กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ
ถกปัญหาขาดดุลดิจิทัล หลังแพลตฟอร์มค้าออนไลน์แย่งตลาดผู้ประกอบการไทย
ทำรายย่อยแข่งขันลำบาก พบช่องว่างทางกฎหมาย สินค้านำเข้าต่ำ 1,500 บาทไม่ต้องเสียภาษี
จี้หน่วยงานตรวจสอบ
วันที่
8 กุมภาพันธ์ 2567 ที่รัฐสภา สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล
สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ
แถลงข่าวผลการประชุม กมธ.
กรณีผลกระทบของการขาดดุลจากแพลตฟอร์มดิจิทัลจากต่างประเทศ
และนโยบายการรับมือที่เหมาะสม ว่า กมธ. ได้รับข้อร้องเรียนจากภาคเอกชนถึงผลกระทบของแพลตฟอร์มดิจิทัลต่อผู้ประกอบการไทย
เนื่องจากนับวันการค้าออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง
ประชาชนซื้อจากออนไลน์เพิ่มขึ้น
บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์จากต่างประเทศครองส่วนเเบ่งทางการตลาดในไทยมากถึง 41%
ขณะที่ตลาดของอี-คอมเมิร์ซจากต่างประเทศครองส่วนเเบ่งในไทยมากกว่า 50%
ทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับผลกระทบ
ปัญหาอยู่ที่ปัจจุบันมีช่องว่างทางกฎหมายหลายอย่างที่ทำให้ผู้ประกอบการไทยเสียเปรียบหรือถูกเอาเปรียบจากผู้ค้าต่างประเทศ
วันนี้
กมธ. จึงได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูล ได้แก่ กรมสรรพากร กรมศุลกากร
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตลอดจนภาคเอกชน
สิ่งที่พบคือ ช่องว่างการจัดเก็บภาษีของแพลตฟอร์มออนไลน์
ที่โดยปกติแล้วการดำเนินธุรกิจที่มีรายได้ในประเทศไทยจำเป็นต้องจ่ายภาษีให้กับภาครัฐ
แต่ธุรกิจแฟลตฟอร์มออนไลน์ส่วนมากมีต้นกำเนิดจากต่างประเทศ
ทำให้หลายธุรกรรมทางการเงินถูกส่งไปต่างประเทศ แต่รายได้ไม่ถูกบันทึกในไทย
จึงไม่เกิดกระบวนการจัดเก็บภาษีในประเทศ
สิทธิพลกล่าวว่า
การจัดเก็บภาษีจากผู้ให้บริการผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น ดูหนัง ฟังเพลง
สื่อโซเชียลมีเดีย ในต่างประเทศสามารถจัดเก็บภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สำหรับประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการบริการอิเล็กทรอนิกส์ชื่อว่า VAT for Electronics
Service หรือ VES โดยปัญหาที่ กมธ. สอบถาม
แต่ยังไม่ได้ตำตอบที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่ชี้แจง
คือปัจจุบันมีกระบวนการที่เพียงพอในการให้บริษัทภาคเอกชนขึ้นทะเบียนกับภาครัฐหรือยัง
รวมถึงรายได้ที่นำส่งให้รัฐ เต็มเม็ดเต็มหน่วยครบถ้วน ภาครัฐตรวจสอบได้หรือไม่
การเติบโตของแพลตฟอร์มออนไลน์
ยังส่งผลต่อการเข้ามาของสินค้าต่างประเทศ
ที่กลับได้รับสิทธิประโยชน์เหนือสินค้าของผู้ประกอบการไทย
โดยเฉพาะการได้รับยกเว้นภาษีสำหรับสินค้านำเข้าที่ราคาต่ำกว่า 1,500 บาท
ขณะที่ผู้ประกอบการในประเทศไทยต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มตั้งแต่บาทแรก
ในวันที่การสั่งสินค้าออนไลน์ทำได้ง่าย
สั่งแล้วส่งได้ทันทีหรือส่งได้รวดเร็ว ทำให้ผู้ประกอบการไทย นอกจากแข่งขันยาก
ต้นทุนสูง ยังเผชิญภาษีที่ไม่เป็นธรรม
หนำซ้ำมีสินค้าจากหลายประเทศมาตั้งคลังสินค้าในประเทศไทย อาศัยช่องว่างทางกฎหมาย
ทำให้ยิ่งส่งสินค้าจากต่างประเทศจากคลังสินค้าที่เรียกว่า free trade store ส่งถึงบ้านเรือนประชาชนง่ายขึ้น
หากเราไม่มีแนวทางการกำกับสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเท่าทัน
นับวันจะทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ลำบากมากขึ้น
“เรื่องนี้สำคัญ หากเราไม่ทำอะไรในระยะยาว ผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs
พ่อค้าแม่ค้ารายย่อยจะอยู่ลำบาก นับวันจะค้าขายยากขึ้น
เงินทุกบาทที่คนไทยช็อปปิ้งออนไลน์จะไหลไปอยู่ต่างประเทศทั้งหมด
กระทบต่อการจ้างงาน ต่อการลงทุนในประเทศ วันนี้ กมธ.
จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
กลับไปหารือกันอย่างเร่งด่วนว่าจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ”
ประธาน กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ กล่าว
สิทธิพลกล่าวว่า
สิ่งที่ควรออกมาเป็นมาตรการให้ชัดเจนคือ สำหรับสินค้าที่มูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทจากต่างประเทศ
จะทำอย่างไรให้สินค้าไทยไม่เผชิญความเสียเปรียบจากช่องว่างทางภาษี
รวมถึงประเด็นแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ โดย กมธ. ตั้งเวลาไว้ที่ 30-60 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกลับมาชี้แจงใน กมธ.
นอกจากนี้จะตั้งคณะทำงานเพื่อติดตามประเด็นนี้โดยเฉพาะเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ผู้ประกอบการและประชาชน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธพัฒนาเศรษฐกิจ