วันอังคารที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ธิดา ถาวรเศรษฐ : โฉมหน้าการเมืองไทยหลังการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว (หัวประชาชน)

 


ธิดา ถาวรเศรษฐ : โฉมหน้าการเมืองไทยหลังการจัดตั้งรัฐบาลผสมข้ามขั้ว (หัวประชาชน)


[ถอดคำพูดจาก Facebook Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เมื่อวันจันทร์ที่ 28 สิงหาคม 2566]


วันนี้ที่ทำเฟซบุ๊กไลฟ์เพื่อต้อนรับรัฐบาลใหม่ อันเป็นรัฐบาลที่อาจจะถือว่าเป็นรัฐบาลข้ามขั้ว ดิฉันใช้คำว่า (หัวประชาชน) เหตุผลเพราะว่าครั้งที่แล้วในรัฐบาลก่อน มันมีขั้วฝั่งรัฐบาลกับขั้วฝั่งฝ่ายค้าน ขั้วฝั่งฝ่ายค้านเป็นขั้วที่ไม่สนับสนุนผู้สืบทอดอำนาจ ดังนั้น มันจึงกลายเป็นขั้วรัฐบาลเดิมผู้สนับสนุนสืบทอดอำนาจการทำรัฐประหาร กับขั้วที่ไม่สนับสนุน ขั้วไม่สนับสนุนอันได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย ดังนี้เป็นต้น ขั้วนี้ในทัศนะของประชาชนก็คือขั้วฝ่ายประชาธิปไตย


หลังจากนั้น ดิฉันมองแล้วว่าในการเลือกตั้งครั้งใหม่พรรคฝ่ายประชาธิปไตยฝั่งที่ไม่เอาการสืบทอดอำนาจนั้นมีโอกาสเป็นรัฐบาลสูง ดังนั้นเมื่อเราตั้งกลุ่มคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) เราก็ได้ไปที่รัฐสภา และเราไปยื่นข้อเรียกร้องทวงความยุติธรรม ซึ่งขณะนั้นคุณหมอชลน่านยังบอกว่า นี่แปลว่าคิดว่าเราจะได้เป็นรัฐบาลใช่มั้ย? ดิฉันบอกว่าใช่ เราก็ขอ 3 ประการดังที่ทราบกันก็คือ ขอให้มีการสืบสวน สอบสวน เร่งรัดคดีที่ถูกแช่แข็งและความไม่เป็นธรรมในกระบวนการดำเนินคดี ให้ตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะทำให้การทวงความยุติธรรมของคดีที่ถูกบิดเบือนและถูกแช่แข็งได้เดินหน้าต่อไป


และประการที่ 2 ที่เราได้ไปเรียกร้องก็คือ เราเรียกร้องว่านักการเมืองและทหารที่ทำความผิดทางอาญาต่อประชาชน พูดง่าย ๆ ว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณี 2553 ทหารที่ทำความผิด นักการเมืองที่ทำความผิด ไม่ใช่ทหารทำความผิดทางอาญาต่อประชาชนไปขึ้นศาลทหาร แล้วนักการเมืองไปขึ้นศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองโดยผ่านป.ป.ช.ซึ่งทำตัวเป็นศาล โยนทิ้งเลย ข้อนี้สำคัญมาก ซึ่งเราจะยังเรียกร้องอีก และข้อ 3 ก็คือขอให้รับรองเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีปี 2553 อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับมาตรา 6 ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่จะกระทบกระเทือนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์แต่ประการใด นี่คือ 3 ข้อเรียกร้อง


แล้วตอนนี้ก็กลายเป็นรัฐบาลชุดใหม่ ก็คือเหมือนกับขั้วรัฐบาลเดิม เอาพลังประชารัฐ บวกกับ รวมไทยสร้างชาติ ก็คืออันเดิมนั้นแหละ ก็คือเป็นขั้วเดิม ยกเว้น ประชาธิปัตย์ ซึ่งอาจจะมาในไม่ช้า แต่ว่าที่เติมไปเป็นพลังใหญ่ก็คือพรรคเพื่อไทย นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า เป็นรัฐบาลข้ามขั้ว ก็คือเพื่อไทยข้ามขั้ว จากขั้วที่เป็นฝ่ายค้านฝ่ายประชาธิปไตยไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจมาแล้ว 4 ปี แล้วก่อนหน้านั้นอีกเป็น 10 กว่าปีที่ถูกกระทำ มาบัดนี้ก็กลายเป็นรัฐบาลข้ามขั้ว สมานฉันท์กับฝั่งสืบทอดอำนาจ อันนี้ตรงไปตรงมานะ ไม่ได้เป็นการโจมตี นี่คือความเป็นจริง เมื่อมาอยู่กับรัฐบาลสืบทอดอำนาจมันก็ต้องเป็นรัฐบาลที่ข้ามขั้ว แล้วก็คำว่าข้ามหัวประชาชนก็คือประชาชนที่ถูกทำให้เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ อย่างน้อยพวกเรา คณะประชาชนทวงความยุติธรรมและคนเสื้อแดงทั้งหลาย ก็พากันไปร้อง ถ้าเราจำได้ เมื่อตอนปีที่แล้ววันที่ 10 เมษา ก็ขั้วฝั่งประชาธิปไตยมานั่งเต็มแถวไปหมดเลย และสัญญากับเราว่าจะทวงถามความยุติธรรม และจะทำความยุติธรรมให้ปรากฏให้ได้ เพราะว่าดิฉันรู้แล้วว่ามีโอกาสเป็นรัฐบาลสูง แต่ว่ามหัศจรรย์ก็คือนึกไม่ถึงว่าจะมาเพียงพรรคเดียวที่มาเป็นรัฐบาล คำถามซึ่งเราจะต้องตอบต่อไปว่า แล้วการทวงความยุติธรรมมันจะเป็นไปได้หรือ ในเมื่อท่านไปเป็นรัฐบาลสมานฉันท์กับฝ่ายที่สืบทอดอำนาจและมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปี 2553 ที่มีความสูญเสียของประชาชน


เพราะฉะนั้น นี่ก็คือที่มาอารัมภบทว่าเราจำเป็นต้องมาพูดทำความเข้าใจกัน นี่คือผลที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เป็นการโจมตีด่าทอใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วกรณีนี้ดิฉันจะพูดถึงโพล 2 โพลด้วย โพล 2 โพลที่มาเกี่ยวข้องก็คือเป็นการยืนยันสิ่งที่ดิฉันได้พูด ดิฉันได้พูดเอาไว้ว่าพรรคเพื่อไทยในอดีตนั้นได้ 15.7 ล้านเสียงในการเลือกตั้งยุคคุณยิ่งลักษณ์ แล้วครั้งนี้ได้ประมาณ 10 ล้านเสียง ก็หายไป 5 ล้านเสียง แล้วเมื่อเวลาไปตามรายการต่าง ๆ เขาก็ให้ทำนายว่าครั้งต่อไปจะเป็นอย่างไร ก็ปรากฏว่ามีคนมาทำโพล เพราะดิฉันไม่อยากซ้ำเติม ไม่อยากไปพูดไม่ดีให้กับพรรคที่เราเป็นมิตรและร่วมสู้กันมาก่อนเป็นเวลายาวนาน


ก็ปรากฏว่ามหาวิทยาลัยศรีปทุม (SPU) ร่วมกับดีโหวต (D-vote) ก็ทำการเปิดเผยคะแนน ก็คือเขามีค่าความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95.0 ถามคนก็ไม่มาก พันกว่าคน แต่ถ้าเป็นวิธีสุ่มที่มีมาตรฐานมันก็น่าจะรับฟังได้ ดิฉันดูก็อย่างน้อยก็ 70% อันนี้เขาความเชื่อมั่น 95% แต่ดิฉันให้ว่าประมาณ 70 กว่าเปอร์เซ็นก็ได้ ก็คือ “พรรคก้าวไกล” คะแนนเพิ่มขึ้น คืนถ้ามาเลือกตั้งวันนี้ เลือกพรรคการเมือง เพิ่มขึ้นร้อยละ 62.39 แล้วก็ที่น่าสังเกตก็คือ “เพื่อไทย” คะแนนนิยมลดลง ร้อยละ 62.24 มันเป็นอัตราส่วนผกผันกันเลย แต่ว่าเขาก็สามารถลงรายละเอียดได้ว่าประมาณครึ่งหนึ่งก็คือร้อยละ 51.32 ไหลไปหา “พรรคก้าวไกล” แต่ร้อยละ 10.92 ไหลไปหาพรรคอื่น ๆ


อันนี้ก็เป็นการยืนยันตัวเลขอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ อย่างน้อยก็เป็นการเก็บตัวเลขทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่จากความรู้สึก ถ้าเอาตอนที่มีคนถามอาจารย์ธิดาเวลาไปออกรายการต่าง ๆ ดิฉันบอกยังไม่ทันข้ามขั้ว ไม่ทันข้ามหัวใครก็หายไป 5 ล้าน จาก 15.7 ล้าน เหลือ 10 ล้าน ตอนนี้ถ้าข้ามไปมันก็จะเหลือ ในใจก็จะคิดแต่ว่าไม่สบายใจที่จะพูด บอกให้คิดเอาเอง ก็ไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ว่าพูดอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นอย่างนี้จริง


การตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีการก้าวข้ามขั้วและข้ามหัวประชาชน มันก็อยู่ในสถานการณ์ใหม่ของสังคมไทย เป็นสถานการณ์ใหม่ของสังคมไทยที่น่าจับตาดูมาก ในทัศนะของดิฉัน “พรรคเพื่อไทย” ดิฉันลองคิดดูว่าเขาได้เตรียม 3 กลยุทธ์ใหญ่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ก็คือ ประเด็นแรกชูประเด็นเศรษฐกิจชนิดที่เติบโตมาด้วยกันให้ได้เค้กก้อนใหญ่ ไม่ใช่เศรษฐกิจแบบรัฐสวัสดิการ แต่ว่าเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตไปด้วยกันก็คือเป็นต้นไม้ใหญ่ทั้งฐานทั้งยอด คือเศรษฐีก็โอเค คนชั้นกลางก็โอเค มวลชนพื้นฐานก็โอเค อันนี้เป็นวิธีคิด เป็นทฤษฎีของการทำเศรษฐกิจแบบเค้กก้อนใหญ่แล้วค่อยแบ่งเค้กให้มวลชนพื้นฐาน


ประเด็นที่สองก็คือใช้สีแดง แล้วก็ใช้ครอบครัวเพื่อไทยเพื่อเรียกคนเสื้อแดงกลับพรรค เหตุผลเพราะอะไร เพราะว่าจาก 15.7 ล้าน เมื่อตอนเลือกตั้งตอนปี 2562 ก่อนหน้านี้มันเหลือประมาณ 7-8 ล้านเอง หายไปเกือบครึ่งหนึ่งเลย แต่นั้นเป็นบัตรใบเดียว เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ครั้งนี้จึงดึงสีแดงมาเป็นสีประจำพรรค ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยใช้สีแดง บางครั้งท่านก็เกรงว่าสีแดงจะมีปัญหา เพราะฉะนั้นเวลาเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ผู้สมัครส.ส.ก็จะไม่ใส่สีแดงเลย ไม่พูดถึงเสื้อแดง แล้วก็จะใช้สีขาว สีน้ำเงิน อะไรอย่างนี้มาเป็นการหาเสียง แต่ว่าครั้งนี้ใช้กลยุทธ์สีแดงก็คือเรียกคนเสื้อแดงกลับบ้าน จนคนก็เลยเข้าใจว่าสีแดงเป็นสีประจำพรรค ที่จริงเพิ่งจะมาเป็นในการเลือกตั้งปี 66


แต่อันที่ 3 ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ยังไม่ได้เปิดเผยและเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ “พรรคเพื่อไทย” อ้อมแอ้ม ไม่สามารถตอบอะไรได้ในครั้งแรกว่าคุณจะเลือกฟากไหน จะเลือกอยู่ในฟากฝ่ายเสรีประชาธิปไตยหรือจะไปจับมือกับลุง สุดท้ายก็ต้องบอกว่าไม่จับมือกับลุง ยืนยันว่าเป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย แต่ในความจริงในทัศนะดิฉัน พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ให้ได้อยู่ยาว คือถ้าไม่ได้แลนด์สไลด์ เขาใช้คำว่าแลนด์สไลด์ เราต้องเข้าใจ คือถ้าแลนด์สไลด์แล้วได้ มันก็ง่ายหน่อย แต่ว่าถ้าแลนด์สไลด์ไม่ได้ ดังที่ทางพรรคเพื่อไทยได้บอก เขาก็จำเป็นต้องจัดตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ แต่อันนี้มันเป็นคำตอบที่เตรียมไว้อยู่แล้ว เพราะเราจะเห็นว่าอีกฟากหนึ่ง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐเขียนไว้เลย “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ก็คือเตรียมไว้ทั้งสองฟาก แต่ว่าฟากนี้ฟากพรรคเพื่อไทยเงียบไว้ไม่พูดจนถึงเวลาจริง


เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ 3 นี้ มันเป็นกลยุทธ์เหมือนทฤษฎีเกมที่จะนำไปสู่รัฐบาลสมานฉันท์ ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ได้ชัยชนะเด็ดขาด และมันมีหลายฝ่ายด้วย มันก็จำเป็นที่จะต้องใช้ทฤษฎีเกมที่เราอาจจะเรียกว่า nash equilibrium หรือว่าสมดุลของแนช ซึ่งเขาได้รับรางวัลโนเบล ก็คือมีการถอย มีการต่อรอง หาจุดสมดุล ใช้กลยุทธ์หลาย ๆ อย่าง จนได้จุดสมดุล ก็นี่คือจัดตั้งรัฐบาลนี้ นี่เป็นรัฐบาลที่ดิฉันมองว่าต้องใช้ทฤษฎีเกมสมดุลแบบแนช คือไม่มีใครชนะได้แบบเต็มที่ข้างเดียว ถ้าเป็นผู้ชายที่อยากได้ผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เป็นสาวผมบลอนด์ซึ่งมีอยู่คนเดียว ก็หมายถึงชิงอำนาจรัฐ มันไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จำเป็นที่จะต้องถอยลงมา ก็คือหาจุดสมดุลให้ได้ ซึ่งก็มีการต่อรองยาวนาน จนบัดนี้ดิฉันไม่แน่ใจว่ารัฐมนตรีกลาโหมจะเป็นใคร เพราะว่าแต่ละคนแต่ละพรรคก็ต้องมีกลยุทธ์และมีอำนาจในการต่อรอง รับและรุกจนกระทั่งให้ได้จุดสมดุลเพื่อเป็นรัฐบาล นี่ก็คือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยเตรียมไว้ และแน่นอน พรรคอื่น ๆ ก็เช่นเดียวกัน


ในความเป็นจริงนั้น ความขัดแย้งจริงก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่ต้องการอำนาจเป็นของประชาชน นี่คือความขัดแย้งหลัก กับฝ่ายชนชั้นนำที่ไม่คืนอำนาจให้กับประชาชน ดิฉันอยากจะเรียนว่านี่คือความขัดแย้งหลัก เราจะต้องไม่ไปหลงเผลอไผลไปในความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองซึ่งเป็นกลุ่มผลประโยชน์ทั้งสิ้น แต่ความขัดแย้งหลักจริง ๆ ของประเทศนั้นก็คือความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่ต้องการให้อำนาจเป็นของประชาชนจริง กับความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำที่ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ถามว่าพวกนี้ใช้ทฤษฎีเกมมั้ย? ใช้เหมือนกัน แต่เป็นทฤษฎีเกมที่เรียกว่า รวมกันเป็นศูนย์ (zero-sum game) ก็คืออีกฝ่ายหนึ่งต้องหายไปเลย คือมันขั้วที่ต้องปะทะกันจนเป็นศูนย์ ซึ่งกำลังมันต้องสามารถที่จะดุลได้ เป็น zero-sum game คือความขัดแย้งนี้เป็นความขัดแย้งที่ตกลงกันไม่ได้ นี่คือสิ่งทีเกิดขึ้นจริง มันไม่เหมือนพรรคการเมือง พรรคการเมืองก็ใช้ทฤษฎีหาจุดสมดุลแล้วแบ่งเค้กกัน คนนี้เอากระทรวงนี้ คนนั้นเอากระทรวงนั้น คนโน้นเอากระทรวงโน้น ต่อรองกันไป ขึ้นอยู่กับว่าพละกำลังของแต่ละฝ่ายมีเท่าไหร่ อย่างพรรครวมไทยสร้างชาติ เขามีเพียงแค่ 36 เสียง แต่ว่าพละกำลังมีมากเพราะสามารถเอาวุฒิสมาชิกมาหนุนได้เป็นจำนวนมาก นี่ยกตัวอย่างเป็นต้น แล้วมีอะไรอีก มีกองทัพ


เพราะฉะนั้น เราจะเห็นเลยว่าพรรคเพื่อไทยก็อนุญาตให้บิ๊กตู่สามารถจัดตั้ง ผบ.ทร., ผบ.ทบ., ผบ.ทอ. อะไรต่าง ๆ ได้ ก่อนหน้านั้นก็เห็นคุณอ้วน (ภูมิธรรม เวชยชัย) เคยโต้แย้ง ตอนนี้เงียบ! แปลว่าตกลงกันแล้ว แม้กระทั่งตามข่าวเดิมว่ารัฐมนตรีกลาโหมก็จะเอาเพื่อนของคุณประยุทธ์มาอยู่ อันนี้มันก็อยู่ในทฤษฎีเกมสมดุลที่ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีพละกำลังก็คือของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือที่เราเห็นข้างหน้าก็อย่าง ข้างหลังก็อีกอย่างหนึ่ง


ในทัศนะของดิฉัน คุณประยุทธ์ ยังสามารถที่จะควบคุมการขี่เสือของพรรคเพื่อไทย เพราะว่ายังมีหุ้นส่วนอยู่ และยังมีอำนาจการต่อรองอย่างน้อยก็ไปอีก 4 ปี ดังนั้นคุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือคุณจะเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วตั้งคำถามใหม่ให้แก้ทั้งฉบับ มันจะเป็นไปได้หรือ? แล้วการทวงความยุติธรรมให้กับคนเสื้อแดง หรือว่ากลุ่มที่ถูกคุมขัง กลุ่มผู้ลี้ภัย กลุ่มผู้สูญหาย แล้วมันจะเป็นไปได้หรือ? เดิมอาจารย์คิดว่านี่ถ้าเขาร่วมกันอยู่ เราก็จะขอให้เขาตั้งคณะกรรมการเลย เพื่อมาจัดการกับคดีความที่มีปัญหาถูกแช่แข็งและถูกบิดเบือนต่าง ๆ แล้วตอนนี้จะไปเอาคณะกรรมการจากไหนของรัฐบาล ก็ต้องช่วยกันคิดอยู่ว่าจะสามารถใช้เวทีรัฐสภาได้แค่ไหน อย่างไร จะไปแก้กฎหมายทหารที่ทำความผิดต่อประชาชนให้ขึ้นศาลพลเรือน แล้วมันจะได้หรือ? ก็ดูรัฐมนตรีกลาโหมก็ยังอยู่ในโควตา ผบ.อะไรต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในโควตาของพล.อ.ประยุทธ์ทั้งสิ้น


เพราะฉะนั้น รัฐบาลที่เกิดขึ้นมันยังเป็นขั้วของการสืบทอดอำนาจ แต่ “เพื่อไทย” ข้ามเส้นแบ่งมาสู่ขั้วของการสืบทอดอำนาจที่มีอยู่ ที่พูดนี่ ดิฉันก็เห็นใจนะ แต่อย่างที่บอก เห็นใจแต่ไม่เห็นด้วย ก็เห็นใจและเข้าใจว่าพรรคเพื่อไทยต้องการเป็นรัฐบาล แล้วต้องการแก้ปัญหาตามที่ตัวเองถนัดและได้ประโยชน์ วินวินหมด วินวินทั้งพรรคเพื่อไทย วินวินทั้งประชาชน อันนั้นเป็นความเชื่อ แต่ว่าประชาชนนั้นเดินไปไกลแล้ว ก็คิดว่ามันจะวินวินกว่าถ้าเราสามัคคีกัน เพราะว่าจริง ๆ แล้ว คำว่าสมานฉันท์มันไม่ได้สมานฉันท์จริงนะ เพราะขั้วฝ่ายจารีตใช้กลยุทธ์นี้เพื่อที่จะแยกสลายฝ่ายพลังประชาธิปไตยให้อ่อนลง อย่างน้อยก็เกือบครึ่ง


ดังนั้น อย่าให้สับสนระหว่างเรื่องของสีเสื้อกับเรื่องอุดมการณ์ ขณะนี้ดิฉันไม่ค่อยเห็นด้วยกับนิด้าโพล บางคำถามก็โอเค แต่คำถามเรื่องสีเสื้อ ดิฉันก็อยากใช้โอกาสนี้อธิบายหน่อย ถามว่าต่อไปมันจะเป็นสงครามสีเสื้อหรือเปล่า? ไม่ใช่นะคะ คำว่า “คนเสื้อแดง” ไม่ได้หมายความว่าคนเสื้อแดงทั้งหมดก็คือผู้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยทั้งหมด คนเสื้อแดงเคยสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นจำนวนเรียกว่าไปถึง ดิฉันไม่นับ 19 ล้านสมัยคุณทักษิณ เอา 15.7 ล้านนั่นแหละ แล้วในขณะนั้นมีคนโหวตอยู่เพียง 35 ล้าน new voter อีก 4 ล้าน คือเมื่อตอนปี 2566 มีคนโหวตใหม่รวมแล้วผู้มีสิทธิโหวตที่ไปโหวต 39 ล้าน แต่พรรคเพื่อไทยได้เหลือ 10 ล้าน หายไปแล้ว 5 ล้าน กับที่ new voter ไม่เลือกเลยหรืออย่างไร อันนี้ไม่ทราบ แต่ว่ารวม ๆ กันคือเสียงหายไปแล้วไม่ได้ new voter เลยหรืออย่างไร ก็ได้ 10 ล้านเสียง (ผู้สนับสนุนจาก 45% เหลือ 27%)


ทีนี้ถามว่าหายไปไหน อย่างโพลของศรีปทุมบอกชัดเลยว่าไหลไปก้าวไกล ถ้าถามวันนี้นะ ดังนั้น คนเสื้อแดงเวลาโหวตก่อนหน้านี้ก็สามารถโหวตได้ทั้งพรรคเพื่อไทย ทั้งพรรคก้าวไกล และสมัยต่อไปอาจจะโหวตพรรคเป็นธรรม พรรคไทยสร้างไทย หรือพรรคใหม่ที่จะมีเกิดขึ้นอีกก็ได้ เห็นมีใครตั้งพรรคใหม่เอาแดงกับส้มไปรวมกันเลย ดังนั้นต่อไปไม่ใช่สงครามสีเสื้อเพราะว่าคนที่ใส่เสื้อสีส้มก็อาจเป็นคนเสื้อแดงก็ได้ ดิฉันมีนักข่าวมาเล่าให้ฟังว่าก็เห็นพ่อค้าแม่ค้าใส่เสื้อสีส้มตอนที่เป็นกองเชียร์ตอนเลือกตั้ง แต่ว่าพอมาเห็นนักข่าวเราเขาก็รู้ว่าเป็นสำนักข่าวยูดีดีนิวส์ เขาก็ควักบัตรนปช.มาให้ดู แปลว่าเขาเป็นคนเสื้อแดง แต่เขาเป็นโหวตเตอร์ให้ก้าวไกล แล้วขณะนี้คนเสื้อเหลืองจำนวนหนึ่ง หรือคนเสื้อหลากสี หรือประชาธิปัตย์จำนวนหนึ่งก็เลือกพรรคก้าวไกล แปลว่าเหลืองมาเป็นส้มก็มีส่วนหนึ่ง แดงไปเป็นส้มนี่มีจำนวนมาก คือพรรคก้าวไกล โอเคคุณทำอะไรสอดคล้องกับความเป็นจริงหลายอย่าง แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ดิฉันอยากจะเรียนให้รู้ว่า คนเสื้อแดงมีนับ 10 ล้าน แล้วก็ได้เทคะแนนให้กับพวกคุณจำนวนมาก สิ่งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ มันเกิดขึ้นจากการต่อสู้ยาวนาน บางคนอาจจะบอกว่าผมก็สู้เหมือนกัน เช่นเลขาต๋อมบอกผมก็ขึ้นเวทีครูประทีป อันนั้นมันตอนจะจบแล้วค่ะ วันที่ 19 แต่คำถามว่าจาก 53 มาจนถึง 57 หรือจาก 51-52 ขบวนการคนเสื้อแดงและนปช. เราได้ช่วยกันสร้างประชาชนที่แอคทีฟ ที่มีความคิดทางการเมือง ที่เป็นประชาชนที่ก้าวหน้าขึ้นมามากมาย เวลานั้นปัญญาชนไม่เอา เพราะว่าเกลียด 2 ไม่ ไม่เอาทหารก็จริง แต่ไม่เอาคุณทักษิณ ที่ไม่เอาคุณทักษิณนี่เยอะเลยสำหรับปัญญาชน และนั่นคือข้ออ่อน แต่ว่าประชาชนทั่วทั้งประเทศ ไม่ว่าเป็นมวลชนพื้นฐาน หรือชนชั้นกลาง หรือคนจำนวนหนึ่งที่เป็นคนเสื้อแดงล้วนได้รับการบ่มเพาะผู้ปฏิบัติงาน ได้รดน้ำพรวนดินในฐานะคนเสื้อแดง ในฐานะนักต่อสู้ เมื่อพรรคก้าวไกลเสนอนโยบายการเปลี่ยนแปลงที่ตอบโจทย์ แต่ว่ามันไม่ได้เกิดชั่วข้ามวันที่คุณมาเป็นนะ มันมีผลแสดงอยู่ก่อนแล้ว ดิฉันอยากจะให้รู้อันนี้ไว้ด้วย


ดังนั้น นิยามสี ต้องเข้าใจให้ตรงกัน มันจะไม่ใช่สงครามสี แต่ว่ามันเป็นสงครามฝ่าย ถ้าคุณทั้งโดยหลักการ โดยปฏิบัติ โดยจุดยืน คุณไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ คุณไม่สนับสนุนการทำรัฐประหาร คุณก็เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง หรือประชาชนใด ๆ ก็ตาม มันก็ต้องสามัคคีกัน ก่อนหน้านี้คุณทักษิณ ไทยรักไทย และคนเสื้อแดงเป็นศัตรูของฝั่งจารีต เรียกว่าตัวเอ้เลย เขาใช้ทฤษฎีแบบจัดการให้เป็นศูนย์ zero-sum game เพื่อจะทำลายให้หมดเกลี้ยงไปเลย ทำเหมือนกับยุคคอมมิวนิสต์ ฆ่าเรียบ เผาเรียบ อันนี้ก็ขังเรียบ อุ้มเรียบ แล้วก็จัดการลงโทษอย่างหนึ่งอย่างใดก็ได้ คือจัดการให้เรียบเลยเพื่อให้กลัว แบบวิธีที่ปราบคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ในยุคก่อน เอามาใช้กับคนที่มีความเชื่อในระบอบการเมือง ความจริงอันนั้นมันคอมมิวนิสต์นะ แล้วเดี๋ยวนี้ไม่มีพ.ร.บ.คอมมิวนิสต์แล้ว คนประกาศเป็นคอมมิวนิสต์ก็ไม่ได้ผิดอะไร แต่กลายเป็นว่าคนที่พูดความคิดต่างแล้วก็พูดในระบอบประชาธิปไตยกลับถูกขังคุก อันนี้มันกลับตาลปัตร แต่ว่าเอาแนวคิดและวิธีการถือเป็นศัตรู ทำแบบเดียวกัน ปรากฏว่าฆ่าไม่ตาย กลายเป็นว่าคนเสื้อแดงก็ยังอยู่ เติบใหญ่ แข็งกล้าขึ้น แล้วก็มีลูกหลานคนรุ่นใหม่ที่เรียกว่าเข้มแข็งมากตั้งแต่ปี 2563 และโดยเฉพาะพรรคการเมืองคือพรรคก้าวไกล พรรคก้าวไกลก็สามารถมาเก็บเกี่ยวประชาชน และมาถูกที่ถูกเวลา


ดิฉันเองมีความคิดจิตวิญญาณแบบการทำงานแนวร่วม ไม่ได้สังกัดพรรคการเมืองใด ยินดีสนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกพรรค แต่ถามว่าเสียใจไหมที่มีการตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ในฐานะนักต่อสู้ เสียใจ เสียใจมาก เพราะว่ากำลังของเราอ่อนลง ถามว่าเข้าใจเห็นใจมั้ย ก็เห็นใจเหมือนกัน แต่ว่าไม่เห็นด้วยและไม่ยินดีเลย แต่เราก็เข้าใจธรรมชาติของพรรคการเมือง พรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่ของประชาชน เป็นพรรคการเมืองของกลุ่มทุน ซึ่งไม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อที่จะต่อสู้หรือเพื่อเสียสละ แต่เพื่อที่จะมีส่วนแบ่งในอำนาจรัฐ มันคนละอย่างกันกับการต่อสู้และการเสียสละ ดังนั้นเราก็เข้าใจ


เพราะฉะนั้น โฉมหน้าการเมืองต่อไปไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างสี แต่มันเป็นระหว่างฝ่ายที่ต้องการอำนาจให้กับประชาชน กับฝ่ายที่ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน เกมการต่อสู้ พรรคการเมืองของเราหนึ่งพรรคได้ไปทำเกมสมานฉันท์ ไปหาจุดสมดุลร่วมกับพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจเสียแล้ว ดังนั้นก็คือ เวลาและเรื่องราวจะพิสูจน์ อันแรกเลย คุณจะแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ไหม แบบที่เสนอที่ว่าแก้ทั้งฉบับ แล้วก็มีสสร.มาจากการเลือกตั้ง 100% อันนี้แบบเดียวกับที่นปช.เคยเสนอเมื่อตอนต้องการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญปี 2550 ก็ทำไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยขณะนั้นก็ไม่เอาด้วย แต่มาตอนนี้ ประชาชนเอาอย่างนี้ แล้วคำถามว่าพรรคสมานฉันท์ รัฐบาลใหม่จะเอาด้วยไหม น่าจะยาก ถ้าคุณทำให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ มาจากสสร.ได้ แล้วยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ความเสียหายและฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยจะไม่เสียหายมาก ยังสามารถดึงคนกลับมาได้ แต่จะทำได้หรือเปล่า?


อันที่สองก็คือ เราก็จะยินดีถ้าคุณสามารถแก้ปัญหาอย่างอื่นได้ แต่ว่าการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในทัศนะของดิฉันก็คือไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่ สิ่งยิ่งใหญ่ของประชาชนคือแก้ปัญหาการเมือง ต้องตอบโจทย์ปัญหาการเมือง และขณะนี้ก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมายสำคัญอย่างอื่น ๆ ที่ได้ทำ MOU เอาไว้ ทำได้หรือเปล่า? ถ้าทำไม่ได้ 62% ที่ว่าหายไปตามโพล มันจะหายไปอีก วันนี้ลาไปก่อนค่ะ


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #เพื่อไทย #รัฐบาลผสมข้ามขั้ว