วันพุธที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2566

‘พริษฐ์’ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณาแจ้ง ครม. จัดประชามติเดินหน้ารัฐธรรมนูญใหม่ ถามประชาชนตรงไปตรงมา เห็นด้วยหรือไม่ ทำ รธน. ใหม่ทั้งฉบับ โดย สสร. เลือกตั้ง 100% หวังทุกพรรคสนับสนุน เร่งบรรจุวาระพิจารณาสัปดาห์หน้าทันที

 


พริษฐ์’ เสนอญัตติด่วน ขอให้สภาฯ พิจารณาแจ้ง ครม. จัดประชามติเดินหน้ารัฐธรรมนูญใหม่ ถามประชาชนตรงไปตรงมา เห็นด้วยหรือไม่ ทำ รธน. ใหม่ทั้งฉบับ โดย สสร. เลือกตั้ง 100% หวังทุกพรรคสนับสนุน เร่งบรรจุวาระพิจารณาสัปดาห์หน้าทันที

 

วันที่ 16 สิงหาคม 2566 ที่รัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล แถลงข่าวถึงการเสนอญัตติด่วน เรื่องขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเห็นชอบและแจ้งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติ เพื่อสอบถามความเห็นของประชาชนต่อการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

พริษฐ์ กล่าวว่า พรรคก้าวไกลยืนยันมาตลอดว่าภารกิจสำคัญในการฟื้นฟูประชาธิปไตยและนำพาการเมืองไทยกลับสู่สภาวะประชาธิปไตยปกติ คือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาแทนที่รัฐธรรมนูญ 2560 ที่พรรคก้าวไกลมองว่าขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยทั้ง ที่มา กระบวนการ เนื้อหา และมีส่วนนำพาประเทศไทยมาสู่วิกฤตทางการเมือง ณ ปัจจุบัน

 

หากดำเนินการตามกระบวนการที่ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญ 2560 ขั้นตอนในการนำพาประเทศไปสู่การมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจต้องอาศัยการที่ประชาชนเข้าคูหาทั้งหมด 4 ครั้ง ประกอบด้วย ประชามติ 2 ครั้ง ต่อด้วยการเลือกตั้ง สสร. 1 ครั้ง และประชามติหลังมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ร่างโดยสสร. 1 ครั้ง

 

โดยขั้นตอนแรกคือการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 ก่อนจะมีการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ เกี่ยวกับ สสร. เข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา เพื่อถามประชาชนว่าเห็นด้วยหรือไม่ให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

 

แม้การจัดประชามติครั้งที่ 1 นี้ อาจไม่ได้มีความจำเป็นในเชิงกฎหมาย แต่หากประชาชนลงมติเห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ผลของประชามติดังกล่าว จะทำให้ไม่มีสมาชิกรัฐสภาคนใดสามารถยกเหตุผลใดๆ หรือหยิบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 4/2564 มาปัดตกเจตจำนงของประชาชนได้

 

พริษฐ์กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าหลายพรรคเห็นตรงกัน ว่าการจัดประชามติลักษณะนี้ เป็นกระดุมเม็ดแรกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่เราควรติดโดยเร็ว แต่ปีศาจอยู่ในรายละเอียดเสมอ และรายละเอียดที่สำคัญของประชามติที่จะเกิดขึ้น คือคำถามในประชามติ

 

หากเราต้องการให้ประชามติดังกล่าวนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สะท้อนฉันทามติใหม่ของสังคม พรรคก้าวไกลเสนอว่าคำถามควรถูกใช้ในประชามติครั้งที่ 1 คือ ‘ท่านเห็นชอบหรือไม่ ว่าประเทศไทยควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ แทนที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๐ ฉบับปัจจุบัน โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน?’

 

พริษฐ์กล่าวว่า มีเหตุผล 4 ข้อว่าทำไมคำถามนี้จะนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่สะท้อนฉันทามติใหม่ของสังคมได้

 

1. เป็นการถามเพื่อยืนยันหลักการสำคัญ ว่าควรมีการร่าง ‘รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งฉบับ’ - พรรคก้าวไกลยืนยันจุดยืนมาตลอด ว่าควรร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้มีปัญหาเพียงแค่ไม่กี่มาตรา ที่การแก้ไขรายมาตราเพียงอย่างเดียวจะเพียงพอ แต่รัฐธรรมนูญ 2560 มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตยด้านที่มา กระบวนการ และมีปัญหาเชิงเนื้อหาสาระในหลายมาตราที่มีลักษณะพัวพันกัน เช่น อำนาจและที่มาของวุฒิสภา อำนาจและที่มาองค์กรอิสระ ช่องโหว่ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ดังนั้น คำถามว่าควรมีการร่างใหม่ทั้งฉบับหรือไม่ จึงเป็นคำถามที่มีความสำคัญต่ออนาคตการเมืองไทย และควรถูกบรรจุในคำถามประชามติครั้งที่ 1

 

2. เป็นการถามเพื่อยืนยันหลักการสำคัญ ว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ - รายละเอียดอื่นๆ ของ สสร. ไม่ว่าจะเป็น จำนวนสมาชิก ระบบเลือกตั้ง สสร. ระยะเวลาทำงาน เป็นรายละเอียดที่สามารถถกเถียงกันในขั้นตอนต่อไปได้ แต่หลักการสำคัญที่ต้องถามประชาชนให้ยืนยันตั้งแต่ประชามติครั้งที่ 1 คือหลักการว่า สสร. ควรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด เพื่อให้ สสร. ที่จะมาร่างกฎหมายสูงสุดของประเทศ ประกอบด้วยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นตัวแทนของทุกชุดความคิดในสังคม

 

ทั้งนี้ ต้องย้ำว่าการกำหนดให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะแม้มีการเลือกตั้ง สสร. 100 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างเพื่อเปิดพื้นที่ให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายที่อาจไม่ประสงค์ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สสร. เข้ามามีส่วนร่วมได้ แต่การทำให้ สสร. มาจากการเลือกตั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นการวางหลักประกันว่าทุกการตัดสินใจของ สสร. จะกระทำโดยตัวแทนที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน

 

3. เป็นคำถามที่ ‘เข้าใจง่าย ไม่ชี้นำ - ข้อวิจารณ์สำคัญต่อคำถามพ่วงในประชามติ 2559 ที่นำมาสู่มาตรา 272 ให้ สว. แต่งตั้งมีอำนาจร่วมเลือกนายกรัฐมนตรี คือการที่คำถามไม่ได้ถามเรื่องดังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา แต่เป็นการเขียนคำถามที่มีลักษณะซับซ้อนและชี้นำโดยเจตนา

 

4. เป็นคำถามที่ทุกพรรคการเมืองหลักจากสภาฯ ชุดที่แล้ว เคยลงมติเห็นชอบมาแล้ว - คำถามที่เสนอไม่ได้เป็นคำถามใหม่ แต่เคยถูกเสนอเป็นญัตติด่วนโดย สส. พรรคก้าวไกล คือ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ และ สส. พรรคเพื่อไทย คือ จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี 2565 ยิ่งไปกว่านั้น ญัตติด่วนที่เสนอคำถามประชามติดังกล่าว ได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์จากสภาผู้แทนราษฎร จาก สส.ทุกพรรคการเมืองหลักที่เข้าประชุม เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2565 โดยผลคะแนนคือ เห็นด้วย 324 ราย (เช่น จากพรรคเพื่อไทย 62 สส. จากพรรคพลังประชารัฐ 57 ส.ส. จากพรรคภูมิใจไทย 32 สส. จากพรรคประชาธิปัตย์ และ 44 สส. จากพรรคก้าวไกล) ไม่เห็นด้วย 0 ราย งดออกเสียง 1 ราย

 

พริษฐ์กล่าวว่า สำหรับขั้นตอนต่อไป การเสนอให้จัดประชามติ รวมถึงการเสนอคำถามประชามตินั้น หากอ้างอิงตาม พ.ร.บ.ประชามติ 2564 สามารถดำเนินการได้ 3 ช่องทาง ได้แก่ (1) ครม. ออกมติด้วยตนเอง (2) ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 คน เพื่อเสนอให้ ครม. อนุมัติ ซึ่งขณะนี้มีภาคประชาชนกำลังรวบรวมรายชื่อเพื่อยื่นข้อเสนอนี้อยู่ภายใต้ชื่อ ‘conforall’ และ (3) สมาชิกรัฐสภาเสนอให้สภาผู้แทนฯ และวุฒิสภาเห็นชอบ เพื่อแจ้ง ครม. ให้ดำเนินการ

 

เรามองว่าเพื่อความรวดเร็ว ไม่มีความจำเป็นต้องเลือกทางใดทางหนึ่ง แต่ดำเนินการคู่ขนานกันได้ ดังนั้น วันนี้พรรคก้าวไกลจึงจะใช้กลไกของสภา เพื่อเสนอญัตติด่วนดังกล่าวฯ ตามคำถามที่เราได้เสนอไว้ ซึ่งสอดคล้องกับคำถามที่ภาคประชาชนเสนอในการเข้าชื่อ

 

พริษฐ์ทิ้งท้ายว่า ขอความร่วมมือจากทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคการเมืองที่ประกาศเห็นชอบกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มาร่วมมือกับเราในการให้มีการพิจารณาญัตตินี้โดยเร็วที่สุด ทันทีที่มีการบรรจุเข้าระเบียบวาระสัปดาห์หน้า และมาร่วมเห็นด้วยกับเรา ในการยึดคำถามประชามติที่ทุกพรรคเคยลงมติเห็นชอบมาแล้ว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #เขียนรัฐธรรมนูญใหม่ #ก้าวไกล