“ณัฐวุฒิ”
ชี้! พฤติกรรมส่อเจตนา
มีเรื่องตกค้างอะไรนักหนาถึงต้องรีบยัดเข้าที่ประชุมครม.นัดสุดท้าย
เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน หรือเกี่ยวกับปากท้องของใคร?
เมื่อวันที่
14 มีนาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย
ได้กล่าวผ่านยูทูป ทางช่อง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ Official รายการ
หัวใจไม่หยุดเต้น EP. ในประเด็น : ครม.ทิ้งทวน
ชวนกันงาบงบประมาณ? โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวในรายการว่า
ในที่สุดเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงนะครับ
รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา ประชุมครม.เป็นนัดสุดท้ายของวาระรัฐบาลรอบนี้ วันที่ 14 มีนาคม
แต่ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่อยากจะให้เป็นนัดสุดท้ายของประวัติศาสตร์
นัดสุดท้ายของชีวิต ไม่ต้องเจอรัฐบาลชุดนี้อีกเลยตราบนานเท่านาน...
ไม่ได้พูดเกินเลย
แต่สภาพความเสียหาย การไร้ความสามารถที่พิสูจน์ชัดมาตลอด 8 ปี
ทำให้คนรู้สึกแบบนี้จริง ๆ
ซึ่งการที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเช่นนั้นได้
มีวิธีการเดียวครับ คือประชาชนต้องเทคะแนนไปที่ใดที่หนึ่ง
ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย
ผมเชื่อว่า
“รวมไทยสร้างชาติ” หรือ “พลังประชารัฐ” ต้องเป็นฝ่ายค้าน 2 ลุง
คือ “ประยุทธ์” กับ “ประวิตร” เปิดตูดกลับบ้านแน่นอน!
ถ้าไม่มีสองคนนี้ในทั้งสองพรรค
“รวมไทยสร้างชาติ” และ “พลังประชารัฐ” ก็คงถึงกาลอวสาน
ดังนั้น
การเปลี่ยนข้างตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยจึงมีความหมายในหลายนัย
ทั้งการส่งพล.อ.ประยุทธ์ ส่งพล.อ.ประวิตร และคณะ 3ป กลับบ้าน
และเป็นการยุติบทบาทของพรรคการเมืองที่เป็นซากเดนจากการรัฐประหารสืบทอดอำนาจต่อเนื่องกันมา
นี่คือความหมายที่แท้จริงของมัน
และนี่จึงเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญที่ฝ่ายรัฐประหารเขาก็ยอมพลาดไม่ได้ง่าย ๆ
เหมือนกัน
เที่ยวนี้เราจึงจะเห็นการใช้กระสุนดินดำ
ใช้ทรัพยากรมหาศาลในสนามเลือกตั้ง การใช้อำนาจรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครองหรือฝ่ายความมั่นคงตลอดจนส่วนงานอื่น ๆ
ที่จะเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนคะแนนเสียงของประชาชน จะมีอยู่ทั่วไปแน่ ๆ
จะต่างกันก็ตรงที่ว่าเอกภาพของอำนาจคงไม่เหมือนการเลือกตั้งเมื่อปี
2562 เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ กับ พล.อ.ประวิตร แยกทางกันเดินคนละพรรค
แต่ยังไงก็ตามผลในทางปฏิบัติเป็นอย่างเก่านะครับ คือพวกเขาจะกลุ้มรุมพรรคหลักของฝ่ายค้าน
นั่นก็คือ “พรรคเพื่อไทย”
ถ้า
“เพื่อไทย” แลนด์สไลด์เกินครึ่งหรือไปถึง 310
ที่นั่งอย่างที่เพิ่งประกาศกันมา
แน่นอนว่าทั้งคู่ต้องเป็นฝ่ายค้านกลับบ้านเลี้ยงหลาน แต่ถ้า “เพื่อไทย”
ไม่ถึงครึ่ง ทั้งคู่มีสิทธิ์ลุ้นเป็นนายกรัฐมนตรีนะครับ วัดกันก็แต่ว่าระหว่าง
“พลังประชารัฐ” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” ใครจะได้คะแนนเสียงมามากกว่า
สมการพื้นฐานในสนามเลือกตั้งยังเป็นอย่างเดิมนะครับ
คือ
พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน
= อำนาจนิยม
พรรคร่วมฝ่ายค้าน
= เสรีนิยม
การจะข้ามห้วยมาบวกกันให้เท่ากับรัฐบาลชุดใหม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นได้ยากมาก
ๆ เพราะถึงที่สุดประชาชนจะตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่งให้ชัด ให้ขาดกันไปเลย!
กลับมาดูที่การประชุมครม.นัดสุดท้ายนะครับ
ขณะที่ผมนั่งบันทึกเทปอยู่นี้การประชุมยังไม่เสร็จสิ้น
แต่กระแสข่าวก่อนหน้าคือจะมีการเอาวาระจรเข้าสู่การพิจารณาเป็น 100
กว่าวาระ ไม่รู้ว่าจะจบลงที่ตัวเลขงบประมาณอนุมัติกันไปเท่าไหร่
แต่ละโครงการของแต่ละพรรคร่วมรัฐบาลจะสำเริงสำราญกันขนาดไหน
เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเคยเกิด
มีให้เห็นมาแล้วในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับการประชุมครม.นัดสุดท้าย
คราวนั้นประชุมกันตั้งแต่ 8 โมงเช้า ไปเลิกเอา 5 ทุ่ม
ถือว่าเป็นการประชุมครม.ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของการเมืองไทย
มีวาระจรเข้าพิจารณา 300 กว่าวาระ อนุมัติงบประมาณทั้งสิ้น 6 แสนกว่าล้านบาท
เที่ยวนี้ต้องตามดูว่าเลขที่ออกคืออะไร
ผมไม่ได้กล่าวหาล่ะครับว่ารัฐบาลจะมีนอกมีในกับวาระจรกับตัวเลขงบประมาณเหล่านี้
แต่พฤติกรรมมันส่อเจตนา คุณอยู่ในอำนาจมาทั้งหมด 8 ปี
รัฐบาลผสมชุดนี้อย่างน้อยก็ 4 ปีเต็มเข้าไปแล้ว
มันมีเรื่องตกค้างอะไรนักหนาถึงต้องรีบยัดกันเข้ามาในวันสุดท้าย
มันเกี่ยวกับปากท้องของประชาชนหรือเกี่ยวกับปากท้องของผู้มีอำนาจคนไหน? พรรคไหน?
นี่เหรอครับแบบที่คนดี
ๆ เขาทำกัน ไอ้อย่างเนี้ยวัยรุ่นแถวบ้านเขาเรียก “ดีออก”
แล้วคนดีที่พวกนี้ยังไม่คิดจะออกด้วยนะครับ คิดจะอยู่ต่ออีกอย่างน้อย 4 ปี
หลังจากนี้ก็คงจะเห็นนักการเมือง
พรรคการเมืองทั้งหลายตระเวนลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนต่อสู้กันอย่างเข้มข้น
ส่วนตัวผมอยากให้บรรยากาศในสนามเลือกตั้งเป็นไปอย่างสร้างสรรค์นะครับ
จะคิดเหมือนคิดต่างกันก็สามารถมีพื้นที่จัดแสดงบทบาทกันได้โดยเสรี
ประชาชนพิจารณาแล้วไปตัดสินใจกากันในวันเลือกตั้ง
แต่เหตุที่เพิ่งเกิดที่ราชบุรีคิดว่าเรื่องนี้ฝ่ายรัฐต้องชี้แจงนะครับว่าหนักมือไปหรือเปล่า?
เกินกว่าเหตุไปหรือไม่?
ภาพการฉุดกระชากลากถูกันไปแบบนั้นที่มันเกิดขึ้นโดยรัฐกระทำต่อประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องที่สร้างสรรค์
หรือควรที่จะให้มันเกิดขึ้นอีกต่อไป
นายกฯ
นี่ก็เหลือเกินนะครับ ผมเห็นข่าวที่ราชบุรีไปยืนคุยกับหมา ยืนคุยกับควายนี่คุยได้
แต่ที่กับชาวบ้านนี่ไม่ยอมคุย ที่จริงภาพนายกฯ
ไปยืนคุยกับหมากับควายก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรนะครับ
เพราะว่าแกคุยกับสารพัดสัตว์มาแล้ว แต่สิ่งที่ผมคาใจอยู่บ้างก็คือ จู่ ๆ
ขึ้นเวทีประกาศกระจายอัตราความโง่ให้คณะรัฐมนตรีทั้ง 36 คน
ใครไม่สะดุ้งก็เกินไปนะครับ
นายกฯ
บอกว่าถ้าใครว่านายกฯ “โง่” ก็แสดงว่าที่ผ่านมา “โง่” กันทั้งคณะรัฐมนตรีนี่แหละ
จะหาผู้นำที่ใจกว้าง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ขนาดนี้ได้ที่ไหนครับ
คำขวัญในการทำงานนอกจากประกาศว่าไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังแล้ว
จะไม่ยอมให้ใครฉลาดสักคนเดียวด้วย!
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ณัฐวุฒิใสยเกื้อ #เลือกตั้ง66 #เพื่อไทย