วันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

“ชลธิชา“ เสวนาครบรอบ 3 ปี รัฐประหารเมียนมา ชี้ผู้ลี้ภัย - หนีภัยสงครามจากเมียนมากว่า 9 หมื่นคนไร้สถานะในระบบกฎหมาย-ราชการ เรียกร้องรัฐบาลไทยเร่งปรับท่าทีต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนก่อนชิงตำแหน่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN

 


“ชลธิชา” เสวนาครบรอบ 3 ปี รัฐประหารเมียนมา ชี้ผู้ลี้ภัย - หนีภัยสงครามจากเมียนมากว่า 9 หมื่นคนไร้สถานะในระบบกฎหมาย-ราชการ เรียกร้องรัฐบาลไทยเร่งปรับท่าทีต่อประเด็นสิทธิมนุษยชนก่อนชิงตำแหน่งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน UN

 

ในการเสวนา Sol Bar Talk หัวข้อ “3 ปี รัฐประหารเมียนมา : สงครามยังคงอยู่ ประชาชนยังคงตาย” เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ที่อาคารอนาคตใหม่ ร่วมเสวนาโดย พรรณิการ์ วานิช กรรมการมูลนิธิคณะก้าวหน้า, ลลิตา หาญวงษ์ นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านเมียนมา และ ชลธิชา แจ้งเร็ว สส.ปทุมธานี เขต 3 พรรคก้าวไกล พูดคุยถึงสถานการณ์ความเป็นไปในเมียนมา และบทบาทตลอดจนผลกระทบที่ประเทศไทยอาจได้รับจากการคลี่คลายไปของสถานการณ์

 

ในช่วงหนึ่ง ชลธิชาได้กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองและการสู้รบในเมียนมา หลังรัฐประหาร 2564 ซึ่งทำให้มีผู้พลัดถิ่นที่หนีภัยสงครามข้ามไปมา ระหว่างพรมแดนประเทศไทย-เมียนมา ทำให้ประเทศไทยหลีกเลี่ยงจากบทบาทการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมไม่ได้ และประเด็นเรื่องการอพยพลี้ภัยควรเป็นเรื่องที่เราต้องหยิบยกมาคุยกันอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาเราเป็นประเทศที่รองรับผู้พลัดถิ่นที่หนีภัยจากสงครามในเมียนมาเข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมาก ย้อนไปได้ทั้งในรอบปี 2564 และในรอบเกือบ 40 ปีที่ผ่านมา แต่ปัญหาคือทั้งกฎหมายและในระบบราชการของประเทศไทยไม่เคยยอมรับว่าประเทศไทยมี “ผู้ลี้ภัย”

 

ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้ลี้ภัยใน 9 ศูนย์พักพิงชั่วคราว ใน 4 จังหวัดชายแดนเมียนมา อยู่กว่า 9 หมื่นคน โดยที่เกินครึ่งหนึ่งเป็นคนที่เกิดและเติบโตอยู่ในค่าย แต่เนื่องจากไม่ได้รับสิทธิและสถานะในฐานะผู้ลี้ภัย จึงไม่สามารถทำงานและไม่สามารถออกจากค่ายได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเศร้า ทั้งที่พวกเขาเข้านิยามผู้ลี้ภัยทุกประการ เพียงแต่รัฐไทยไม่เคยนิยามพวกเขาว่าเป็นผู้ลี้ภัย เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรับรองเรื่องสิทธิและสถานะต่างๆ ของพวกเขาทางกฎหมาย

 

ชลธิชากล่าวต่อไป ว่าในช่วงเดือนกันยายนปีนี้จะมีการเลือกตั้งคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ซึ่งประเทศไทยกำลังหมายมั่นจะเอาที่นั่งนี้ให้ได้ ตนจึงเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลไทยจะต้องกลับมาคำนึงถึงประเด็นสิทธิมนุษยชน เพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่กำลังจะได้รับในประชาคมโลก ซึ่งมีหลายประเด็นมากที่ประเทศไทยจะต้องผลักดัน เช่น การนิรโทษกรรม เพราะที่ผ่านมาทางองค์การสหประชาชาติหรือกลไกขององค์การสหประชาชาติหลายองค์กร ได้มีการส่งข้อเสนอแนะมาให้รัฐบาลไทยหลายครั้ง เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีทางการเมืองกับนักกิจกรรม

 

และอีกประเด็นที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่องของเมียนมา ที่มีความใกล้ชิดกับประเทศไทยมาก เพราะทั้งสองประเทศมีทั้งพรมแดนร่วมกัน มีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และยังมีการไปมาหาสู่ของผู้คนร่วมกัน อย่าลืมว่าคนเมียนมาในประเทศไทยเยอะมาก ๆ และพวกเขาคือพลังหนึ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย

 

ชลธิชากล่าวต่อไปว่าตนจึงอยากใช้โอกาสนี้เรียกร้องไปถึงรัฐบาลไทยให้กลับมาทบทวนบทบาทท่าทีของตัวเองต่อประเด็นเมียนมา โดยเฉพาะในเรื่องระเบียงมนุษยธรรม (Humanitarian Corridor) ซึ่งที่ผ่านมามีปัญหาการคิดจากส่วนกลางลงไปยังพื้นที่โดยไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เช่น การไปดำเนินการในพื้นที่ที่ยังคงมีการสู้รบหนักหน่วงอยู่ ซึ่งในด้านนี้ควรมีการปรับปรุง โดยเฉพาะต้องไม่ลืมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นฝั่งชาติพันธุ์กลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเอกภาพแห่งชาติหรือ NUG (National Unity Government) คนไทยที่อยู่ตามพรมแดน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กองทัพ ฯลฯ

 

ประเทศไทยมีไม่ใช่แค่ผู้หนีภัยจากการสู้รบตามชายแดน แต่ยังมีผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวเมียนมา หลายคนเป็นนักกิจกรรม แพทย์ พยาบาล วิศวกร ครู เป็นบุคลากรที่มีทักษะวิชาชีพ แต่อยู่ในประเทศไทยด้วยสถานะของการเข้าเมืองผิดกฎหมาย ทำให้ไม่ได้รับสิทธิรับรองอะไรเลยในทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำงาน สิทธิในการศึกษา สิทธิในการรับการรักษาพยาบาล

 

สัดส่วนจำนวนประชากรของผู้ที่หนีภัยสงครามเองหรือแม้กระทั่งผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพฯ แม่สอด หรือเชียงใหม่ มีสัดส่วนที่เป็นเยาวชน เด็ก และคนชราสูงมาก ซึ่งเราไม่ควรที่จะละทิ้งและละเลยคนเหล่านี้ หากไทยอยากได้ตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติหนักหนา รัฐบาลไทยก็ต้องพิสูจน์ความจริงจังในเรื่องนี้ให้ได้

 

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้กับประชาคมโลกเห็นว่าเราเหมาะสมกับตำแหน่งในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติจริง ๆ พิสูจน์ให้เห็นทั้งในเรื่องประเด็นการเมืองในไทยเอง อย่างเรื่องการนิรโทษกรรม และประเด็นเรื่องเมียนมาเพื่อนบ้านของเราด้วย” ชลธิชากล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #3ปีรัฐประหารเมียนมา