‘เศรษฐา’
เชื่อมั่น ‘เพื่อไทย’ นำประเทศพ้นวิกฤต วอนทุกฝ่ายหนุน
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีรัฐบาลมาแก้ปัญหาประชาชน ยืนยันแสนสิริ มีธรรมาภิบาล
ทำธุรกิจ 30 ปีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
วันที่
18 สิงหาคม 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
เรื่องของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ตลอดเวลาที่ตนทำงานที่
บมจ.แสนสิริ มา 30 ปี การทำงานเรื่องความโปร่งใสเรื่องความมุ่งมั่นการนำบริษัทไปสู่ความเจริญโดยยึดมั่นหลักธรรมาภิบาลถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง
ทำให้ บมจ.แสนสิริ
สามารถฝ่าวิกฤตมาได้หลายวิกฤตเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำเป็นที่ยอมรับคนหมู่มาก
มีบริษัทตรวจสอบบัญชีระดับโลก ที่ปรึกษากฎหมายที่ดี มีคณะกรรมการตรวจสอบที่มั่นคง
ตนยืนยันตลอด 30 ปีที่บริหาร บมจ.แสนสิริ มา
ได้ยึดมั่นทำตามกฎหมายทุกอย่างทุกประการ
นายเศรษฐา
กล่าวว่า กรณีที่กล่าวหาเรื่องที่ดินแสนสิริ ของโครงการคุณ บาย
ยูที่ซอยทองหล่อนั้น ยืนยัน บมจ.แสนสิริ เป็นผู้ซื้อทั้งหมดเราทำงานถูกต้อง
ย้ำว่าไม่มีเงินทอนให้ใครทั้งสิ้น
ไม่มีการให้กู้ยืมการทำสัญญาค้ำประกันเป็นเพียงซื้อ-ขายตามสัญญาที่มีไว้ป้องกันความเสี่ยงให้กับบริษัท
บมจ.แสนสิริ ไม่มีนอมินีในการรับซื้อที่ ไม่มีเงินทอน
มีการเสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง
ไม่มีส่วนร่วมกับผู้ขายในการบริหารจัดการเรื่องภาษี เรื่องภาษีที่ดินเป็นหน้าที่ของผู้ขายทั้งหมด
เรื่องเหล่านี้ยืนยันหลายหนและขอบคุณสื่อมวลชนที่เสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา
“ผมไม่ใช่นักการตลาด
ไม่ใช่นักแฉนะครับ ผมทำงานมาตลอด 30
ปีด้วยความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ใจก็ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยเป็นกระบอกเสียงให้ผมในเรื่องนี้”
นายเศรษฐา กล่าวย้ำ
นายเศรษฐา
กล่าวด้วยว่า เรื่องของนายชูวิทย์
นั้นแม้ไม่อยากพูดแต่ก็ต้องชี้แจงว่าท้้งหมดเกิดขึ้นตอนที่ตนได้รับการเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือน
ก.ค. ที่ผ่านมา ก็เริ่มมีคนติดต่อถามนายชูวิทย์ ว่ามีคนอยากซื้อที่ดินที่สุขุมวิท
ซอย24 โดยเมื่อเดือน ก.ย. 2565 ได้มีการคุยเรื่องซื้อขายต่อรองราคาจาก 2,000
ล้านบาทเหลือ 1,800 ล้านบาท มีการพูดคุยและข้อตกลงชัดเจน
แต่ไปเจอว่ามีการวางมัดจำไว้แล้วกับที่ดินแปลงนี้กับบริษัทไรมอนแลนด์ ทำให้
บมจ.แสนสิริ ไม่สามารถทำนิติกรรมซ้อนได้ ยืนยันทำไม่ได้ พอถึงเดือน ก.ค. 2566
เมื่อมีชื่อตนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ทำให้นายชูวิทย์
ได้ติดต่อผ่านผู้ใหญ่มาหลายราย เพื่อขอให้ตนกลับไปซื้อที่ดินของนายชูวิทย์ ในราคา
2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ตนได้ออกจาก บมจ.แสนสิริมาเมื่อ มี.ค. 2566 แล้ว
ตนไม่มีอำนาจบริหารจัดการ บมจ.แสนสิริ
ไม่มีอำนาจสั่งการให้ใครก็ตามไปซื้อที่ดินในนาม บมจ.แสนสิริ
และถ้าถามตามหลักกฎหมายแล้วไม่สามารถซื้อที่ดินดังกล่าวได้
ซึ่งเรื่องที่ไม่ซื้อจะแฉนั้นก็ไม่เป็นธรรม
บิดเบือนความจริงทำให้เกิดความเสียหาย หากนายชูวิทย์
จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายก็พร้อม ยืนยันจะดำเนินการต่อไป
นายเศรษฐา
ระบุว่า โครงการคุณ บาย ยู ซื้อที่ดินมาเป็นราคาที่ดีมาก 1.1 ล้านบาทต่อตารางวา
วันนี้ไปซื้อที่ดินถนนทองหล่อในราคาดังกล่าว
บมจ.แสนสิริในขณะนั้นมีคณะกรรมการพิจารณาการซื้อที่ดินที่ชัดเจนมีคณะกรรมการตรวจสอบและกฎหมายอยู่แล้ว
ขอยืนยันอีกครั้งไม่มีการให้กู้ยืมไม่มีการได้รับเงินทอนแต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน
นายเศรษฐา ยังชี้แจงว่า กรณีนายชูวิทย์ กล่าวหาโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
โดยอ้างเรื่องการจะมีเงินทอนด้วยการตั้งบริษัทดิจิทัลไปรองรับ
เป็นเรื่องที่เลอะเทอะ โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดีจ่ายเงินตรงของรัฐบาลไปยังประชาชน
50 ล้านคนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป
เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่จะกอบกู้เศรษฐกิจขึ้นมา ทำให้เกิดการจ้างการงาน
การผลิต ประชาชนมีเงินเยอะขึ้น เป็นนโยบายหลักของพรรคเพื่อไทย
“การที่คุณชูวิทย์
ออกมาพูดอย่างไม่มีหลักการ ผมเชื่อว่ามีประชาชน 50 ล้านคนเดือดร้อน อาจจะไม่เข้าใจ
พรรคเพื่อไทยโดยนายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย
แถลงชัดเจนแล้ว ผมขอแถลงเป็นครั้งสุดท้าย
เพราะบ้านเมืองเรามีปัญหาเยอะแล้ว ผมตอนเดินเข้ามาในเวทีการเมือง ตอนต้นเดือน มี.ค.
2566 มีผู้ใหญ่หลายท่านเตือนด้วยความหวังดีคงเจอเรื่องอะไรเยอะ
แต่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องเลอะเทอะบิดเบือนความจริงขนาดนี้
ยืนยันเมื่ออาสาเข้ามาแล้วต้องมุ่งมั่นต่อไปเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย”
นายเศรษฐากล่าว
สำหรับการกำหนดวันประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเลือกนายกรัฐมนตรี
ในวันที่ 22 ส.ค.นั้น นายเศรษฐา กล่าวว่า
คณะเจรจาของพรรคเพื่อไทยได้มีการเจราหลายพรรคมีความคืบหน้าทิศทางที่ดี
มีพรรคการเมืองหลายพรรคตอบรับมาแล้วในการโหวต ซึ่งพรรคภูมิใจไทย โดยนายอนุทิน
ชาญวีกูล หัวหน้าพรรค ก็ยืนยันว่า 71 สส.ของพรรคภูมิใจไทยจะโหวตให้ตนเป็นนายกฯ
ซึ่งก็ขอขอบคุณและมีหลายพรรคก็แสดงเจตจำนงมาแล้ว ดังนั้น
ถ้าพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อตนเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในวันที่ 22
ส.ค.นี้ก็พร้อมและขอวิงวอนว่าต้องการเสียง สว.ด้วย
โดยกระทำการของตนคงเห็นเป็นที่ประจักษ์ตั้งใจจริง หวังว่าจะได้รับการสนับสนุนจาก
สว.และทุกภาคส่วน
“พรรคเพื่อไทยมีความพร้อมและเชื่อในคณะเจรจาว่าจะได้พรรคร่วมภายใต้การนำพรรคเพื่อไทยเพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤต
เพราะเนิ่นนานแล้ว 3 เดือนแล้ว ถึงเวลาประเทศไทย
ต้องมีคณะรัฐบาลช่วยเหลือยกระดับความเป็นอยู่พี่น้องประชาชนทุกคนในประเทศ”นายเศรษฐากล่าว