“ธีรยุทธ-สนธิญา” ยื่น ป.ป.ช. สอบ 44 สส. พรรคก้าวไกล
กรณีร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เอาผิดจริยธรรม
หลังศาลรัฐธรรมนูญชี้ล้มล้างการปกครอง
วันนี้
(2 กุมภาพันธ์ 2567) นายธีรยุทธ สุววรรณเกษร ในฐานะผู้ร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ
มาตรา 49 กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
หัวหน้าพรรคก้าวไกลและพรรคก้าวไกล กระทำการล้มล้างการปกครองฯ
เดินทางมายื่นคำร้องต่อคณะกรรม การป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)
เพื่อขอให้ไต่สวนและดำเนินคดีกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลจำนวน 44 คน ฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงกรณีร่วมกันเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามพระราชบัญญัติประ
กอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช. มาตรา 87
โดยนายธีรยุทธ
อ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญจากการที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ผู้ถูกร้องที่หนึ่ง
และ สส.ของผู้ถูกร้องที่สอง คือ พรรคก้าวไกล จำนวน 44 คน
เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา
เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ต่อสภาผู้แทนราษฎร
และในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง
ได้ใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้งในการที่จะเสนอแก้ไขมาตรา 112 และศาลวินิจฉัยว่าการแก้ไขดังกล่าวเป็นการลดทอนสถานะและการคุ้มครองสถาบัน
มุ่งหมายแยกสถาบันออกจากความเป็นชาติไทย เป็นการกระทำเพื่อล้มล้างการปกครอง
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรม ข้อ 5
ที่กำหนดว่าต้องยึดมั่นและดำรงไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ตามรัฐธรรมนูญ และข้อ 6
ที่กำหนดว่าต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย
บูรณภาพแห่งอาณาเขต และเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิ อธิปไตย
เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติความมั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน
และข้อ 27 วรรคหนึ่ง
ที่กำหนดว่าการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมในหมวด 1 ให้ถือว่ามีลักษณะร้ายแรง ซึ่งมาตรฐานจริยธรรมดังกล่าวข้อ 3 วรรคสอง กำหนดว่ามาตรฐานทางจริยธรรมนี้ใช้บังคับแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 219 ด้วย
เมื่อถามว่าการยื่นต่อ
ป.ป.ช. เพื่อให้สอบจริยธรรมอย่างเดียวหรือต้องการให้ยุบพรรค นายธีรยุทธ กล่าวว่า
เรื่องการยุบพรรคเป็นอำนาจหน้าที่ของ กกต. ซึ่งได้ยื่นคำร้องต่อ กกต. แล้วเมื่อวานนี้
ส่วนต้องการให้โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วยหรือไม่ได้ นายธีรยุทธ กล่าวว่า
ไม่ใช่ความต้องการของตน แต่จะไปถึงตรงนั้นได้หรือไม่ เป็นบทบัญญัติของกฎหมาย
ขึ้นอยู่กับวิธีการไต่สวนและรวบรวมพยานหลักฐาน การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของ
ป.ป.ช. คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีครบถ้วน และยืนยันไม่ได้ปิดทางแก้ไขกฎหมาย
แต่การดำเนินการต้องเป็นไปตามแนวทางนิติบัญญัติ
นายธีรยุทธ
กล่าวถึงกรณีที่พรรคก้าวไกลได้ถอดนโยบายแก้ไขมาตรา 112
ออกจากหน้าเพจของพรรคแล้วนั้น ว่าเป็นการดำเนินตามคำสั่งของศาล
เชื่อว่าเรื่องนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคน่าจะแนะนำไว้แล้ว ตนก็ไม่อยากก้าวล่วง
แต่ก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดี ส่วนเรื่องนี้จะสามารถลดทอนโทษของการกระทำได้หรือไม่
เป็นหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ที่จะตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานประกอบการพิจารณา ซึ่งทราบว่านายชัยธวัช ตุลาธน
หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้สั่งการให้เตรียมตัวรวบรวมพยานหลักฐานในการต่อสู้คดี
ซึ่งก็เชื่อว่าน่าจะมีหนทางอยู่บ้าง
ส่วนความเห็นของนายปิยบุตร
แสงกนกกุล แกนนำกลุ่มก้าวหน้าอดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่
ออกมาแสดงความคิดเห็นไม่เห็นด้วย
แล้วมองว่าการปลดนโยบายออกจากหน้าเพจเป็นการกระทำที่ป๊อดและสูญเปล่านั้น
นายธีรยุทธ มองว่า เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของนายปิยบุตร เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล
แต่การสร้างพรรคการเมืองขึ้นจะต้องมีเจตจำนงในการพิทักษ์รักษาดำรงไว้ซึ่งกฎหมาย
ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร
จะต้องรับฟังคำวินิจฉัยนั้นไปปฏิบัติด้วย
ดังนั้นการที่พรรคก้าวไกลนำคำวินิจฉัยของศาลไปดำเนินการด้วยความเคารพ ก็ถือเป็นการเคารพต่อกฎหมาย
ส่วนที่แกนนำบางคนแสดงความเห็นว่าการเอานโยบายแก้ไขมาตรา
112 ออกจากหน้าเพจแต่ถูกซ่อนไว้ภายใน
และจะสามารถหยิบยกขึ้นมาดำเนินการเมื่อไหร่ก็ได้นั้น นายธีรยุทธ กล่าวว่า
หากมีการทำเช่นนั้นจริง ก็ยังคงเป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีการซ่อนเร้น
แต่ตนเชื่อว่าทีมกฎหมายจะมีการเสนอแนวทางให้กับพรรคที่มีความชัดเจนมากกว่านี้
ผลการดำเนินการในวันนี้ก็เป็นไปตามหน้าที่ในฐานะผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
ขณะเดียวกัน
ด้านนายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการกฎหมาย สภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ยื่นคำร้องให้
ป.ป.ช.ตรวจสอบจริยธรรม 44 สส. พรรคก้าวไกล
ที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยเช่นกัน
โดยนายสนธิญาระบุว่าได้
ติดตามเรื่องการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ตั้งแต่มีการจดจัดตั้งพรรคอนาคตใหม่
เมื่อปี 2561 รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของ คณะนิติราษฎร์
มาจนถึง พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลในปัจจุบัน
โดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นมรดกบาป
ที่เป็นการกระทำถ่ายทอดเป็นกรรมพันธุ์ เป็นดีเอ็นเอ จากอนาคตใหม่ ถึงก้าวไกล
ที่ตนคัดค้านมาตลอด 7 ปี ซึ่งเห็นใจ สส.ทั้ง 44 คนที่ร่วมลงชื่อ เสนอแก้ไขมาตรา 112
แต่หวังให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต
นายสนธิญาระบุว่า
ผลพวงคำวินิจฉัย 31 ม.ค. ส่งผลต่อพรรคก้าวไกล 3 ประการ คือ
1. กระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน อย่างน้อย 3
มาตรา ทั้งใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง
2.
ฝ่าฝืน พ.ร.ป.พรรคการเมือง
นำไปสู่การกระทำล้มล้างการปกครองที่มีโทษถึงขั้นยุบพรรคการเมือง และ
3.
การยื่นเรื่องให้ป.ป.ช.
เป็นกระบวนการทางกฎหมายที่กระทำผิดซึ่งนำมาประกอบ
เพราะเรื่องจริยธรรมแยกออกมาจากกฎหมาย
ซึ่งเป็นมาตรฐานตามอุดมการณ์ที่เป็นบทบัญญัติที่ร้ายแรงที่ ป.ป.ช. จะต้องยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่นศาลฎีกา
นายสนธิญากล่าวอีกว่า
ตนจะเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำ ตั้งแต่ 31 ม.ค. เป็นต้นมา
ทั้งของพรรคและคำให้สัมภาษณ์ ของนายปิยบุตร แสงกนกกุล และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์
รวมถึงหัวหน้าพรรคก้าวไกล ก็ยังจะเดินหน้าเรื่องมาตรา 112
ต่อไปหรือไม่ และจะรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับการเดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 เพื่อนำมาประกอบการชี้แจง ต่อ ป.ป.ช. เพื่อนำไปสู่การเอาผิดสส. 44 คน
นอกจากนี้จะติดตามเรื่องการเสนอร่าง
พ.ร.บ. นิรโทษกรรม หากมีรายละเอียดเสนอ
นิรโทษกรรมความผิดให้กับผู้กระทำผิดตามมาตรา 112 ก็จะนับรวมและเป็นการแสดงว่ากำลังแก้ไขมาตรา
112 จึงเปรียบเป็นมรดกบาปกลายเป็นดาวลูกไก่ที่อยู่บนท้องฟ้าสูง
และถือเป็นการตั้งใจเซาะกร่อนบ่อนทำลาย ไม่ได้เคารพศาลไม่ทำตามที่ศาลสั่ง
จึงขอเตือนขอให้พรรคก้าวไกล ที่ยังคงเคลื่อนไหว ทั้งนี้
การยื่นร้องจริยธรรมในวันนี้ คิดว่า มีโอกาส 50:50 แต่ถ้าหลังจากนี้ยังมีการดำเนินการที่ไม่เป็นไปตามคำสั่งศาล
คิดว่ามีโอกาสตัดสิทธิทางการเมือง
เพราะตนมีเป้าหมายให้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต