‘พิธา’ ตั้งคำถาม กกต. กรณีคณะกรรมการมีมติยกคำร้องคดีหุ้นไอทีวี ชี้ กกต.
ละเลยข้อเท็จจริง-แนวคำวินิจฉัยศาลฯหรือไม่ ย้ำข้อสงสัยจงใจกลั่นแกล้งทางการเมือง
วันที่
15 สิงหาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีคดีหุ้นไอทีวี โดยโพสต์ลงเฟซบุ๊กเพจ ใจความว่า
เมื่อวานนี้ (14 สิงหาคม)
มีข่าวออกมาว่าคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน ของ กกต.
มีมติว่าจะให้ยกคำร้องผมในคดีอาญามาตรา 151 เรื่องการรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้ง
แต่ยังลงสมัคร จากการถือหุ้นไอทีวี โดยคณะกรรมการสืบสวนมีเหตุผลสำคัญว่า
บริษัทไอทีวีไม่มีการดำเนินกิจการอยู่และไม่มีรายได้จากการเป็นสื่อ
จึงไม่ถือว่าผมมีความผิด
ผมยืนยันอีกครั้งว่า
คดีหุ้นไอทีวีของผม เป็นที่น่าสงสัยว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งทางการเมืองหรือไม่
เพราะผมถือหุ้นนี้มาตลอดเวลาที่ทำงานการเมือง เป็น สส. มา 4 ปี
แต่เพิ่งจะเกิดการร้องเรียนกันขึ้นในเวลาที่ผมเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
และมีการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญก่อนหน้าการเสนอชื่อผมต่อสภาฯ ไม่กี่วัน
รวมถึงมีหลักฐานความผิดปกติมากมายที่บ่งชี้ว่ามีความพยายามปลุกปั้นให้บริษัทไอทีวีซึ่งเลิกกิจการสื่อไปนานกว่า
10 ปี กลับมาเป็น ‘หุ้นสื่อ’ ให้ได้
มาวันนี้
ที่มีการเปิดเผยมติของคณะกรรมการไต่สวนออกสู่สาธารณะแล้วว่าผมไม่ผิด
ทำให้มีประเด็นคำถามที่ผมขอถามไปยัง กกต. ดังนี้ คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนดังกล่าว
ซึ่งทำคดีมาตรา 151
(คดีอาญา) มีมติก่อนที่ กกต.
จะพิจารณาส่งคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถึงแม้ว่า กกต. จะอ้างว่า
การพิจารณาของคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวน
เป็นคนละกระบวนการกับการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ แต่คณะกรรมการสืบสวนฯ ซึ่งเป็นคณะกรรมการที่รวบรวมพยานหลักฐานและเรียกพยานบุคคลมาสอบข้อเท็จจริง
ได้เห็นข้อเท็จจริงว่า
ไอทีวีมิได้ประกอบกิจการสื่อและมิได้มีรายได้จากกิจการสื่อมวลชนในขณะที่ผมสมัครรับเลือกตั้งแต่อย่างใด
แต่
กกต. กลับยังยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยละเลยข้อเท็จจริงบางประการที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้หยิบยกมาพิจารณา
และละเลยแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่เคยวางหลักเรื่องการมีรายได้และที่มาของรายได้เป็นเกณฑ์ว่าบริษัทใดเป็นสื่อหรือไม่
การที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนมีมติว่า หุ้นไอทีวีไม่ใช่หุ้นสื่อ
นอกจากจะสอดคล้องกับแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญแล้ว
ก็สอดรับกับความเห็นของประชาชนทั่วไปอีกด้วย
ดังนั้น
การสั่งให้ผมหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทั้ง ๆ ที่ไอทีวี และอินทัช ซึ่งเป็นบริษัทแม่
ล้วนแต่มีเอกสารงบการเงินยืนยันว่า ไอทีวีหยุดประกอบกิจการ
และไม่มีรายได้จากการประกอบกิจการสื่อ ประกอบกับคดีหุ้นสื่อของ สส.
(นอกจากคดีคุณธนาธร) ปี 2563
ประมาณ 60 คน
ศาลก็ไม่ได้สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่แต่อย่างใด แต่ในคดีผม
กลับสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ผมจึงขอให้สังคมพิจารณาว่าการสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผม
มีความเป็นธรรมหรือไม่