วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

“ก้าวไกล” หนุนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทุกฉบับ “พิธา” ชู 4 เสาที่รัฐควรพัฒนาให้พี่น้องชาติพันธุ์ ที่ดินทำกิน-วัฒนธรรม-การศึกษา-สัญชาติ

 


ก้าวไกล” หนุนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทุกฉบับ “พิธา” ชู 4 เสาที่รัฐควรพัฒนาให้พี่น้องชาติพันธุ์ ที่ดินทำกิน-วัฒนธรรม-การศึกษา-สัญชาติ

 

วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งเสนอโดยพรรคก้าวไกล ภาคประชาชน พรรคการเมือง และคณะรัฐมนตรี รวม 5 ฉบับ โดยในส่วนของพรรคก้าวไกล เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล สส.บัญชีรายชื่อ สัดส่วนเครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง เป็นผู้อภิปรายหลักการและเหตุผลของร่างฯ

 

เลาฟั้งระบุว่า แม้รัฐธรรมนูญจะรับรองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไว้อย่างครอบคลุม แต่กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยก็ยังคงมีสถานะเป็นพลเมืองชั้นสอง ไม่มีโอกาสเข้าถึงสิทธิ อีกทั้งยังมีกฎหมายและนโยบายที่จำกัดสิทธิในที่ดินและทรัพยากร โดยเฉพาะกฎหมายและนโยบายเกี่ยวกับป่าไม้ ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ และไม่มีโอกาสในการพัฒนาพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง

 

มีกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากที่ตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ทั้งกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูงใน 20 จังหวัดภาคเหนือกว่า 3,458 หมู่บ้าน ประชากร 1.12 ล้านคน กลุ่มชาวเล 46 ชุมชน 14,000 คน และกลุ่มมานิซึ่งแตกออกเป็น 15 กลุ่มครอบครัว นี่คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายของรัฐโดยตรง รวมทั้งกลุ่มที่กลมกลืนกับสังคมไทยไปแล้วประมาณ 4-5 ล้านคน ที่แม้จะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายโดยตรง แต่วิถีชีวิต วัฒนธรรม และคุณค่าบางอย่างของกลุ่มชาติพันธุ์เลือนหายไปแล้ว

 

เลาฟั้งกล่าวต่อไปว่า การที่กลุ่มชาติพันธุ์ยังมีคุณภาพชีวิตที่ต่ำและด้อยพัฒนาไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากกฎหมายและนโยบายของรัฐที่ไม่เป็นธรรม กดทับให้กลุ่มชาติพันธุ์ไม่มีโอกาสเข้าถึงสิทธิ อยู่ภายใต้กฎหมายที่เลือกปฏิบัติ ซึ่งเกิดขึ้นมาจากอคติที่ประกอบสร้าง ผลิตซ้ำ และตอกย้ำอัตลักษณ์ที่เป็นลบของกลุ่มชาติพันธุ์มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวหาว่ากลุ่มชาติพันธุ์เป็นผู้อพยพเข้ามาใหม่ เป็นภัยต่อความมั่นคง เกี่ยวข้องกับยาเสพติด และเป็นผู้ทำลายป่า สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำกระทั่งในแบบเรียนของนักเรียนนักศึกษา และในหน่วยงานรัฐที่มีอำนาจ ทำให้คนมีทัศนคติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในทางลบ

 

สิ่งเหล่านี้อาจแก้ไขได้ยาก แต่ในทางหลักการก็มีแนวทางที่ต้องทำอยู่อย่างน้อย 2 ประการ คือ 1) การมีกฎหมายรองรับให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความชอบธรรมอย่างชัดเจน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะทำให้กลุ่มชาติพันธุ์มีสิทธิโดยทันที แต่อย่างน้อยที่สุดก็รับรองความชอบธรรมและทำให้เกิดพื้นที่ในการเจรจาต่อรอง และ 2) การทำให้คนในสังคมไทยตระหนักว่า สิ่งที่สังคมรับรู้เกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ในด้านลบถูกประกอบสร้างขึ้นมา ไม่ได้เป็นความจริงอย่างนั้นเสียทั้งหมด

 

ทั้งนี้ เล่าฟั้งระบุว่า ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองของพรรคก้าวไกล มีสาระสำคัญในภาพกว้าง 3 ประการ ประกอบด้วย

 

1) การกำหนดให้มีการคุ้มครองสิทธิเป็นการเฉพาะ เพราะถึงแม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายแม่บทกำหนดรับรองและคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในลักษณะที่เสมอภาคเท่าเทียมกันอยู่แล้ว แต่ในความเป็นจริงกลุ่มชาติพันธุ์ก็ยังถูกเลือกปฏิบัติหรือไม่สามารถเข้าถึงสิทธิตามกฎหมายได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ต้องกำหนดเพิ่มเติมก็คือการห้ามเลือกปฏิบัติหรือการสร้างความเกลียดชัง โดยเฉพาะจากสื่อและปฏิบัติการของหน่วยงานรัฐ

 

การคุ้มครองสิทธิเป็นการเฉพาะ ประกอบด้วยสิทธิในทางวัฒนธรรม ที่มีมากกว่าเพียงแค่เสื้อผ้าหรือบทเพลง แต่ยังมีเรื่องของวิถีชีวิต อาชีพ และที่ดิน โดยเฉพาะการใช้ที่ดินและทรัพยากรจากป่าที่มีรูปแบบแตกต่างออกไปจากระบบที่กฎหมายปัจจุบันรับรอง รวมถึงสิทธิในการกำหนดตนเอง เพราะปัจจุบันในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ที่อยู่ในพื้นที่ที่มีทรัพยากร มักจะมีโครงการของรัฐหรือการอนุญาตให้เอกชนเข้าไปดำเนินการบางอย่าง เช่น การทำเหมือง สร้างเขื่อน ฯลฯ ทำให้กระทบต่อการใช้ที่ดิน ทรัพยากร และคุณภาพชีวิตของประชาชนที่อยู่ในชุมชนนั้น

 

2) การสร้างกลไกซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทน เพราะถึงแม้กฎหมายจะรับรองสิทธิอย่างเสมอภาคเท่าเทียม แต่กลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากก็ไม่มีโอกาสเข้าถึงสิทธิที่กฎหมายกำหนดไว้ ถูกเลือกปฏิบัติ หรือไม่สามารถที่จะต่อสู้เรียกร้องสิทธิได้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น การมีองค์กรตัวแทนที่จะมาทำหน้าที่ตรวจสอบและผลักดันให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถเข้าถึงสิทธิได้จึงมีความจำเป็นทั้งต่อรัฐและกลุ่มชาติพันธุ์ ในฐานะหน่วยงานกลางที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย

 

3) การกำหนดให้มีการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งไม่ใช่เป็นการประกาศเขตอภิสิทธิ์ให้แก่กลุ่มชาติพันธุ์ แต่เป็นเพียงระเบียบในการคุ้มครองวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ในพื้นที่ที่ทับซ้อนกับเขตป่า เป็นการพยายามสร้างเครื่องมือทางเลือกขึ้นมาในการแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างที่ป่าไม้หรือที่อื่นของหน่วยงานรัฐกับชุมชนของกลุ่มชาติพันธุ์

 

การประกาศพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้มีผลเป็นการยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับป่าไม้หรือกฎหมายอื่น ๆ ของรัฐในบริเวณนั้น แต่เป็นการประกาศเขตคุ้มครองเฉพาะในการใช้ประโยชน์และการดูแลรักษาทรัพยากร โดยเป็นไปตามระเบียบที่รัฐและชุมชนกำหนดร่วมกันขึ้นมา หากผู้ใดหรือแม้กระทั่งสมาชิกของชุมชนทำผิดเงื่อนไข ก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดที่ต้องถูกดำเนินการตามกฎหมายปกติ

 

โดยวิธีการประกาศจะเริ่มต้นจากการที่ชุมชนไม่ว่าจะเป็นชุมชนใดชุมชนหนึ่งหรือหลายชุมชน ร่วมกันจัดทำแผนและระเบียบเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่คุ้มครองขึ้นมา เมื่อคณะกรรมการเห็นชอบแล้วก็ประกาศกำหนดให้เป็นเขตคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งเมื่อประกาศออกมาแล้วไม่ได้หมายความว่าจะมีสิทธิทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขและสามารถถูกยกเลิกได้หากชุมชนไม่สามารถบริหารจัดการได้ต่อไป

 

เขตคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์จะให้สิทธิ 2 ประการ คือ 1) การอยู่อาศัยและใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติตามระเบียบที่กำหนดขึ้น แต่จะต้องไม่นำไปสู่การทำลายทรัพยากร 2) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาอาชีพเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยมีเงื่อนไขคือ ไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนสิทธิในที่ดินให้แก่บุคคลใด ๆ เว้นแต่เป็นการสืบทอดทางมรดก หรือเป็นการดำเนินวิถีชีวิตตามปกติของชุมชน

 

เลาฟั้งกล่าวทิ้งท้ายว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีการพูดถึงและผลักดันกันมาเป็นเวลานานแล้ว และคนที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์เอง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายและนโยบายของรัฐอย่างรุนแรงมีความต้องการเป็นอย่างมาก เพื่อที่จะใช้เป็นเครื่องมือในการคุ้มครองพวกเขา

 

ขณะที่ มานพ คีรีภูวดล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สัดส่วนเครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ร่วมอภิปรายสนับสนุนร่างฯ ทุกฉบับ โดยระบุว่า วันนี้เป็นนิมิตหมายครั้งประวัติศาสตร์ที่มีการเสนอร่างกฎหมายจากทุกฝ่าย และเห็นร่วมกันว่าจำเป็นจะต้องมีกฎหมายฉบับนี้ เพราะสังคมไทยเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เราคือเผ่าพันธุ์และผู้คนที่มาอยู่รวมกันเรียกว่าคนไทย ใช้ภาษาไทยเป็นภาษากลาง โดยในทางวิชาการยืนยันแล้วว่าประเทศไทยมีกลุ่มชาติพันธุ์ไม่ต่ำกว่า 60 ชาติพันธุ์อาศัยอยู่ คิดเป็นประมาณ 6 ล้านคนหรือร้อยละ 10 ของคนทั้งประเทศ

 

แม้จะมี สส.หลายคนอภิปรายในวันนี้ว่าประเทศนี้ไม่มีชนเผ่าพื้นเมือง การมีชนเผ่าพื้นเมืองจะทำให้การปกครองเกิดความแตกแยก แต่ตนต้องยืนยันข้อเท็จจริงว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีอยู่ในประเทศไทยจริง ก่อนที่จะมีอาณาจักรต่าง ๆ ของประเทศไทยด้วยซ้ำ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์บ่งชี้อายุกว่าหมื่นปี ในทางวิชาการก็ยอมรับว่ามีชนเผ่าพื้นเมืองดำรงอยู่ที่นี่มานานแล้ว ถึงแม้ในทางปฏิบัติวันนี้ชนเผ่าพื้นเมืองอาจจะไม่ได้ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ ไม่ได้มีกฎหมายบัญญัติไว้ แต่วันนี้สภาฯ กำลังจะทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองมีตัวตนในทางกฎหมาย เพื่อให้เป็นไปตามปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งประเทศไทยลงนามไว้กับนานาอารยประเทศ

 

มานพกล่าวต่อไปว่า การที่กลุ่มชาติพันธุ์ต้องมาเรียกร้องต่อสู้เรื่องนี้ เพราะมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ชาติพันธุ์ต่าง ๆ อยู่จริง ทั้งการคุกคาม การละเมิดสิทธิในที่ดิน หลายหมู่บ้านอยู่มาก่อนจะมีประเทศไทยด้วยซ้ำ แต่วันนี้เขากลายเป็นคนผิดกฎหมาย หลายหมู่บ้านอยู่อย่างชอบด้วยกฎหมาย มีผู้ใหญ่บ้าน มีโรงเรียน มีครู มีอนามัย มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) แต่ไม่สามารถพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้

 

เพราะฉะนั้น สิ่งที่กลุ่มชาติพันธุ์เรียกร้องมาโดยตลอด คือการคืนสิทธิให้เหมือนกับคนทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ หลายคนบอกว่าถ้ามีชนเผ่าพื้นเมืองจะเป็นการแยกการปกครอง ตนถามว่าท่านเอาอะไรมาพูด เราต้องยืนอยู่บนความเป็นจริง และยืนอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ประเทศไทยได้ลงนามไว้

 

ขอให้เราอยู่สงบสุขเหมือนกับคนทั่วๆ ไป รับรองความเป็นตัวตนของเรา รับรองสิทธิที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของพวกเรา เขาจะทำไร่หมุนเวียน จะทำเกษตร จะเลี้ยววัวเลี้ยงควาย จะทำมาหากินอะไรก็รับรองในสิ่งที่เขามี ที่ไม่เป็นธรรมคืออำนาจของรัฐ และที่สำคัญคือมายาคติ ความรู้สึกของคนในสังคมที่ไม่ยอมรับว่าเราประกอบสร้างจากชนเผ่าต่าง ๆ ร่วมกันมากมาย ตั้งแต่อดีตประวัติศาสตร์ที่เราอยู่ร่วมกันมาตลอด” มานพกล่าว

 

มานพยังกล่าวต่อไปว่า นี่เป็นโอกาสที่จะทำให้ทุกคนได้มีพื้นที่ยืนและมีคุณค่าความเป็นคนเท่ากัน เราขับเคลื่อนประเด็นกฎหมายเรื่องนี้มาตั้งแต่ปี 2553 แล้ว วันนี้เป็นโอกาสของสภาฯ แห่งนี้ สิ่งที่ตนอยากจะเห็นจากเพื่อนสมาชิกในสภาฯ แห่งนี้คือการทำหน้าที่ครั้งประวัติศาสตร์ให้พวกเราอยู่ร่วมกันในสังคมนี้ได้ นั่นคือการช่วยกันผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างฯ ของรัฐบาล พรรคการเมือง หรือภาคประชาชน มาดูรายละเอียดและถกเถียงกันในชั้นกรรมาธิการ มาตราไหนที่เราเห็นต่างก็เอาเหตุผล ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และข้อมูลระดับสากลมาถกเถียงกัน

 

ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในสังคมไทยคือความจริงที่มีอยู่ หน้าที่ของเราก็คือการทำความจริงให้ปรากฏ รับรองความเป็นตัวตนและความเท่าเทียมกันของคนในสังคมผ่านกฎหมายฉบับนี้” มานพกล่าว

 

ด้าน พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้อภิปรายปิดคนสุดท้าย โดยระบุว่า สิ่งที่รัฐบาลทั่วโลกพยายามทำเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง มีอยู่ 4 เสาเป้าหมาย คือ 1) การมีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย รวมทั้งการเข้าถึงไฟฟ้า น้ำประปา และสาธารณูปโภคพื้นฐานอื่น ๆ 2) การรักษาไว้ซึ่งการสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีและภาษาประจำเผ่า 3) การพัฒนาระบบการศึกษาและสาธารณสุข และ 4) การพิสูจน์สัญชาติ

 

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันถ้านำ 4 เสาเป้าหมายนี้มาตั้ง เราจะเห็นว่ากลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยยังคงมีปัญหาอยู่ ทั้งเรื่องของการเข้าถึงที่ดินทำกิน เรื่องภาษาของหลายชนเผ่าพื้นเมืองที่สูญหายไปแล้วอย่างถาวร และยังมีอีก 25 ภาษาที่เสี่ยงจะสูญหายในช่วงชีวิตของเรา เรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่เห็นได้ชัดว่าอัตราการสำเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ระหว่างคนที่ใช้ภาษาไทยกับคนที่ใช้ภาษามากกว่าภาษาไทยต่างกันถึง 2.5 เท่า รวมถึงเรื่องการพิสูจน์สัญชาติที่ยังล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพ

 

พิธากล่าวต่อไปว่า จากปัญหาข้างต้น อุปสรรคสำคัญที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้ คือกฎหมาย งบประมาณ และการบริหารงาน โดยในด้านกฎหมาย กลุ่มชาติพันธุ์มีปัญหากับกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับที่ดินซึ่งทับซ้อนกันอยู่ 3 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ร.บ.ป่าสงวน และ พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ รวมถึงยังมีมติ ครม.ปี 2553 ที่กำหนดเขตวัฒนธรรมพิเศษที่ไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้จริง

 

ส่วนด้านงบประมาณ หากสำรวจในร่างงบประมาณปี 2567 จะพบว่ามีงบประมาณสำหรับการพิสูจน์สัญชาติ 35 ล้านบาท แต่คนไร้สัญชาติในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 5-8 แสนคน เมื่อปีที่แล้วรัฐไทยสามารถพิสูจน์สัญชาติได้ 10,000 คน หากยังคงอัตราเท่านี้ เท่ากับว่าจะต้องใช้เวลาอีก 80 ปีกว่าเราจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับคนไร้สัญชาติในประเทศไทยได้ นอกจากนี้ หากนำคำว่า “ชาติพันธุ์” ไปค้นหาในระบบงบประมาณ จะพบว่ามีอยู่ 3 โครงการ รวมกันแค่ 25 ล้านบาทเท่านั้น เมื่อเทียบกับประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ 7 ล้านคนทั่วประเทศไทยถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก

 

พิธาย้ำว่า ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองฉบับนี้จะสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้กับพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ได้ ทั้งในเรื่องการปลดล็อกให้มีขอบเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิต การบัญญัติรับรองสิทธิ และการตั้งคณะกรรมการส่งเสริมในเรื่องเกี่ยวกับงบประมาณ โดยสามารถกำหนดให้รัฐบาลออกกองทุนตรวจสอบข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน ออกเอกสารรับรองสิทธิในที่ดินของกลุ่มชาติพันธุ์ และสามารถสร้างเศรษฐกิจของชนเผ่าพื้นเมืองต่อไปในอนาคตได้ จึงขอวิงวอนให้เพื่อนสมาชิก สส.ร่วมกันรับหลักการร่างกฎหมายทั้ง 5 ฉบับ เพื่อตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาวิธีการสำคัญในการยกระดับชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์ให้ตรงตามเป้าหมายทั้ง 4 เสา

 

พิธากล่าวทิ้งท้ายว่า แนวโน้มของโลกตอนนี้พิสูจน์แล้วว่ากลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนช่วยรักษาป่าเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นในประเทศกลุ่มละตินอเมริกา ทั้งโบลิเวีย บราซิล หรือโคลอมเบีย มีการศึกษาเปรียบเทียบพื้นที่ป่าที่มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่กับพื้นที่ที่ไม่มี พบว่าพื้นที่ที่มีชนเผ่าพื้นเมืองอาศัยอยู่พบการตัดไม้ทำลายป่าน้อยกว่าถึง 3 เท่า ตนจึงขอให้รัฐไทยเปลี่ยนวิธีคิดจากการมองว่าต้องแยกคนออกจากป่า เป็นการให้คนปลูกป่า และให้กลุ่มชาติพันธุ์มีส่วนร่วมในการศึกษา พัฒนา รักษา และลดการตัดไม้ทำลายป่า

 

ส่วนในเรื่องเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจชาติพันธุ์” อาจจะยังไม่ถูกพูดถึงมากในประเทศไทย แต่วิสัยทัศน์ของตนคิดว่ามีความเป็นไปได้สูง หากดูตัวอย่างในออสเตรเลียจะเห็นว่ามีมูลค่าสูงถึง 5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแคนาดาสูงถึง 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ตนจึงอยากให้คณะกรรมาธิการที่กำลังจะตั้งขึ้นเริ่มคิดถึงการเปลี่ยนปัญหาสังคมให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์อย่างที่ออสเตรเลีย แคนาดา และนิวซีแลนด์ได้เริ่มทำแล้ว

 

ท้ายที่สุด ที่ประชุมสภาฯ มีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการส่งเสริมและคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองทั้ง 5 ฉบับ และให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาจำนวน 42 คน โดยกรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกลมี 6 คน ได้แก่ 1) มานพ คีรีภูวดล 2) เลาฟั้ง บัณฑิตเทอดสกุล 3) ณัฐวุฒิ บัวประทุม 4) ภัสริน รามวงศ์ 5) ชิตวัน ชินอนุวัฒน์ และ 6) สุนี ไชยรส

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #ประชุมสภา #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #กฎหมายชาติพันธุ์ #ชนเผ่าพื้นเมือง