วันศุกร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2566

“ชูวิทย์” บุก กกต. ส่งหลักฐานยุบพรรค “ภูมิใจไทย” เข้าข่ายความผิดตาม ม.72 ประกาศพร้อมต่อสู้แม้โดนฟ้องทั้ง 400 เขต

 


“ชูวิทย์” บุก กกต. ส่งหลักฐานยุบพรรค “ภูมิใจไทย” เข้าข่ายความผิดตาม ม.72 ประกาศพร้อมต่อสู้แม้โดนฟ้องทั้ง 400 เขต


วันที่ 17 มีนาคม 2566 ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำหลักฐานเกี่ยวกับการรับบริจาคเงินของพรรคภูมิใจไทยบัญชีทรัพย์สินของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาพรรคภูมิใจไทย และเอกสารโอนเงินโอนหุ้นของบริษัทที่พบว่านายศักดิ์สยามเป็นเจ้าของยื่นให้ กกต. พิจารณายุบพรรคภูมิใจไทย เนื่องจากเห็นว่าเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 72 ห้ามมิให้พรรคการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรจะรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่ามีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ก่อนที่จะแถลงข่าวนายชูวิทย์ได้นำสบู่และกะละมังมาโชว์การล้างมือเพื่อตอบโต้พรรคภูมิใจไทยว่าตนมือสกปรกรับงานมาจากบุคคลอื่นเพื่อทำลายชื่อเสียงของพรรค พร้อมนำเทปกาวสีดำมาปิดปาก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่านายชูวิทย์ถูกปิดปากไม่ให้พูดกรณีที่พรรคภูมิใจไทยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะฟ้องกลับตน


โดยนายชูวิทย์ ยกตัวอย่างถึงการเข้าข่ายความผิดในมาตราดังกล่าว พบว่านายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ซึ่งเป็นเพื่อนของนายศักดิ์สยามแต่มีพฤติการณ์เป็นนอมินีถือหุ้นแทนนายศักดิ์สยาม ในบริษัท บุรีเจริญคอนสตรัคชั่น ซึ่งเป็นบริษัทที่ประมูลงานชนะในกระทรวงคมนาคมระหว่างปี 2562-2564 รวม 104 โครงการมูลค่ากว่า 1,568 ล้านบาทจากนั้นบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย 4,800 ล้านบาทและยังพบว่าเป็นพนักงานของ บริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ 1991 จำกัด มีเงินเดือน 9,000 บาท แต่กลับบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทยกว่า 2.7 ล้านบาท


นอกจากนั้นยังพบว่านายศักดิ์สยามในฐานะกรรมการบริหารบริหารบริษัทศิลาชัยฯ โอนหุ้นของบริษัทบุรีเจริญฯ จำนวน 119 ล้านบาทโดยไม่มีค่าตอบแทนให้กับนายศุภวัฒน์ และยังพบว่าบริษัทศิลาชัยฯโอนเงินบริจาคให้พรรคภูมิใจไทยอีก 4.7 ล้านบาท


นายชูวิทย์ กล่าวว่าพฤติการณ์ดังกล่าวพรรคภูมิใจไทย เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 72 เนื่องจากรู้ หรือควรจะรู้ หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเงินที่ได้รับบริจาคได้มาด้วยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากนายศักดิ์สยามเป็นเลขาพรรคและกระทำการนำเงินที่ได้มาโดยไม่ชอบเข้าพรรค


ทั้งนี้ตนพร้อมที่จะต่อสู้แม้ว่าพรรคภูมิใจไทยเตรียมให้ส.ส. ทั้ง 400 เขตฟ้องดำเนินคดีและจะเริ่มทำลายเสียงพรรคภูมิใจไทยทันที่ประกาศยุบสภา ส่วนการฟ้องดำเนินคดีกว่า 400 คดีเป็นคดีเอกภาพที่สามารถรวมเป็น 1 คดีได้เพราะเป็นความผิดเดียวกันและการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของพรรคภูมิใจไทยทั้งเรื่องกัญชา และรถไฟฟ้าถือว่าเป็นนโยบายสาธารณะ สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้


ขณะเดียวกันพรรคก้าวไกล และพรรคประชาชาติได้ยื่นยุบพรรคภูมิใจไทยต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามความผิดมาตรา144 และเชื่อว่าการยื่นของพรรคของพรรคก้าวไกล และการยื่นต่อ กกต. ของตนจะสามารถพิจารณาทันก่อนการเลือกตั้ง เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ


นอกจากนี้นายชูวิทย์ ยังกล่าวถึงประเด็นเรื่องนโยบายของกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทยที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค อ้างว่าให้กัญชาใช้ในทางการแพทย์ จากหลักฐานวิชาการกัญชาไม่ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยทางจิตเวชแต่ในปัจจุบันกลับพบว่ามีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากกัญชาเพิ่มขึ้น เช่นเหตุการณ์ล่าสุดที่พันตำรวจโทเกิดอาการคลุ้มคลั่งและก่อเหตุยิงในบ้านพัก ก็มีผลมาจากการเสพกัญชา


นายชูวิทย์ ยังบอกว่าได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวว่านายอนุทินนัดรับประทานอาหารแห่งหนึ่งย่านถนนบางนา-ตราด เมื่อวันที่ 15 มีนาคม เวลา 18.30 น. กับนายสันธนะ ประยูรรัตน์ ตนอยากถามว่าการนัดรับประทานอาหารครั้งดังกล่าวมีจุดประสงค์อะไร จะมาทำร้ายตนหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นตนก็ไม่กลัวเพราะตนทำหน้าที่ตามสิทธิของประชาชนในการตรวจสอบพรรคการเมือง


ก่อนที่นายชูวิทย์จะยื่นหนังสือถึง กกต. นายชูวิทย์ได้เดินรณรงค์กลางตลาดเพื่อชี้แจงเหตุผลที่ตนออกมาเคลื่อนไหววันนี้กับประชาชนที่เดินทางมาภายในศูนย์ราชการ ว่า ขออย่าให้เลือกพรรคภูมิใจไทย ตามเหตุผลที่ตนได้ชี้แจงเหตุผลกับสื่อมวลชนไปข้างตน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ชูวิทย์กมลวิศิษฎ์ #ภูมิใจไทย #กกต