‘ดนุพร ปุณณกันต์’ ชู 3
นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทุกครอบครัวรายได้ 20,000
บาท, กระเป๋าเงินดิจิทัล และค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน คือเรือธงฟื้นเศรษฐกิจที่ฐานราก แก้เศรษฐกิจถดถอยแน่นอน
วันที่
24 มีนาคม 2566 ที่ เวทีงาน ‘คิดใหญ่ ทำเป็น
เพื่อคนกรุงเทพฯ’ จากพรรคเพื่อไทย พร้อมผู้ประสงค์ลงสมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
กรุงเทพมหานคร ทั้ง 33 คน ณ สเตเดียมวัน จุฬาซอย 6 ถนนบรรทัดทอง นายดนุพร
ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กรุงเทพมหานครพรรคเพื่อไทย
ปราศรัยแสดงวิสัยทัศน์เรื่อง ‘New Income รายได้ใหม่
เพื่อไทยทุกคน’ ในงานปราศรัย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพฯ’ ว่า
การคิดใหญ่ของพรรคเพื่อไทยในเรื่องรายได้ใหม่นั้น เป็นการคิดใหญ่บนฐานแนวคิดเดิม
คือ ทำอย่างไรให้ฐานรากเรากลับมาแข็งแรง เพื่อพยุงเศรษฐกิจประเทศ
จึงเสนอนโยบายด่วน 3 ด้านทำทันทีเลย
นายดนุพร
ปุณณกันต์ กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยวันนี้เหมือนย้อนกลับไปเมื่อปี 2544
ที่เศรษฐกิจไทยดิ่งเหวตกต่ำยากหาทางแก้ไข จนกระทั่งรัฐบาลไทยรักไทย
นำโดยนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ในขณะนั้นต้องชูนโยบายสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจภายใต้แนวคิด “ลดรายจ่าย
เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส”
หลังจากนั้น
นโยบายกองทุนหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท นโยบาย SMEs นโยบายโอท็อป ล้วนถูกผลักดันออกมาสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจ
ประชาชนกลับมามีรายได้ มีเงินใช้จ่าย
สร้างความเชื่อมั่นให้ต่างประเทศกล้ากลับมาลงทุนในไทย
แต่วันนี้
หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 และเศรษฐกิจถดถอย
คนกรุงเทพเกิดปัญหารายได้ขยับขึ้นไม่ทันค่าใช้จ่ายที่พุ่งสูง ส่งผลให้เกิดหนี้สินไปทั่วบ้านทั่วเมือง
พรรคเพื่อไทยจึงเสนอนโยบายด่วน 3 ด้านทำทันทีเลยคือ 1) ครอบครัวไหนมีรายได้รวมไม่ถึง 20,000 บาท
เราจะอุดหนุนให้มีรายได้ 20,000 บาทต่อเดือน 2) เติมเงินให้ทุกคนด้วยนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล
ให้จับจ่ายใช้สอยในร้านค้าภายในพื้นที่กำหนด และ 3) เราจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
300 บาทต่อวันเป็น 600 บาท
และเงินตอบแทนปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือนภายในปี 2570
พรรคเพื่อไทยจึงจำเป็นที่จะต้อง
“คิดใหญ่” บนฐานแนวคิดเดิม คือทำอย่างไรให้ฐานรากกลับมาเข้มแข็ง
เพื่อพยุงเศรษฐกิจทั้งประเทศ ที่เรากล้า “คิดใหญ่” ขนาดนี้เพราะเราคิดไว้แล้วครับว่าจะต้องทำอย่างไรให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์
ซึ่งต้องอาศัย 3 องค์ประกอบดังนี้
1.
ลูกจ้าง : เมื่อค่าแรงขยับขึ้น ลูกจ้างจะมีกำลังซื้อมากขึ้น
เพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบทันที
2.
ผู้ประกอบการ :
เมื่อประชาชนมีกำลังซื้อผู้ประกอบการก็จะได้กำไรมากขึ้น ในขณะเดียวกันรัฐบาลต้องช่วยผู้ประกอบการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่าขนส่งต่าง ๆ
3.
ภาครัฐ : ลูกจ้างมีรายได้มากขึ้น ผู้ประกอบการมีกำไรมากขึ้น
รัฐบาลก็จะสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น
ภาษีที่มากขึ้นจะต้องถูกทำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรม เช่น
จัดตั้งโครงการขนาดใหญ่เพื่อเพิ่มการจ้างงาน หมุนเงินกลับไปที่ประชาชน
“นโยบายทั้ง 3 ด้าน คือทุกครอบครัวรายได้ 20,000
บาทต่อเดือน นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล และการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600
บาทต่อวัน จึงเป็นกุญแจสำคัญพาคนกรุงเทพฯ และประเทศไทยออกจากเศรษฐกิจที่ถดถอยได้แน่นอน”
ดนุพร กล่าว