‘ก้าวไกล’ ยืนยันเสนอญัตติทบทวนมติรัฐสภากรณีสภาโหวตนายกฯ ต่อไป
ย้ำสภาควรแก้ไขกันเองได้ ทำเรื่องที่ถูกต้องให้เป็นบรรทัดฐาน
ไม่ต้องพึ่งองค์กรภายนอก
วันที่
16 สิงหาคม 2566 ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม
สส.บัญชีรายชื่อ และ โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน
กรณีสภาโหวตเลือกนายกฯ
เนื่องจากผู้ร้องเรียนไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง
ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213
รังสิมันต์กล่าวว่า
ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง
แต่ยกเรื่องเทคนิคกระบวนการมาเป็นเหตุผล
สำหรับพรรคก้าวไกลยืนยันโดยตลอดว่ากรณีเช่นนี้ สภาควรแก้ไขปัญหากันเองได้
ไม่จำเป็นต้องให้องค์กรภายนอกอย่างศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา
อะไรก็ตามที่ทำไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดไป สภามีอำนาจแก้ไขปรับปรุง
จึงเป็นที่มาที่ทำให้พรรคก้าวไกลเสนอญัตติเพื่อให้สภาทบทวน
ว่าการที่สภาเคยมีมติว่าญัตติที่เสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ
จากพรรคก้าวไกลซ้ำ ไม่สามารถทำได้นั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องทางกฎหมาย
ดังนั้น
ในโอกาสที่จะมีการเลือกนายกฯ ต่อไป พรรคก้าวไกลขอยืนยันจะเสนอญัตตินี้ต่อไป
และหวังว่ากระบวนการนี้จะทำให้สภาได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง
โดยยืนยันว่าไม่ใช่การตีรวนทางการเมือง
“สถานะแคนดิเดตนายกฯ เป็นสถานะตามรัฐธรรมนูญ
ไม่ใช่พอเสนอกันไปแล้วไม่ผ่านในรอบแรก จะบอกว่าสถานะนั้นไม่มีอีกแล้ว
การพิจารณาแบบนี้เป็นการเล่นการเมือง โดยไม่พิจารณาอยู่บนข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย
พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การพิจารณาแคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากรอบนี้ไม่ผ่าน
รอบต่อไปก็เสนอได้” รังสิมันต์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้
พิธาจะยื่นคำร้องเองในฐานะบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือไม่ รังสิมันต์กล่าวว่า
ไม่ยื่นแน่นอน แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเป้าของการไม่ให้เสนอนายกฯ ซ้ำ
แต่เรายืนยันมาตลอดว่าเรื่องนี้เป็นกิจการของสภา
จึงต้องการใช้กลไกของสภาในการทำสิ่งที่ถูกต้อง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง
หรือเพื่อให้พิธากลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง ไม่ว่าแคนดิเดตเป็นใคร
จะได้ประโยชน์จากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น
เว้นเสียแต่บางกลุ่มบางพวกต้องการวางหมากให้การเสนอนายกฯ เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว
ซึ่งไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่ ๆ โดยอาจแบ่งเป็น 2 กรณี
หนึ่งคือเพื่อให้พรรคก้าวไกลไม่ผ่านหรือพรรคการเมืองบางพรรคไม่ผ่าน
แล้วหวังว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ และสอง เป็นการปูทางไปสู่นายกฯ คนนอก
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย” รังสิมันต์กล่าว
นอกจากนี้
รังสิมันต์ยอมรับว่า สถานะของญัตติดังกล่าวมีปัญหา
เพราะแม้ตามกระบวนการมีผู้รับรองถูกต้อง และไม่มีอำนาจในข้อบังคับฯ ที่ให้ประธานวินิจฉัย
ซึ่งประธานชี้แจงว่าให้รอศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีข้อกฎหมายเช่นกันว่าระหว่างที่รอ
จะทบทวนไม่ได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม
เข้าใจว่าเป็นเจตนาดีของประธานรัฐสภา
ที่ต้องการให้กระบวนการมีความชัดเจนก่อนแต่หากพิจารณาด้วยเหตุผล
หากเรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน หากรอต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่มีความชัดเจน
จะสร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง
เพราะการเสนอชื่อบุคคลในรัฐสภานั้นไม่ได้มีแค่ตำแหน่งนายกฯ และหากเสนอชื่อนายกฯ
ซ้ำไม่ได้ อาจทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ทำลายประชาธิปไตย
ทำลายการเมืองแบบรัฐสภา ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน