช่การใช้จ่ายของส่วนพระองค์
จึงควรต้องได้รับการตรวจสอบเพื่อความโปร่งใส
โดยเฉพาะในโครงการที่มีการนำคำว่าในพระราชดำริมาใช้
ซึ่งหลายโครงการพบว่าเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่สมเหตุสมผล
ถ้าไม่เข้าไปตรวจสอบจะเป็นที่มาของการทุจริตโดยหน่วยงานต่างๆ ได้
“ผมขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ และขอยืนยันว่าทั้งหมดที่พูดไปไม่ใช่การหาเสียง
และไม่อยู่ในวาระของการจัดงานด้วยซ้ำ แต่เกิดขึ้นจากการถาม-ตอบนอกรอบ
เป็นวาระที่เกิดขึ้นการแน่งน้อยและพวกที่เป็นฝ่ายขวาที่จ้องจะทำลายขบวนการประชาธิปไตยและพรรคก้าวไกล
ที่ส่งลูกต่อให้คนอย่างศรีสุวรรณ ที่ไม่ได้เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือในสังคมอะไรมานานแล้วนำมาดำเนินการต่อ”
ปดิพัทธ์กล่าว
ปดิพัทธ์
กล่าวว่า สิ่งที่น่าตั้งข้อสังเกต
คือการยื่นคำร้องของศรีสุวรรณที่รับลูกมาจากแน่งน้อยในครั้งนี้
มีประโยชน์อื่นใดแอบแฝงหรือไม่ ซึ่งจากนี้ตนจะรอดูสำนวนจากทาง กกต.
และหากพบว่าเป็นการยื่นคำร้องเท็จ ก็จะดำเนินคดีกลับต่อศรีสุวรรณและแน่งน้อยแน่นอน
เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ตามปกติ
แต่เป็นการจงใจสร้างภาระทางคดีให้กับพรรคก้าวไกลโดยไม่จำเป็น
และยังกล่าวหาในเรื่องที่พรรคก้าวไกลไม่ได้ทำ ถือเป็นความเสียหายต่อทั้งพรรคก้าวไกลและตนเอง
ทั้งนี้ มาตรการในการดำเนินคดีจะเป็นอย่างไร หรือจะดำเนินการฟ้องกลับหรือไม่
ทางพรรคจะไตร่ตรองอีกครั้งหลังจากได้รับสำนวน
ปดิพัทธ์ยังกล่าวต่อไปว่า
การยื่นคำร้องเพื่อพยายามนำไปสู่การยุบพรรคก้าวไกลไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก
แต่เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้วด้วยข้อหาที่ไร้สาระ
ซึ่งทางพรรคก้าวไกลก็มีความพร้อมที่จะต่อสู้และเข้าสู่การเลือกตั้ง
จึงไม่มีอะไรที่น่ากังวลในกรณีนี้
สุดท้ายนี้
ตนเรียกร้องไปยัง กกต. ว่าในเมื่อ กกต. ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรอิสระแล้ว
การวินิจฉัยในการรับคำร้อง การชี้มูล การตั้งกรรมการสอบ จนถึงการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญ
จะต้องดำเนินไปด้วยความเป็นกลาง
ไม่ใช่ทำตัวเป็นเครื่องมือในการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล หาก กกต.
พิสูจน์ตัวเองในข้อนี้ได้
ประชาชนก็จะมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้งในครั้งนี้มากขึ้นด้วย