วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

เศรษฐา เปิดบันได 4 ขั้น แถลงแก้หนี้ ขอบคุณหน่วยงานรัฐเอาจริง ลั่นต้องจบรัฐบาลนี้

 


เศรษฐา เปิดบันได 4 ขั้น แถลงแก้หนี้ ขอบคุณหน่วยงานรัฐเอาจริง ลั่นต้องจบรัฐบาลนี้

 

วันนี้ (12 กุมภาพันธ์ 2567) เวลา 11.00น. เมื่อเวลา 11.00 น. ที่ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาลที่ตึกนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นประธานการแถลงข่าวความคืบหน้าผลการดำเนินงานการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบ

 

โดยระบุว่า ตามที่ได้มอบนโยบายเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 และเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2566 กำหนดให้การแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน ทั้งหนี้นอกระบบและหนี้ในระบบ เป็นวาระแห่งชาติ ตนได้มอบหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สถาบันการเงินของรัฐให้บูรณาการและประสานงานร่วมกัน ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ ให้กับประชาชนอย่างครบวงจร และแก้ปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ให้จบภายในรัฐบาลนี้

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถึงวันนี้ ผ่านมาประมาณ 2 เดือนแล้ว หน่วยงานต่าง ๆ ได้ดำเนินการคืบหน้าไปมากจึงขอ แถลงความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน เพื่อชื่นชมการทำงานของทุกหน่วยงาน ชี้แจงปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น พร้อมแนวทางแก้ไข และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนที่กำลังประสบปัญหา แต่ยังไม่ได้เข้าร่วมโครงการ ให้เร่งติดต่อหน่วยงานภาครัฐ เพื่อขอรับความช่วยเหลือต่อไป

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอเล่าถึงดัชนีชี้วัดความสำเร็จ หรือ KPI ของการแก้ไขปัญหาหนี้สินประชาชน

 

ซึ่งประกอบไปด้วย 3 ข้อหลักๆคือ

1.หนี้สินที่ได้รับการแก้ไขปัญหาจะต้องครอบคลุมทั้งในส่วนหนี้นอกระบบ และ หนี้ในระบบ ไปพร้อมกัน

2.เจ้าหนี้และลูกหนี้ที่มีการลงทะเบียนครบถ้วนจะต้องได้เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ย 100%

3.ลูกหนี้ที่ผ่านการไกล่เกลี่ยแล้วทุกรายจะต้องได้รับการพิจารณาสินเชื่อ หรือปรับโครงสร้างหนี้ รวมทั้งได้รับการช่วยเหลือพื้นฟูศักยภาพในการหารายได้

 

นายเศรษฐา กล่าวว่า ผลการแก้หนี้นอกระบบ สำหรับการแก้หนี้นอกระบบ ได้มอบภารกิจให้กระทรวงมหาดไทย มีบทบาทในกระบวนการไกล่เกลี่ยระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีบทบาทในการดำเนินคดีอาญาหากเจ้าหนี้มีพฤติการณ์ข่มขู่ใช้ความรุนแรง รวมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการคลังและสถาบันการเงินของรัฐ เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นแหล่งเงินทุน ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ผ่านกระบวนการไกล่เกลี่ยแล้ว

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลของการแก้หนี้นอกระบบ ตั้งแต่เปิดรับลงทะเบียนเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2566 มียอดผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้มากกว่า 1.4 แสนราย ยอดมูลหนี้รวมทั้งสิ้นประมาณ 9.8 พันล้านบาท

 

ยอดของรายการที่มีข้อมูลครบและสามารถเข้ากระบวนการไกล่เกลี่ยได้ 2.1 หมื่นราย และไกล่เกลี่ยสำเร็จแล้ว 1.2 หมื่นราย คิดเป็น 57% ของจำนวนที่เข้าสู่กระบวนการ และผลจากการไกล่เกลี่ย ทำให้มูลหนี้ลดลงกว่า 670 ล้านบาท จากยอดผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้มากกว่า 1.4 แสนราย และสามารถไกล่เกลี่ยสำเร็จแล้วประมาณ 1.2 หมื่นราย ยังถือว่าหนทางข้างหน้ายังท้าทายมากสำหรับทุกหน่วยงาน

 

ผมเข้าใจดีว่า การติดต่อเจ้าหนี้ให้ยินยอมเข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ย และทำให้ได้ข้อตกลงที่พึงพอใจของทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ทั้งข้อตกลงในการชำระหนี้ ดอกเบี้ยที่เหมาะสม และถูกต้องตามกฏหมาย เป็นเรื่องที่มีความท้าทายมากหนึ่งในปัญหาหลักเลย คือการที่เจ้าหน้าที่ได้รับข้อมูลการลงทะเบียนข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน หรือเจ้าหนี้ไม่มาเข้าร่วมกระบวนการไกล่เกลี่ย จึงขอให้เจ้าหน้าที่เร่งตรวจสอบ ติดตาม และช่วยเหลือ และขอให้ประชาชนเข้ามาให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตัวท่านเองด้วยเพื่อสามารถนำเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงและกระบวนการไกล่เกลี่ยให้เร็วที่สุด” นายเศรษฐา กล่าว

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้กำลังใจกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง และดำเนินการอย่างทั่วถึง ครอบคลุมประชาชนทุกจังหวัดทั่วประเทศ ท่านอาจจะเจออุปสรรคบ้าง เช่น ติดต่อเจ้าหนี้ไม่ได้ เจ้าหนี้ไม่ให้ความร่วมมือ หรือไกล่เกลี่ยไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ กระทรวงมหาดไทย ในฐานะที่เป็นเหมือนบันไดขั้นแรก ของการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบครั้งนี้ ยังคงต้องเร่งปฏิบัติงานแบบเชิงรุก เร่งหาตัวเจ้าหนี้ และดำเนินการไกล่เกลี่ยให้บรรลุผลให้มากที่สุด

 

นอกจากนี้ เพื่อให้ประชาชน สามารถติดต่อขอเข้าร่วมการแก้หนี้ได้สะดวกมากขึ้น จึงได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” ซึ่งทราบว่าได้มีการดำเนินการในทุกจังหวัดเรียบร้อยแล้ว อย่างน้อยเดือนละ 4 ครั้ง

 

นายเศรษฐา กล่าวว่า สำหรับบันไดขั้นที่สองของการช่วยเหลือลูกหนี้นอกระบบ ได้มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระดมกวาดล้างผู้กระทำความผิด เกี่ยวกับหนี้นอกระบบโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มเจ้าหนี้ที่มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้ และรับจำนำรถยนต์ – รถจักรยานยนต์ โดยผิดกฎหมาย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ระหว่างวันที่ 24 พฤศจิกายน – 4 ธันวาคม 2566 และครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 15 – 24 มกราคม 2567 โดยสามารถจับกุมดำเนินคดีผู้กระทำความผิดมากกว่า 1.3 พันราย คิดเป็นมูลหนี้กว่า 40 ล้านบาท

 

นอกระบบ ไม่ให้กลับมาเป็นหนี้ซ้ำอีก คือ การสร้างรายได้เพิ่ม ให้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ต้องมาร่วมกันเสริมทัพเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงาน หาอาชีพ และสร้างรายได้เพิ่มให้กับประชาชน

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผลการแก้หนี้ในระบบ ในส่วนของหนี้ในระบบนั้น ได้แบ่งกลุ่มลูกหนี้ออกเป็น 4 กลุ่ม บางกลุ่มได้รับความช่วยเหลือไปแล้ว แต่บางกลุ่มยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งผมขอให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยกลุ่มที่ 1 คือ ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจาก Covid-19 หรือเรียกสั้นๆ ว่า ลูกหนี้รหัส 21 ลูกหนี้กลุ่มนี้ได้รับการช่วยเหลือโดยปิดบัญชีหนี้เสียแล้ว มากกว่า 6 แสน 3 หมื่นบัญชี มูลหนี้กว่า 4 พัน ล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้ลูกหนี้กลับมามีสถานะปกติในระบบเครดิตบูโร และสามารถกลับเข้าสู่ระบบการเงินได้ อีกทั้งยังมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ SMEs แล้วมากกว่า 1 หมื่น ราย มูลหนี้กว่า 5 พัน ล้านบาท กลุ่มที่ 2 คือ ลูกหนี้ที่มีรายได้ประจำ แต่มีภาระหนี้จำนวนมากจนเกินศักยภาพในการชำระคืนหนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีหนังสือขอความร่วมมือให้สหกรณ์ออมทรัพย์ทุกแห่ง คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ไม่สูงจนเกินไป ไม่ควรเกินร้อยละ 4.75 ซึ่งมีสหกรณ์ออมทรัพย์กว่า 80 แห่ง ทยอยลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงมาแล้ว ซึ่งคาดว่าการลดดอกเบี้ยดังกล่าวจะสามารถช่วยเหลือสมาชิกสหกรณ์ได้กว่า 3 ล้านราย นอกจากนี้ ลูกหนี้บัตรเครดิต ได้เข้าร่วมปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ในโครงการคลินิกแก้หนี้แล้วมากกว่า 1 แสน 5 หมื่นบัญชี

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มที่มีรายได้ไม่แน่นอน ทำให้การชำระคืนหนี้ไม่ต่อเนื่อง โดยเกษตรกรได้รับการพักชำระหนี้แล้วมากกว่า 1 ล้าน 8 แสนราย มูลหนี้รวมกว่า 2 แสน 5 หมื่น ล้านบาท ลูกหนี้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.)ได้เข้ามาติดต่อขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้แล้วมากกว่า 6 แสนราย ซึ่ง กยศ. สามารถลดหรือปลดหนี้ให้กับลูกหนี้กลุ่มนี้ได้ กลุ่มที่ 4 คือ กลุ่มที่มีหนี้เสียคงค้างกับสถาบันการเงินมาเป็นระยะเวลานาน โดยปัจจุบันธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีหลักเกณฑ์การร่วมทุน ระหว่างสถาบันการเงินกับบริษัทบริหารสินทรัพย์แล้ว และจะขยายหลักเกณฑ์ดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งธนาคารออมสินอยู่ระหว่างเจรจาผู้ร่วมทุน เพื่อเตรียมจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกของปี 2567 เมื่อการจัดตั้งแล้วเสร็จ ลูกหนี้กลุ่มนี้จะสามารถโอนขายไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อให้การช่วยเหลือแบบผ่อนปรนต่อไป

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากผลที่ทุกหน่วยงานได้ดำเนินการในระยะเวลาประมาณ 2 เดือนที่ผ่านมา สามารถแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงในการทำงานของทุกหน่วยงาน และความตั้งใจจริงของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ ซึ่งการดำเนินการทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ ลูกหนี้จะต้องให้ความร่วมมือและให้ข้อมูลถึงสาเหตุปัญหา ให้ข้อมูลเจ้าหนี้ และมูลหนี้ที่แท้จริง รวมทั้งเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อให้ปัญหาถูกแก้ไขได้อย่างตรงจุด ตรงประเด็น และทันท่วงที หากลูกหนี้ท่านใดประสบปัญหาหนี้นอกระบบ ท่านสามารถลงทะเบียนขอแก้หนี้นอกระบบได้ ณ ที่ว่าการอำเภอ หรือสำนักงานเขตทุกแห่ง หรือผ่านช่องทางสายด่วนศูนย์ดำรงธรรม 1567 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากลูกหนี้ท่านใดประสบปัญหาหนี้ในระบบขอให้อย่ารอจนตนเองกลายเป็นหนี้เสีย ขอให้ท่านรีบเข้าไปหาสถาบันการเงินเจ้าหนี้ เพื่อขอคำปรึกษา ขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ซึ่งสถาบันการเงินเจ้าหนี้มีมาตรการที่เหมาะสมกับการแก้ปัญหาของแต่ละท่าน ที่แตกต่างกัน

 

ขอขอบคุณทุกหน่วยงานที่ร่วมกันแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบในครั้งนี้ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนให้ร่วมกันช่วยปฏิบัติหน้าที่เพื่อช่วยเหลือประชาชนต่อไป ผมขอให้ความเชื่อมั่นว่า การแก้ไขปัญหาหนี้ของรัฐบาล จะสามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้อย่างทั่วถึง และเราจะแก้หนี้ทั้งระบบให้จบภายในรัฐบาลนี้ให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์