องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ยืนยกฟ้อง สุเทพกับพวกทุจริตโครงการจัดสร้างโรงพักทดแทน ชี้กระทำการตามอำนาจหน้าที่
วันที่ 22 สิงหาคม 2566 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) ศาลกำหนดนัดฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำ อม.อธ.11/2565 ที่ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดแทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)
โดยป.ป.ช.โจทก์ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย. 52-18 เม.ย. 56 จำเลยที่ 1 และที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5 เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4 ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคาไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบเป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมา จำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญาเป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3, 4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 10, 12 กับลงโทษจำเลยที่ 5, 6 ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 65 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาเเล้วเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิด ยกฟ้องจำเลยทั้ง 6
ต่อมา ป.ป.ช.โจทก์ยื่นอุทธรณ์คดีต่อก่อนที่จะนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค.นี้
วันนี้จำเลยทุกคนเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ
นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของนายสุเทพ ซึ่งเดินทางมาศาลเปิดเผยว่า ชั้นอุทธรณ์ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นชั้นสุดท้ายแล้ว ส่วนความมั่นใจนั้นทั้งทีมทนายและนายสุเทพ ก็มั่นใจ ไม่มีความกังวล ไม่มีความตื่นตระหนก เพราะกระบวนการต่าง ๆ ได้ผ่นมาหมดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานที่ได้นำเสนอต่อศาลชั้นต้นไปหมดแล้วและได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ หลังรอคอย ป.ป.ช.สอบสวนมานานกว่า 10 ปี วันนี้ทุกอย่างจะเป็นไปตามกระบวนการ และในชั้นนี้ไม่มีการยื่นพยานเพิ่มเติมใด ๆ เรายังคงเชื่อมั่นในความยุติธรรมตามที่ได้ต่อสู้มาตั้งแต่แรก วันนี้จึงถือว่าไม่มีอะไรพิเศษ เป็นเรื่องปกติที่ต้องมาตามกระบวนการของศาล และจากการประสานพูดคุยกับจำเลยทั้งหมด ก็ยืนยันว่าจำเลยจะมาครบทุกคน เพื่อไม่ให้เสียกระบวนกการนัดของศาล เว้นแต่จำเลยคนหนึ่งคนใดจะมีเหตุจำเป็นบางอย่างที่ไม่อาจก้าวล่วงได้ แต่ไม่มีการประวิงคดีแน่นอนสำหรับจำเลยในคดีนี้
นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำกปปส. ที่เดินทางมาให้กำลังใจ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนปฏิบัติตามกฎหมายและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการต่อสู้และตรวจสอบของผม ทั้งเรื่องซุกหุ้น เรื่องการทุจริต การแก้ไขระเบียบทางการเงิน ช่วงที่มีการเลือกตั้งก็อภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเมื่อวันนี้นาย ทักษิณ ชินวัตรเดินทางกลับเมืองไทย เพื่อปฏิบัติตัวในฐานะพลเมืองที่อยู่ภายใต้กฎหมาย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตนก็เห็นด้วย
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายยกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในศาลฎีกาชั้นต้น ศาลมีคำพิพากษาว่าไม่มีความผิด ตามที่ ปปช. กล่าวอ้าง เดิมที เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญามีคำพิพากษา ถือว่าคดีความสิ้นสุดแต่ว่ามีการแก้กฎหมายให้สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ซึ่งวันนี้จะเป็นศาลสุดท้ายแล้ว ต้องรอฟังว่าคำพิพากษาของศาลจะเป็นอย่างไร ส่วนตัวไม่มีความกังวลและมั่นใจ เนื่องจากว่าต่อที่พวกตนออกมาเดินขบวน เพราะต่อต้านการคอรัปชั่น ยืนยันว่าไม่ประพฤติปฏิบัติอะไรที่เป็นการทุจริตคอรัปชั่นจากแน่นอน แต่หากผลการพิจารณาคดีเป็นอย่างไรก็นึกถึงคำพระอย่างเดียวว่า “ตถตา มันเป็นอย่างนั้นเอง”
นายสุเทพ ยังบอกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษที่นายทักษิณกลับบ้าน ก่อนหน้านี้มีคนไปถามตนเอง เยอะมากว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ซึ่งตนไม่ได้ให้ความเห็นเพราะไม่มั่นใจว่าจะกลับ แต่วันนี้ปรากฏว่านายทักษิณกลับมา ซึ่งตนคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่นายทักษิณคิดได้ ตัดสินใจเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ผมกับคุณทักษิณอายุเท่ากัน เกิดปีเดียวกันเดือนเดียวกันห่างกัน 19 วัน เราก็ทำงานการเมืองเช่นเดียวกัน เพียงแต่ผมเคารพในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคารพในอำนาจตุลาการ เคารพในระบบศาลยุติธรรม พวกผมเวลาถูกดำเนินคดี ข้อหาหนักกว่าคุณทักษิณ คุณทักษิณตอนนั้น ตอนที่คนเสื้อแดงโดนขบวนโดนข้อหาก่อการร้าย ซึ่งนายชัยเกษมเป็นคนสั่งให้ฟ้อง ส่วนตนและพวกก็โดนฟ้องไปนอนคุกมาแล้ว เราเลือกที่จะปฏิบัติตามระบบเคารพกระบวนการยุติธรรม ซึ่งสิ่งที่พูดนี้ไม่ได้เป็นการไปยกตนข่มท่าน เพียงแต่จะบอกกับคุณทักษิณว่าคิดถูกแล้วที่ตัดสินใจกลับมาประเทศไทย และเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ผมไม่มีความโกรธเคืองชิงชัง เป็นการส่วนตัว
เพียงแต่ผมและพี่น้องประชาชน กปปส.ในคราวนั้น มองว่าคุณทักษิณใช้อำนาจโดยมิชอบ ด้วยกฏหมายและมีการทุจริตคอรัปชั่น เราจึงได้มาต่อต้านทำหน้าที่ของประชาชน จากที่พวกตนออกมาเดินขบวนต่อต้านระบอบทักษิณเพราะเห็นว่าระบอบทักษิณไม่เคารพระบบประชาธิปไตยหรือไม่เคารพหลักการที่แท้จริงของระบบประชาธิปไตย” นายสุเทพกล่าว
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า วันนี้คงไม่ได้เจอกับนายทักษิณที่ศาลเพราะว่ามีการแยกห้องกัน แต่ถึงไม่เจอก็ถือโอกาสนี้ในการบอกนายทักษิณว่านายทักษิณคิดถูกแล้วที่เคารพระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเคารพกระบวนการยุติธรรม
“ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข มีเงินเป็นแสนล้าน หรือล้าน ๆ ก็ไม่มีความสุข” นายสุเทพกล่าว
เมื่อถามว่าบางกระแสจับตามองว่านายทักษิณ อาจไม่เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมแต่เชื่อมั่นในขั้วอำนาจที่จะมาอยู่ในมือของตัวเอง จึงกลับมาในช่วงนี้ นายสุเทพ กล่าวว่า เราเห็นสถานการณ์ของประเทศในช่วงนี้ ตนมองว่าทุกฝ่ายพยายามมองโลกในแง่ดี มองสถานการณ์ตามความเป็นจริงส่วนความเป็นจริงอะไรจะเกิดขึ้นเป็นหน้าที่ของ พวกเราคนไทยที่ต้องแก้ไข
นายสุเทพ ยังกล่าวว่า วันนี้ตนก็มองในแง่ดีว่าคุณทักษิณหลังจากที่หนีคดีไปเกือบ 20 ปี แล้วตัดสินใจกลับมา ยืนยันคำเดิมว่าคุณทักษิณคิดถูก ส่วนตัวไม่มีความสงสัยว่าคุณทักษิณกลับมาเพราะเหตุผลอะไร แต่ว่าถ้าคุณทักษิณมาแล้วระบอบทักษิณฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก คงจะมีประชาชนที่ออกมาทำหน้าที่ เหมือนที่ตนทำก่อนหน้านี้
เมื่อถามว่า การรวมตัวกันในยุคปัจจุบันมีทั้งเหลืองและแดงรวมกัน มองอย่างไร ประเด็นนี้นายสุเทพ กล่าวว่า อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวคนในประเทศไทยต่างคนต่างคิดต่างคนต่างมีความคิดซึ่งแตกต่างกันได้ แต่ว่าทุกฝ่ายก็ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประเทศ
“ผมไม่เคยคิดถึงคนเสื้อสีแดงหรือคนเสื้อสีส้มมันต้องเป็นศัตรูกับพวกผม ตอนที่ผมอยู่บนเวที กปปส. ก็ปราศรัยชัด ชวนทุกวัน ว่ามาร่วมกันแก้ไขปัญหาประเทศ”
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์โจทก์ จำเลยเห็นว่า จำเลยที่ 1 นายสุเทพ รองนายกฯในขณะนั้น การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติลงบันทึกข้อความเสนอต่อนายกฯและคณะรัฐมนตรีในโครงการจัดสร้างโรงพักทดแทนฯ โดยให้คำนึงถึงความเห็นของสำนักงบประมาณและมติครม. ที่ผ่านมาการที่จำเลยอนุมัติรวมสัญญาครั้งเดียวโดยไม่ได้นำเสนอต่อ ครม. ย่อมมีประเด็นพิจารณาว่ามติครม.ครั้งที่ 7/2552 ได้อนุมัติโดยกำหนดให้จำเลยต้องเสนออนุมัติโดยแก้ไขหรือไม่ซึ่งมติ ครม.ดังกล่าว มีข้อกำหนดให้หน่วยงานของรัฐมีมติให้ชัดเจน แต่ไม่มีข้อความระบุชัดเจนถึงการจัดซื้อจัดจ้างว่าให้ดำเนินการอย่างไรมติดังกล่าวเพียงเก่าแต่เรื่องการหรือถอนโครงสร้างเดิมและการผูกพันงบประมาณข้ามปีเท่านั้นโดยมีพยานที่เกี่ยวข้องทั้งสองปากเบิกความยืนยันน่าเชื่อถือว่ามติครม. ไม่ได้ระบุถึงการจัดซื้อจัดจ้างโดยกำหนดให้เป็นเรื่องของหน่วยงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ อีกทั้งสำนัก งบประมาณก็มีหนังสือยืนยันความเห็นควรอนุมัติตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอภายในกรอบ 6.6 พันล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2552 ถึง 2554 ดังนั้นข้อความตามมติครม. ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างไม่มีผลผูกพัน จำเลยที่ 1 จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสนอ แม้จำเลยที่ 1 เคยเสนอให้กระจายสัญญาเป็นรายภาคแต่ต่อมาทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอรวมไว้ที่ส่วนกลางกรณีจึงเป็นอำนาจของจำเลยที่1 ที่อนุมัติได้เองและไม่พบข้อเท็จจริงข้อพิรุธที่จำเลยที่1 จะเปลี่ยนวิธีการจัดซื้อจัดจ้าง ที่อนุมัติเพราะเชื่อว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติตรวจสอบถูกต้องเหมาะสมแล้ว กรณีจึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าการรวมสัญญาไม่ทำให้การเสนอราคาไม่เป็นธรรมเสมอไปส่วนผู้ก่อสร้างที่ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ไปด้วยว่าเป็นผลจากการกระทำของจำเลยที่หนึ่งในการอนุมัติโดยไม่เสนอ ครม.การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 2 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่ 2 ต้องปฏิบัติตามมติครม. จำเลยที่ 2 เสนอการจัดจ้างต้องประกาศราคาในครั้งเดียว โดยใช้วิธีการอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งมีความเป็นธรรมแม้สอตอชอจะมีการเปลี่ยนแปลงการจัดซื้อจัดจ้างของจำเลยที่สองแต่ก็ยังมีการใช้ประกวดราคาเช่นเดิมแค่เปลี่ยนจากปลายภาคเป็นรวมกันครั้งเดียวซึ่งมีการศึกษาข้อดีข้อเสียมาแล้วกรณีจึงมีเหตุผลในการที่เสนอวิธีเปลี่ยนการจัดซื้อจัดจ้าง แม้จะเสนอเพียงหนึ่งวันก่อนอนุมัติก็ไม่ถือเป็นพิรุธ และไม่ปรากฏว่าการเสนอดังกล่าวมีผลประโยชน์แอบแฝงข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่การกระทำไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
ในส่วนจำเลยที่ 3-4 องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นว่าฐานะคณะกรรมการประกวดราคา ซึ่งตามมติสำนักนายกฯว่าด้วยการพัสดุไม่ได้มีข้อกำหนดใดชัดแจ้ง แม้ จำเลยที่ 5 จะเสนอต่ำกว่าราคากลาง 540 ล้านบาทแต่กรณีไม่มีอะไรแสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 5 เสนอราคาต่ำจนก่อสร้างไม่ได้ เนื่องจากผู้เสนอราคาสามารถปรับลดบริหารได้ การที่จำเลยที่ 5 เสนอเสาเข็มถูกกว่าราคาตลาดมากรายการเดียว จำเลยที่ 5 ก็มีธุรกิจเสาเข็มดูแล้วจึงสามารถปรับลดราคาสินค้าบางอย่างได้ เพื่อให้เสนอราคาอย่างเสรีลำพังการที่ราคาเสาเข็มราคาต่ำกว่าราคาทั่วไปมาก ไม่เป็นเหตุที่จำเลยที่จำเลยที่ 3-4 จะไม่รับการประกวดราคาของจำเลยที่ 4-5 และไม่ถึงกับเป็นเหตุสำคัญที่ต้องเรียกจำเลยที่ 5 มาตรวจสอบถึงเรื่องราคาเสาเข็ม และไม่มีข้อพิรุธว่าเป็นกรณีการปกปิดข้อเท็จจริง ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 กระทำโดยทุจริตฯ พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 กระทำผิดตามฟ้อง
ส่วนจำเลยที่ 5-6 เมื่อองค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1-4 การกระทำไม่เป็นความผิดตามฟ้องจึงไม่ต้องวินิจฉัยในส่วนของจำเลยที่ 5-6 เพราะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัย ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย มาเเล้ว องค์คณะชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย พิพากษายืนยกฟ้องจำเลยที่ 1-6
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #สุเทพเทือกสุบรรณ