พรรคประชาชนยืนยัน
แก้ รธน. รายมาตรา-ทั้งฉบับ “ทำพร้อมกันได้” ไม่ต้องเลือก เดินหน้าเสนอแก้ไข รธน. 6 แพ็กเกจ
เพื่อผลประโยชน์ประชาชน
ครอบคลุมการลบล้างผลพวงรัฐประหาร-เพิ่มกลไกตรวจสอบทุจริต-คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน
หวังพรรคร่วมรัฐบาลสนับสนุน
วันที่
26 กันยายน 2567 ที่รัฐสภา พริษฐ์ วัชรสินธุ
สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคประชาชน
แถลงข่าวกรณีพรรคประชาชนยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราในหลายแพ็กเกจสำคัญ
คู่ขนานพร้อมกับการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
โดยพริษฐ์กล่าวว่า
พรรคประชาชนยืนยันมาตลอดว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 มีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
ทั้งที่มา กระบวนการ และเนื้อหา ดังนั้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเดินหน้า 2 เส้นทางแบบคู่ขนาน
นั่นคือการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยโดยเร็วที่สุด
โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด
กับอีกเส้นทางคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราในประเด็นที่สำคัญและจำเป็นเร่งด่วน
แต่เนื่องจากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องอาศัยเวลา
1-2 ปีขึ้นไป และมีความเสี่ยงว่าจะไม่ทันบังคับใช้ก่อนการเลือกตั้งครั้งถัดไป
เราจึงจำเป็นต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเพื่อทำให้บางปัญหาทางการเมืองได้รับการแก้ไขไปพลางก่อน
ในช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนจะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และเพื่อทำให้การเมืองมีเสถียรภาพและมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศและความเป็นอยู่ของประชาชน
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า
ที่ผ่านมาพรรคประชาชนได้นำเสนอแนวคิดและประเด็นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรามาโดยตลอด
โดยแบ่งชุดประเด็นออกเป็น 7
แพ็กเกจ ได้แก่
แพ็กเกจที่
1 “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร”
ซึ่งได้ยื่นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม
2567 ที่ผ่านมา ประกอบด้วย
1.1)
ยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ฉบับ คสช.
ที่ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
เพราะร่างขึ้นโดยมีคณะรัฐประหารเข้ามากำกับควบคุมตลอดกระบวนการ
ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนในวงกว้าง
ขาดความยืดหยุ่นเพราะใช้วิธีบรรจุกลไกเรื่องยุทธศาสตร์เข้าไปในรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
จนนำไปสู่การขยายตัวของรัฐราชการ อีกทั้งยังเสี่ยงถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกลั่นแกล้งกัน
เพราะเปิดช่องให้มีการลงโทษหน่วยงานรัฐที่ไม่ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติ
โดยแนวทางการแก้ไขในส่วนนี้
คือการยกเลิกยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีและแผนการปฏิรูปประเทศ
ผ่านการยกเลิกมาตรา 65 และหมวด 16 ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้ยุทธศาสตร์ของประเทศเป็นไปตามนโยบายและทิศทางการพัฒนาประเทศของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
1.2)
ทลายเกราะคุ้มกันประกาศและคำสั่ง คสช. ด้วยการยกเลิกมาตรา 279
ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ ซึ่งทำให้ประกาศและคำสั่งทุกฉบับของ คสช.
และหัวหน้า คสช. ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ การยกเลิกมาตรา 279 จะเปิดโอกาสให้ประชาชน โดยเฉพาะผู้เสียหายจากประกาศและคำสั่ง คสช.
มีโอกาสได้โต้แย้งถึงความชอบด้วยกฎหมายของประกาศและคำสั่งดังกล่าว
ในกรณีที่ประกาศและคำสั่งนั้นละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน
1.3)
ป้องกันการรัฐประหารด้วยการเพิ่มสิทธิของประชาชนในการต่อต้านการรัฐประหาร
(เช่น คุ้มครองสิทธิของประชาชนทั่วไป
กำหนดให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาที่วางแผนยึดอำนาจจากประชาชน)
เพิ่มความรับผิดชอบของทุกสถาบันทางการเมืองในการร่วมกันปฏิเสธการรัฐประหาร (เช่น
ห้ามไม่ให้ศาลรัฐธรรมนูญและศาลทั้งปวงรับรองการรัฐประหาร)
และเพิ่มราคาสำหรับผู้ก่อการรัฐประหาร (เช่น
ห้ามไม่ให้มีการนิรโทษกรรมคณะรัฐประหาร
กำหนดให้ประชาชนเป็นผู้เสียหายฟ้องผู้ก่อการรัฐประหารฐานกบฏได้โดยปราศจากอายุความ
ทำให้บทบัญญัติในหมวดการป้องกันรัฐประหารทั้งหมดมีสถานะเป็นกฎหมายจารีตประเพณีที่มีผลใช้บังคับไปโดยตลอด
ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะถูกฉีกหรือไม่ในอนาคต)
แพ็กเกจที่
2 “ตีกรอบอำนาจศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ” ประกอบด้วย
2.1)
ยุติการผูกขาดเรื่องมาตรฐานจริยธรรม
เพราะถึงแม้จริยธรรมจะเป็นเรื่องนามธรรมที่แต่ละบุคคลตีความไม่เหมือนกัน
แต่รัฐธรรมนูญปี 2560 กลับให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีอำนาจผูกขาดในการนิยามมาตรฐานทางจริยธรรม
และมีบทบาทหลักในการวินิจฉัยหรือไต่สวนในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรม
ในเมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระมีกระบวนการได้มาซึ่งยังไม่สามารถทำให้ประชาชนเชื่อมั่นได้ว่าจะนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นกลาง
การผูกขาดอำนาจเรื่องจริยธรรมกับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระจะเพิ่มความเสี่ยงเรื่องการตีความกฎหมายที่ไม่มีความชัดเจนแน่นอน
การบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรมและไม่เสมอภาค การใช้ดุลยพินิจตามอำเภอใจ
และการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ตัวอย่างที่สำคัญคือกรณีการตั้งคณะรัฐมนตรี
ซึ่งตอกย้ำว่าสังคมมองว่าอาจมีการบังคับใช้มาตรฐานจริยธรรมอย่างไม่เป็นธรรม เช่น
กรณีอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่งที่วันนี้นายกรัฐมนตรีแพทองธาร
ชินวัตรไม่กล้าแต่งตั้งเพราะกลัวขัดจริยธรรม แต่รัฐมนตรีคนเดียวกันนี้
อดีตนายกรัฐมนตรีประยุทธ์
จันทร์โอชากลับแต่งตั้งได้โดยไม่ลังเลและไม่นำไปสู่ปัญหาใดๆ
ดังนั้น
แนวทางการแก้ไขประเด็นนี้
พรรคประชาชนจึงเสนอให้แยกกลไกตรวจสอบเรื่องจริยธรรมออกมาจากกลไกตรวจสอบเรื่องการทุจริตซึ่งมีนิยามและความรับผิดรับชอบทางกฎหมายอย่างชัดเจน
ยกเลิกการให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีอำนาจผูกขาดนิยามมาตรฐานทางจริยธรรมที่บังคับใช้กับทุกองค์กร
และกำหนดให้แต่ละองค์กรออกแบบกลไกในการตรวจสอบเรื่องจริยธรรมขององค์กรตนเอง
รวมถึงยกเลิกการให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระมีบทบาทหลักในการวินิจฉัยหรือไต่สวนในกรณีจริยธรรม
2.2)
ปลดล็อกพรรคการเมืองให้ยึดโยงกับประชาชน
เนื่องจากกฎหมายพรรคการเมืองปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องการจัดตั้ง การเติบโต
และการดำรงอยู่ของพรรคการเมือง
ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการส่งเสริมให้พรรคการเมืองพัฒนาไปเป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความยึดโยงกับประชาชน
พรรคประชาชนจึงเสนอว่าจำเป็นต้องมีการแก้ไข
พ.ร.ป. พรรคการเมือง
เพื่อทำให้พรรคการเมืองเกิดง่ายจากการรวมตัวกันของประชาชนที่มีอุดมการณ์ตรงกัน
(เช่น ลดเงื่อนไขเรื่องทุนประเดิมและธุรการเกี่ยวกับการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่
อำนวยความสะดวกประชาชนในการสมัครสมาชิก) ทำให้พรรคการเมืองดำรงอยู่ได้ทางการเงินจากการสนับสนุนของประชาชนในวงกว้าง
(เช่น ปลดล็อกให้ระดมทุนจากประชาชนและผู้บริจาครายย่อยได้ง่ายขึ้น
เพิ่มความคล่องตัวในการใช้จ่าย)
และทำให้พรรคการเมืองตายยากโดยการทบทวนฐานความผิดและอัตราโทษให้มีความเหมาะสมและได้สัดส่วน
(เช่น ปรับโทษการยุบพรรคเป็นการลงโทษกรรมการบริหารรายคณะหรือรายบุคคลที่กระทำผิด)
แพ็กเกจที่
3 “เพิ่มกลไกตรวจสอบการทุจริต” ประกอบด้วย
3.1)
ป้องกันการสมคบคิดกันระหว่างรัฐบาลกับ ป.ป.ช.
ซึ่งมีความเป็นไปได้จากการที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 236 ระบุว่า หากสมาชิกรัฐสภาหรือประชาชน 20,000 คนเข้าชื่อเพื่อร้องเรียนต่อประธานรัฐสภาว่า
ป.ป.ช. ใช้อำนาจโดยมิชอบ
ประธานรัฐสภามีสิทธิในการใช้ดุลยพินิจกลั่นกรองก่อนว่าควรดำเนินการให้มีการไต่สวนหรือไม่
ซึ่งหากรัฐบาลและ ป.ป.ช.
สมคบคิดกันเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบการทุจริตของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล ประธานรัฐสภา
(ซึ่งมักเป็น สส. จากฝั่งรัฐบาล)
ก็สามารถใช้อำนาจปัดตกทุกข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ได้
พรรคประชาชนจึงเสนอแนวทางแก้ไขเพื่อยกระดับประสิทธิภาพของกลไกการเข้าชื่อร้องเรียนกรรมการ
ป.ป.ช.
ด้วยการตัดอำนาจและดุลยพินิจของประธานรัฐสภาในการตัดสินใจว่าจะให้มีการไต่สวนตามข้อร้องเรียนหรือไม่
โดยให้ประธานรัฐสภาเป็นแค่ทางผ่านในการส่งทุกเรื่องร้องเรียนไปที่ประธานศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะผู้ไต่สวนอิสระ
3.2)
เพิ่มอำนาจประชาชนในการร้องเรียนนักการเมืองแบบช่องทางเร่งด่วน (Fast-track)
เพราะที่ผ่านมาถึงแม้ประชาชนจะมีอำนาจในการยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.
ไต่สวนข้อเท็จจริงอยู่แล้ว แต่หลายครั้งการดำเนินการของ ป.ป.ช.
มักใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็น พรรคประชาชนจึงเสนอเพิ่มอำนาจให้ประชาชน 20,000
คนเข้าชื่อร้องเรียนนักการเมืองที่กระทำการทุจริตหรือใช้อำนาจโดยมิชอบ
โดยเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ป.ป.ช.
จะต้องพิจารณาเป็นเรื่องด่วนและไต่สวนให้เสร็จภายใน 180 วัน
3.3)
ยกระดับการเปิดเผยข้อมูลรัฐอย่างโปร่งใส (Open Data) เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลของรัฐได้อย่างโปร่งใสเท่าที่ควร
พรรคประชาชนจึงเสนอให้ปรับมาใช้หลักการว่าข้อมูลรัฐต้อง “เปิดเผยเป็นหลัก
ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” (Open by Default) โดยหากจะปกปิด
รัฐต้องให้เหตุผลที่สมควรเท่านั้น เช่น
เป็นข้อมูลที่จำเป็นต้องเป็นความลับหรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล
และกำหนดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลรัฐในรูปแบบที่ง่ายต่อการใช้งาน เช่น
เป็นไฟล์ที่อ่านได้ด้วยคอมพิวเตอร์ (Machine Readable)
3.4)
เพิ่มกลไกคุ้มครองผู้แจ้งเบาะแสและผู้เปิดโปงการทุจริต (Whistleblower
Protection) เนื่องจากที่ผ่านมาประชาชนหลายคนที่รับรู้เรื่องการทุจริตอาจจะยังไม่กล้าแจ้งเบาะแสหรือเปิดโปงการทุจริต
เพราะกังวลต่อความปลอดภัยหรือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง
พรรคประชาชนจึงเสนอให้เพิ่มสิทธิของประชาชนในการได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
ในกรณีที่เปิดเผยหรือชี้แจงเบาะแสการทุจริตของข้าราชการ พนักงาน
หรือลูกจ้างหน่วยงานรัฐ
แพ็กเกจที่
4 “คุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน” ประกอบด้วย
4.1)
สิทธิการศึกษา
พรรคประชาชนเสนอให้ขยายสิทธิเรียนฟรีที่ถูกรับประกันในรัฐธรรมนูญจาก 12 ปี เป็นอย่างน้อย 15 ปี
โดยครอบคลุมการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
4.2)
สิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม
พรรคประชาชนเสนอให้มีการยกระดับสิทธิของประชาชนในการดำรงชีพอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัย
สวัสดิภาพ หรือคุณภาพชีวิตของประชาชน
ยกระดับสิทธิของประชาชนในแสดงความคิดเห็นต่อโครงการที่จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
และกำหนดให้มีองค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมาให้ความเห็นต่อโครงการที่จะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพของประชาชนในพื้นที่
4.3)
สิทธิความเสมอภาคทางเพศ
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐธรรมนูญรับประกันความเสมอภาคทางเพศภายใต้ความหลากหลายทางเพศ
โดยปรับข้อความจาก “ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน” มาเป็น “บุคคลทุกคน ไม่ว่าเพศ
เพศสภาพ เพศวิถี หรืออัตลักษณ์ทางเพศใด มีสิทธิเท่าเทียมกัน”
4.4)
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐธรรมนูญยกระดับสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในการได้รับสิทธิการประกันตัว
หากไม่มีพฤติการณ์อันเชื่อได้ว่าจะหลบหนี
และยกระดับสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงทนายความที่รัฐจัดหาให้
4.5)
เสรีภาพในการแสดงออก
พรรคประชาชนเสนอให้รัฐธรรมนูญยกระดับเสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน
คุ้มครองการติชมด้วยความเป็นธรรมในทุกกรณี รวมถึงยกระดับเสรีภาพทางวิชาการ
4.6)
เงื่อนไขการจำกัดสิทธิ
พรรคประชาชนเสนอให้ปรับเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนให้สอดคล้องกับหลักสากล
โดยรับประกันให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ
ตราบใดที่ไม่เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
และตัดเงื่อนไขในการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนด้วยเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคงของรัฐ”
หรือ “ความสงบเรียบร้อย” ที่อาจถูกตีความเกินขอบเขต
แพ็กเกจที่
5 “ปฏิรูปกองทัพ” ประกอบด้วย
5.1)
ยกเลิกบังคับเกณฑ์ทหาร
โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารในยามปกติ
และให้การบังคับเกณฑ์ทหารจำกัดอยู่เฉพาะในยามที่มีภัยสงครามเท่านั้น
5.2)
จำกัดขอบเขตอำนาจศาลทหาร
โดยกำหนดให้อำนาจศาลทหารจำกัดอยู่เฉพาะในยามที่มีการประกาศสงคราม
แพ็กเกจที่
6 “ยกระดับประสิทธิภาพรัฐสภา” ประกอบด้วย
6.1)
ยกระดับกลไกกรรมาธิการ
โดยปลดล็อกอำนาจของคณะกรรมาธิการในการออกคำสั่งเรียกเอกสารหรือบุคคลภายนอกมาชี้แจง
เพื่อดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในประเด็นที่กำลังพิจารณาศึกษา
6.2)
ปรับนิยามฝ่ายค้าน โดยปลดล็อกความเป็นไปได้ที่ประธานสภาฯ
หรือรองประธานสภาฯ จะมาจากพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
6.3)
เพิ่มอำนาจสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างการเงิน โดยปลดล็อกให้ สส.
เสนอร่างกฎหมายการเงินเข้าสู่การพิจารณาในสภาฯ
โดยไม่ต้องมีคำรับรองจากนายกรัฐมนตรี (หากรัฐบาลไม่เห็นด้วย สส.
ฝ่ายรัฐบาลสามารถลงมติไม่เห็นชอบกับร่างดังกล่าวในสภาฯ ได้)
และแพ็กเกจที่
7 “ปรับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ” ประกอบด้วย
7.1)
กำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำได้หากได้รับเสียงเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภา
และ 2 ใน 3 ของสภาผู้แทนราษฎร
โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากเสียง 1 ใน 3 ของวุฒิสภาเป็นเงื่อนไขเฉพาะ
รวมถึงกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญจำเป็นต้องมีการทำประชามติก็ต่อเมื่อเป็นการแก้ไขเกี่ยวกับเกณฑ์เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หรือการแก้ไขเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น
พริษฐ์กล่าวต่อไปว่า
พรรคประชาชนนำเสนอเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเป็นระบบ
และได้มีการเตรียมการไว้เป็น 7 ชุดประเด็นดังที่กล่าวไปข้างต้น ทั้งนี้
พรรคประชาชนเข้าใจดีว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายประเด็น (เช่น ระบบเลือกตั้ง
ระบบรัฐสภา หรือมาตรฐานทางจริยธรรม)
ย่อมส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมือง ดังนั้น ในฐานะนักการเมือง
พรรคประชาชนยืนยันว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในทุกประเด็นต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ
โดยคำนึงถึงหลักการออกแบบระบบการเมืองในภาพรวมที่เป็นประโยชน์กับประชาชนและประเทศ
พรรคประชาชนยืนยันว่า
การแก้ไขเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไม่ได้เป็นการแก้เพื่อตัวเองหรือเป็นปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง
แต่เป็นไปเพื่อยุติการผูกขาดอำนาจเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้กับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ
ซึ่งมีความเสี่ยงจะทำให้มาตรฐานจริยธรรมถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
กระทบต่อทั้งเสถียรภาพและความชอบธรรมทางประชาธิปไตยของระบบการเมือง
และส่งผลโดยตรงต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ถึงแม้เรื่องมาตรฐานจริยธรรมจะเป็นประเด็นที่หลายพรรคเคยยอมรับว่าเป็นปัญหา
รวมถึงเคยมีการแสดงความเห็นต่อสาธารณะ แต่ในวันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้ว
ว่าทุกพรรคตัดสินใจว่าจะยังไม่เดินหน้าหาทางออกต่อปัญหาดังกล่าว ณ เวลานี้
เมื่อเป็นเช่นนี้
ในมุมหนึ่ง
พรรคประชาชนยังมีความจำเป็นต้องอธิบายและยืนยันต่อสังคมว่าทำไมจึงควรจะยุติการผูกขาดอำนาจเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้กับศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ
แต่ในอีกมุมหนึ่ง
เราไม่อยากให้ร่างดังกล่าวกลายเป็นเงื่อนไขหรือข้ออ้างที่ทำให้พรรคการเมืองอื่นไม่เดินหน้าพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราฉบับอื่นๆ
ดังนั้น
หากพรรคร่วมรัฐบาลยืนยันดังกล่าว
เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราได้เดินหน้าต่อ พรรคประชาชนพร้อมจะ “พัก”
การผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องมาตรฐานจริยธรรมไว้ก่อน
จนกว่าจะสามารถทำงานเชิงความคิดกับพรรคร่วมรัฐบาลและสังคมได้มากกว่าที่เป็นอยู่
แต่พรรคประชาชนยืนยันจะเดินหน้าเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราอีก
6 แพ็กเกจ
โดยหวังว่าพรรคการเมืองจะไม่ได้มองเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราจำกัดอยู่แค่ประเด็นเรื่องมาตรฐานจริยธรรม
และจะเห็นตรงกับเราในการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราคู่ขนานกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“ยิ่งในวันนี้ที่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความเสี่ยงจะเสร็จไม่ทันการเลือกตั้งครั้งถัดไป
พรรคการเมืองยิ่งควรจะเห็นความจำเป็นในการร่วมมือกันเดินหน้าแก้ไขรายมาตราที่เป็นประโยชน์กับประชาชนโดยเร็ว
เพื่อให้เรามีรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมในช่วงเปลี่ยนผ่านจากวันนี้จนถึงวันเลือกตั้ง
ที่มีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยมากขึ้น และทำให้ระบบการเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น”
พริษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน