วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2566

สวนดุสิตโพล เผย ก่อนยุบสภา คนไทยนิยมพรรค “เพื่อไทย” 46.16% ตามด้วย “ก้าวไกล” 15.43%

 


สวนดุสิตโพล เผย ก่อนยุบสภา คนไทยนิยม “เพื่อไทย” 46.16% ตามด้วย “ก้าวไกล” 15.43%


วันที่ 26 มีนาคม 2566 “สวนดุสิตโพล” มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ กรณี “คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด” จำนวนทั้งสิ้น 10,614 คน (สำรวจทางภาคสนาม) ระหว่างวันที่1-17 มีนาคม 2566 ก่อนที่จะประกาศยุบสภา สรุปผลได้ดังนี้


1. คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด (ก่อนยุบสภา) พบว่า


อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 46.16

อันดับ 2 พรรคก้าวไกล  ร้อยละ 15.43

อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 11.12

อันดับ 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 8.73

อันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 7.71

อันดับ 6 พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 7.11

อันดับ 7 พรรคไทยสร้างไทย ร้อยละ 1.43

อันดับ 8 พรรคชาติพัฒนากล้า ร้อยละ 0.53

อันดับ 9 พรรคเสรีรวมไทย  ร้อยละ 0.41

และพรรคอื่น ๆ ร้อยละ 1.37


2. คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด (ก่อนยุบสภา) : จำแนกตามอายุ พบว่า


อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 33.37 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 44.19 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 51.62 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 50.56 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 51.38


อันดับ 2 พรรคก้าวไกล อายุ อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 37.85 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 17.23 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 8.43 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 6.73 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 5.78


อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 8.66 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 12.94 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 13.32 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 10.53 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 7.49


อันดับ 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 5.99 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 7.71 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 7.68 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 11.80และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 12.30


อันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 5.87 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 8.33 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 7.39 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 8.29 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 9.04


อันดับ 6 พรรคพลังประชารัฐ อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 5.79 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 6.04 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 7.35 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 7.49 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 10.34


อันดับ 7 พรรคไทยสร้างไทย อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 0.86 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 1.31 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 1.60 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 1.45 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 2.20


อันดับ 8 พรรคชาติพัฒนากล้า อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 0.30 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 0.54 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 0.78 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 0.66 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 0.08


อันดับ 9 พรรคเสรีรวมไทย อายุ 18-30 ปี ร้อยละ 0.50 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 0.43 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 0.26 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 0.51 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 0.33


อันดับ 10 พรรคอื่น ๆ อายุ 18.30 ปี ร้อยละ 0.81 อายุ 31-40 ปี ร้อยละ 1.28 อายุ 41-50 ปี ร้อยละ 1.57 อายุ 51-60 ปี ร้อยละ 1.97 และอายุ 61 ปีขึ้นไป ร้อยละ 1.06


3. คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด (ก่อนยุบสภา) : จำแนกตามภูมิภาค พบว่า


อันดับ 1 พรรคเพื่อไทย กรุงเทพฯ ร้อยละ 43.58 ภาคกลาง ร้อยละ 51.63 ภาคเหนือ ร้อยละ 51.63 ภาคอีสาน ร้อยละ 56.01 และภาคใต้ ร้อยละ 21.72


อันดับ 2 พรรคก้าวไกล กรุงเทพฯ ร้อยละ 22.20 ภาคกลาง ร้อยละ 16.12 ภาคเหนือ ร้อยละ 16.88 ภาคอีสาน ร้อยละ 9.82 และภาคใต้ ร้อยละ 10.76


อันดับ 3 พรรคภูมิใจไทย กรุงเทพฯ ร้อยละ 8.13 ภาคกลาง ร้อยละ 5.11 ภาคเหนือ ร้อยละ 10.97 ภาคอีสาน ร้อยละ 17.86 และภาคใต้ ร้อยละ 12.23


อันดับ 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ กรุงเทพฯ ร้อยละ 6.60 ภาคกลาง ร้อยละ  11.69 ภาคเหนือ ร้อยละ 12.73 ภาคอีสาน ร้อยละ 4.24 และภาคใต้ ร้อยละ 9.62


อันดับ 5 พรรคประชาธิปัตย์ กรุงเทพฯ ร้อยละ 8.71 ภาคกลาง ร้อยละ 4.10 ภาคเหนือ ร้อยละ 4.61 ภาคอีสาน ร้อยละ 1.47 และภาคใต้ ร้อยละ 24.71


อันดับ 6 พรรคพลังประชารัฐ กรุงเทพฯ ร้อยละ 7.84 ภาคกลาง ร้อยละ 6.29 ภาคเหนือ ร้อยละ 2.60 ภาคอีสาน ร้อยละ 5.71 และภาคใต้ ร้อยละ 15.99


อันดับ 7 พรรคไทยสร้างไทย กรุงเทพฯ ร้อยละ 1.44 ภาคกลาง ร้อยละ 1.91 ภาคเหนือ ร้อยละ 0.04 ภาคอีสาน ร้อยละ 2.24 และภาคใต้ ร้อยละ 1.72


อันดับ 8 พรรคชาติพัฒนากล้า กรุงเทพฯ ร้อยละ 0.50 ภาคกลาง ร้อยละ 0.17 ภาคเหนือ ร้อยละ 0.38 ภาคอีสาน ร้อยละ 0.08 และภาคใต้ ร้อยละ 1.91


อันดับ 9 พรรคเสรีรวมไทย กรุงเทพฯร้อยละ 0.21 ภาคกลาง ร้อยละ 1.80 ภาคเหนือ ร้อยละ 0.08 ภาคอีสาน ร้อยละ 0.08 และภาคใต้ ร้อยละ 0.13


อันดับ 10 พรรคอื่น ๆ กรุงเทพฯ ร้อยละ 0.79 ภาคกลาง ร้อยละ 2.53 ภาคเหนือ ร้อยละ 0.08 ภาคอีสาน ร้อยละ 2.49 และภาคใต้ ร้อยละ 1.21


นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยว่า สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเฉพาะผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ กรณี “คนไทยนิยมพรรคการเมืองใด” กลุ่มตัวอย่างจำนวน 10,614 คน (สำรวจทางภาคสนาม) ระหว่างวันที่ 1-17 มีนาคม 2566 ก่อนที่จะประกาศยุบสภา พบว่า พรรคที่คนไทยนิยมเป็นอันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 46.16 รองลงมาคือ พรรคก้าวไกล ร้อยละ 15.43 พรรคภูมิใจไทย ร้อยละ 11.12 พรรครวมไทยสร้างชาติ ร้อยละ 8.73 และพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 7.71 เมื่อจำแนกตามอายุ พบว่า กลุ่มอายุ 18 – 30 ปี นิยมพรรคก้าวไกลมากที่สุด ร้อยละ 37.85 ส่วนกลุ่มอายุ อื่น ๆ นิยมพรรคเพื่อไทยมากที่สุด เมื่อจำแนกตามภูมิภาค พบว่า กรุงเทพฯ ภาคกลาง ภาคเหนือ และภาค ตะวันออกเฉียงเหนือนิยมพรรคเพื่อไทยมากที่สุด ส่วนภาคใต้นิยมพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุด ร้อยละ 24.71 ตามมาด้วย พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 21.72


คะแนนความนิยมของพรรคเพื่อไทยยังคงพุ่งแรงและได้รับการตอบรับอย่างดีจากแทบทุกกลุ่มอายุ แม้กลุ่มอายุ 18 – 30 ปี จะนิยมพรรคก้าวไกลมากที่สุด แต่รองลงมาก็เป็นพรรคเพื่อไทย สะท้อนให้เห็นว่าแคมเปญ “แลนด์สไลด์” หรือเลือกตั้งแบบมียุทธศาสตร์” อาจจะกำลังเห็นผลจากการที่คนต้องการเปลี่ยนแปลงและวิธีการที่จะมีเสียงข้างมากในสภา ก็คือต้องรวมกันให้ได้มากกว่าเสียง ส.ว. ผลโพลครั้งนี้คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยจึงครอบคลุมแทบทุกพื้นที่ ถึงแม้ภาคใต้ พรรคประชาธิปัตย์ยังคงกอดด้ามขวานไว้แน่นแต่ก็ต้องยอมรับว่าคะแนนนิยมนั้นลดลง ทุกพรรคการเมืองจึงต้องเร่งทำ คะแนนชิงพื้นที่กันมากขึ้น เพราะการเลือกตั้งครั้งนี้ใคร ๆ ก็อยากกินข้าวร่วมโต๊ะเป็นรัฐบาลร่วมกัน


ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์สรศักดิ์ มั่นศิลป์ รองคณบดีโรงเรียนกฎหมายและการเมือง มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยว่า จากผลโพลจะเห็นได้ว่าพรรคการเมืองที่ประชาชนนิยมเป็นอันดับ 1 คือ พรรคเพื่อไทย สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนในแง่ที่ว่าต้องการความเปลี่ยนแปลงจากพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเดิม รวมทั้งประชาชนอาจมีความชื่นชอบนโยบายของพรรค เช่น เรื่องค่าจ้าง 600 บาทต่อวัน เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ในส่วนพรรคที่ได้คะแนนนิยม อันดับ 2 คือ พรรคก้าวไกล ซึ่งถือว่าเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ โดยพรรคมุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการขจัดการสืบทอดอำนาจ ส่วนพรรคการเมืองอื่น ๆ ก็มีนโยบายที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนในระดับรากหญ้า เช่น การพักหนี้ 3 ปีของพรรคภูมิใจไทย บัตรสวัสดิการพลัส 1,000 บาทต่อเดือนของพรรครวมไทยสร้างชาติ การประกันรายได้พืชผลทางการเกษตรของพรรคพรรคประชาธิปัตย์ การเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700 บาทต่อเดือนของพรรคพลังประชารัฐ เป็นต้น คงต้องมาลุ้นภายหลังการเลือกตั้งว่าพรรคการเมืองใดจะได้จัดตั้งรัฐบาลและมาบริหารประเทศของเราต่อไป


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สวนดุสิตโพล #เลือกตั้ง66