ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
“ตำรวจ” เป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ตนและชนชั้นนำ หรือ
เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร [จากเหตุการณ์ 6ตุลา19 ถึงปัจจุบัน]
ถอดจาก
Facebook
Live อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2566
สวัสดีค่ะท่านผู้ชมทางบ้านในวันนี้และที่มาดูตามหลังทุกคน
วันนี้เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงตั้งประเด็นที่จะคุยก็คือ
“ตำรวจ”
เป็นผู้พิทักษ์ผลประโยชน์ตนและชนชั้นนำ หรือ เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร
ราษฎรไม่มีการันต์
(◌์) ตั้งใจให้เห็นชัดว่า
ตำรวจจะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎรหรือเป็นผู้พิทักษ์ราษฎรหรือเปล่า
เพราะว่าปรากฏการณ์ที่เรามองเห็น ประหนึ่งเป็นเรื่องราวของผลประโยชน์ส่วนตน
และผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ซึ่งปรากฏการณ์เห็นชัดตอนนี้มันก็สร้างวิกฤติศรัทธาให้ประชาชน
อันที่จริงมันจะมองว่าเป็นวิกฤติของตำรวจก็ได้
แต่ว่าถ้าเรามองเป็นเหรียญสองด้านมันเป็นเรื่องที่ดี
มันได้แสดงออกอย่างเปลือยเปล่าให้เห็นว่า
ตำรวจในยุคนี้หรือยุคที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เพราะว่าตำรวจเป็นองค์กรสำคัญที่สัมพันธ์กับประชาชน
และอาจจะสำคัญกว่าทหารด้วยซ้ำไป เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน
ประเด็นแรก
ปรากฏการณ์ที่แสดงขึ้นมาทำให้เรามองเห็นว่า วงการตำรวจยังอยู่ในระบอบเก่า
ยังอยู่ในระบบเก่า เป็นระบบอุปถัมภ์ แล้วก็ ดิฉันใช้คำว่า พิทักษ์ชนชั้นนำมากกว่าราษฎร
เพราะเราเห็นเลยว่าอันนี้มันขึ้นอยู่กับว่า “นาย” สายไหน
มันแสดงให้เห็นถึงความล้าหลัง เป็นความล้าหลังที่ขึ้นต่อนาย แล้วก็มีการแสวงหาส่วย
แสวงหาผลประโยชน์ แล้วก็มีการส่ง ขึ้นอยู่กับตัวเองเหมือนกับว่าเป็นมูลนายสายไหน
มันเหมือนยุคโบราณที่จะต้องมีผู้อุปถัมภ์ เมื่อระบบของตำรวจเป็นระบบรวมศูนย์
มีผบ.ตร. เมื่อก่อนนี้เป็นกลุ่ม เมื่อผบ.ตร. เป็นนายสูงสุดในระบบตำรวจ
แต่ว่าโดยรัฐธรรมนูญมันต้องขึ้นต่อนายกรัฐมนตรีซึ่งมาจากประชาชน
ถ้าพูดตรง
ๆ ก็คือจริง ๆ แล้ว “ประชาชน” คือนายของตำรวจ นายกรัฐมนตรีก็มาเป็นประธานของ
กก.ตร. อีกทีหนึ่ง ซึ่งองค์กรเหล่านี้ถูกตั้งขึ้นจริง ๆ
แล้วเพื่อเบี่ยงเบนผลประโยชน์และอำนาจของประชาชน ประมาณเหมือนสภากลาโหม
หรือบอร์ดของรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐบาล กระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ
ก็คือเขาตั้งใจทำเพื่อไม่ให้นักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งประชาชนเข้ามามีอิทธิพลมาก
ก็คือเอาคณะของหน่วยงานนั้นขึ้นมาเป็นบอร์ด แล้วนายกฯ ก็ไปนั่งโด่เด่
ประมาณเหมือนสภากลาโหมหรืออะไร
เพราะว่าถ้าในหน่วยงานบอร์ดนั้นเขาอยากจะแต่งตั้งใครอะไรต่าง ๆ เขาก็เตรียมขึ้นมา
โดยทั่วไปนายกฯ ก็อาจจะให้คำแนะนำปรึกษาหารือบ้าง กลายเป็นผู้รับผิดชอบ แต่จริง ๆ
ก็คือต้องทำตามองค์กร เพราะว่ามันมีกฎหมายขึ้นมาที่เรียกว่า ต้องการกีดกัน “นาย”
ที่มาจากประชาชน
และถ้ากีดกัน
“นาย” ที่มาจากประชาชนแล้วจะยอมรับนายไหน มาจากไหน ในทัศนะดิฉันก็คือ
เป็นชนชั้นนำโดยเฉพาะอย่างยิ่งจารีตอำนาจนิยม 9 ปีที่ผ่านมาหลังทำรัฐประหาร ทำให้ตำรวจยิ่งเละเทะ
ในทัศนะดิฉันนะ แน่นอน ไม่มีนายมาจากประชาชนเพราะไม่มีนายกฯ มาจากการเลือกตั้ง
แต่มีทหารที่ทำการรัฐประหารเป็นนาย เราจะไม่แปลกใจเลยว่า
ไอ้ที่พูดกันว่าจะปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญปราบโกง อะไรต่าง ๆ
เห็นได้ชัดเลยว่าวงการตำรวจเละเทะที่สุด เรื่องที่พูดเป็นเรื่องโฆษณา
ถ้าการทำรัฐประหารดี
มี “นาย” ที่มาจากการทำรัฐประหารโดยตรง ทำไมมันเละเทะอย่างนี้ ที่ผ่านมา 9 ปี
นี่คือปรากฏการณ์ที่เราเห็นวันนี้ แต่ดิฉันอยากจะมองว่าธาตุแท้ก็คือ
องค์กรตำรวจยังอยู่ในระบบอุปถัมภ์ และผู้อุปถัมภ์ซึ่งเป็น “นาย” ก็เป็นชนชั้นนำซึ่งเป็นองค์ประกอบ
จะเป็นนายทุน จะเป็นกลุ่มจารีตอำนาจนิยม
คือใครมีศักดิ์และสิทธิ์สูงสุดที่จะดลบันดาล นั่นแหละคือ “นายตัวจริง” แต่ถ้ามว่า
“นาย” ที่มาจากการเลือกตั้ง
ดิฉันว่าคนทั่วไปทั้งหมดดูออกว่านายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้มีอำนาจจริงในเรื่องการแต่งตั้งตำรวจเหล่านี้ขึ้นมาเป็น
ผบ.ตร.
เพราะฉะนั้น
ในประเด็นแรกที่ดิฉันพูดไปก็คือ
ต้องการจะให้บอกว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจ
สะท้อนถึงธาตุแท้ของระบบอุปถัมภ์ และยังเป็นระบอบเก่าที่ เจ้านายไม่ใช่ประชาชน
แม้จะมีการเลือกตั้ง ได้นายกฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ตาม
ก็ไม่ใช่นายตัวจริง แต่อาจจะเกรงใจบ้างเท่านั้นเอง
เพราะว่าได้สร้างองคาพยพเอาไว้ในการที่จะทำให้ประชาชนและตัวแทนจากประชาชนนั้นไม่ใช่นายที่แท้จริง
การเปลี่ยนโครงสร้างที่ไม่เกื้อหนุนระบบอุปถัมภ์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องจำเป็น
ถ้าคุณจะแก้ปัญหาของตำรวจ
นอกจากจะทำให้การเมืองเป็นระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจจริงแล้ว
เราจะเห็นหลุมพรางกับดักที่วางอยู่ในองค์กรต่าง ๆ
เหล่านี้ล้วนปิดกั้นอำนาจประชาชนทั้งสิ้น
และนอกจากปิดกั้นอำนาจประชาชนแล้ว
ยังเป็นสิ่งที่อำนวยผลประโยชน์ให้เกิดผลประโยชน์ส่วนตน เขาสามารถปกป้องผลประโยชน์ของนายตัวจริงของตัวเองด้วย
ระบบไต่เต้า ระบบรับส่วยที่เราเห็น ไม่ว่าจะเป็นมาเฟียท้องถิ่น
รับส่วนจากมาเฟียท้องถิ่น หรือมาเฟียระดับประเทศ ธุรกิจสีเทา ธุรกิจดำมืดอะไรต่าง
ๆ เหล่านี้ ก็ล้วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะมันเป็นมูลนายสายไหนก็ตาม ด้วยระบบอุปถัมภ์เพื่อที่จะไต่เต้าขึ้นมา
ดังนั้น จะแก้ปัญหาก็ต้องคิดถึงปัญหาทางโครงสร้าง
และคิดถึงเรื่องอำนาจของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยว่ามีจริงหรือเปล่า
ประการที่สอง
ในวาระที่ 6ตุลา19 มาครบ 47 ปี
ทำให้ดิฉันจะย้อนถึงบทบาทของตำรวจว่ามันเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างชัดเจน
ถ้าท่านผู้ชมท่านผู้ฟังจำได้ก็คือ 6ตุลา19 มันเกิดขึ้นมาหลังจาก 14ตุลา16 ที่มีคนตายประมาณ 70 คน
บาดเจ็บก็นับพันเหมือนกัน ครั้งนั้นทหารเป็นผู้กระทำ
แล้วหลังจากนั้นภาพของคนที่ออกมาหลายแสน อาจจะนับล้านในตอน 14ตุลา16
และความไม่เป็นเอกภาพของกองทัพ ทำให้เหตุการณ์ 6ตุลา19 และสิ่งที่เกิดขึ้นใน
6ตุลา19 มันสะท้อนให้เห็นว่า “ตำรวจ” ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการ
ดังนั้นผู้กระทำ เข่นฆ่านักเรียน นิสิต นักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันที่
6ตุลา19 คือตำรวจ แล้วตำรวจตระเวนชายแดน ร่วมกับลูกเสือขาวบ้าน
ก็เป็นส่วนหนึ่งที่มาอยู่ด้านนอก แล้วตำรวจพลร่มนเรศวรและส่วนอื่น
ร่วมกับกระทิงแดง ก็บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
แน่นอนมีหน่วยงานความมั่นคงทั้งที่เป็นอิสระและที่เป็นทางการส่วนหนึ่งร่วมกับตำรวจ
แต่ตำรวจเป็นกรณีหลักในการจัดการกับนิสิตนักศึกษาในกรณี 6ตุลา19
แน่นอนมันเป็นเรื่องสงครามเย็นกลัวคอมมิวนิสต์ด้วย นี่ก็แสดงว่าตำรวจถูกใช้เป็นเครื่องมือ
นอกจากโครงสร้างจะเป็นระบบอุปถัมภ์และยังอยู่ในระบอบเก่าแล้ว
ยังถูกใช้มาเป็นเครื่องมือในยามที่ทหารไม่พร้อมที่ปราบปรามประชาชน
ในครั้งนั้นเป็นตำรวจล้วนหมดเลย ถามว่ามันง่ายซิ เพราะว่านักศึกษาเข้าไปอยู่ภายในมหาวิทยาลัย
ผู้ปราบปรามก็อ้างแบบเดิมว่ามีอุโมงค์ มีอาวุธ แต่เท่าทีดิฉันเข้าใจ
คนอื่นอาจจะคิดเป็นอย่างอื่น และเท่าที่ดิฉันทราบก็เพราะว่ามีน้อง ๆ
และกลุ่มที่ติดต่อรู้จักอยู่ในมหาวิทยาลัยก็บอกว่า อย่างมากก็มีปืนพกสัก 2-3
กระบอกสำหรับการ์ดที่อยู่ข้างหน้าเท่านั้น ไม่มีหรอก มีใครกล้าพูดบ้างว่ามี M16 มีอาก้า
หรือมีปืนค. หรือมีอาวุธอะไร ไม่มี แต่บอกว่ากินเนื้อหมา ถูกจับแล้วพูดไม่ได้เพราะว่าตัวเองเอารองเท้าจุกปากเขาแล้ว
อ้างว่าเป็นคนเวียดนาม อะไรต่าง ๆ เหล่านี้
แต่ผู้กระทำเป็น
“ตำรวจ” หลายคนอาจจะไม่เชื่อ มาเปรียบเทียบกับปัจจุบันได้นะ
ไอ้ที่จัดการอยู่กับเยาวชน ไม่ว่าฉีดน้ำหรืออะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ทหารไม่แสดงตัวออกมา แต่เป็น “ตำรวจ” เปรียบกับตอน 6ตุลา19 ได้
ดังนั้นดิฉันถึงได้ใช้คำว่า คุณเป็นผู้พิทักษ์ชนชั้นนำหรือผู้พิทักษ์สันติราษฎร
กรณี 6ตุลา19 มันชัดเจน ตำรวจตระเวนชายแดนกับลูกเสือชาวบ้านมาด้วยกัน
แล้วตำรวจที่เป็นพลร่มและตำรวจส่วนอื่นมากับกระทิงแดงในการบุกเข้าไปจัดการทำร้าย
พวกเราหลายคนก็คงได้เห็นภาพ เข้าไปดูในสื่อออนไลน์ก็จะเห็นเยอะ ทุกวันนี้ทุกปีก็มีกิจกรรม
6ตุลานี้ก็คงมีกิจกรรมอยู่เหมือนเดิม คือตอนเช้ามีทำบุญ มีการวางพวงหรีด มีปาฐกถา
บ่ายก็มีการเดิน มีการแสดงภาพ หรือมีการแสดงละครอะไรต่าง ๆ เหล่านี้
ซึ่งก็ทำปีละครั้ง
กรณีของคนเสื้อแดงเรามีปัญหาก็คือทหารเป็นคนจัดการ
ไม่ใช่ตำรวจ ฟ้องนักการเมืองก็ไม่ได้ ฟ้องทหารก็ต้องไปขึ้นศาลทหาร แต่ตอน 6ตุลา19
ดิฉันจำได้ ทนายก็คือคุณทองใบ ทองเปาด์ เป็นทนายหลักเลย
แล้วก็มีแกนนำของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาในเวลานั้น
รวมทั้งปัญญาชนถูกจำคุกคุมขังอยู่จำนวนหนึ่ง ตำรวจถูกดำเนินคดีในศาลธรรมดา
แล้วปรากฏว่าทุกครั้งที่ขึ้นศาล ประชาชนแห่กันไปฟังมากมาย แล้วจากการซักของทนาย
เพราะว่ามันเห็นหน้าตำรวจที่เป็นผู้กระทำ ถูกดำเนินคดี
ดิฉันอยากให้คนที่ทำบันทึกข้อมูล 6ตุลา19 ไปเอาข้อมูลในศาลออกมาด้วย
ปรากฏว่ามันไล่ผู้สั่งการสูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนกระทั่ง พอหลัง 6ตุลา19
มันก็มีการทำรัฐประหาร ชิงกันนะ จะทำรัฐประหารอยู่ 2 คณะเลย
และในที่สุดก็มาจนถึงยุคของพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ในช่วงนั้น
ก็เลยนิรโทษกรรมทั้งสองฝ่าย ทั้งฝั่งตำรวจและผู้สั่งการ แล้วก็นิรโทษกรรมนักเรียนนิสิตนักศึกษาที่ถูกจับ
ก็ขังคุกอยู่เป็นปี เหมือนแกนนำของคนเสื้อแดงตอนนั้นก็ถูกขังประมาณ 9 เดือน
แต่ว่าไม่รับนิรโทษกรรมเพียงแต่ได้ประกันตัว แต่อันนี้ได้นิรโทษกรรม ในกรณี
6ตุลา19 นิรโทษสองฝ่าย และตำรวจถูกขึ้นศาลพลเรือน นี่ เรา, คณะประชาชนทวงความยุติธรรมปี
2553 ก็มีข้อเรียกร้องต้องการให้ทหารขึ้นศาลพลเรือนเช่นกัน
เหตุการณ์
6ตุลา19 มันสะท้อนให้เห็นว่า “ตำรวจ” เป็นส่วนหนึ่งและเป็นเครื่องมือของการเมือง
และก็เป็นการเมืองของชนชั้นนำจารีตอำนาจนิยมที่ไม่ได้ใช้ทหาร แต่ใช้ตำรวจ แสดงให้เห็นว่าอาจจะมีตำรวจจำนวนมากที่ยังเป็นตำรวจของประชาชนและเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร
แต่ว่าก็มีจำนวนหนึ่งซึ่งรับใช้ชนชั้นนำ และคำถามก็คือว่าแล้วทหารอยู่ที่ไหน
ก็แปลว่ามันขึ้นอยู่กับว่าในแต่ละเหตุการณ์เขาจะให้ใครออกมา ทหารอาจจะไม่สะดวก
เพราะไม่เป็นเอกภาพ ตำรวจง่ายกว่าแล้วก็จัดการง่ายกว่า ก็เป็นตำรวจ
นี่ก็คือประเด็นที่สองที่ชี้ให้เห็นว่า
นอกจากตำรวจจะอยู่ในระบบอุปถัมภ์แล้ว ยังเป็นเครื่องมือของรัฐที่จัดการประชาชนด้วย
นี่ไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎรแน่นอนในประเด็นของ 6ตุลา19 แล้วคนอื่นก็เฉย ๆ
ไม่มีใครมาทำอะไร ก็ปล่อยให้ตำรวจส่วนหนึ่งจัดการนิสิตนักศึกษาในเวลานั้น
ในส่วนประเด็นที่สาม
ดิฉันก็ขอพูดถึงเรื่องของคนเสื้อแดง ในกรณีของคนเสื้อแดง
รัฐจารีตอำนาจนิยมของเราในขณะนั้น ต้องยอมรับว่าก็มีการเลือกตั้งแล้ว
ก็มีคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มันเป็นผลมาจากการเลือกตั้งปี 2551
ซึ่งประชาธิปัตย์แพ้ และหลังจากนั้นก็มีการไปตกลงในค่ายทหาร
ก็มีพรรคการเมืองและคุณเนวินซึ่งเคยอยู่พรรคไทยรักไทย อยู่พลังประชาชน ก็ย้ายไป
จึงได้นายกฯ เป็น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สรุปว่าในปี 2553 แทนที่จะใช้ตำรวจ
มีการใช้ทหาร ซึ่งในความเป็นจริงนั้น มติครม.ในยุคคุณอานันท์ ปันยารชุน
มีมติว่าไม่ให้ใช้ทหารในการปราบจลาจลหรือการประท้วงในเมือง ให้ใช้ตำรวจ
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ใช้ทหาร แสดงว่าประเมินคนเสื้อแดงซึ่งเวลานั้นออกมามากนับแสนว่าตำรวจจัดการไม่ได้
เพราะว่าผู้มาประท้วงนับแสน ก็ใช้ทหาร แล้วก็ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ผลของปี
2553 ก็คือเราพบคนเสียชีวิต 99 ศพ แล้วก็ในที่สุดที่ปรากฎหลักฐานออกมาชัดเจน 95 ศพ
หลังจากนั้นเป็นการป่วยทีหลัง ที่ดิฉันอยากจะบอกว่าเขาไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร
ก็คือหลังรัฐประหารปี 2557 แล้ว ตำรวจแช่แข็งเลยค่ะ
ยังมีผู้ที่ไม่ได้ทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ 62 ศพ ทำในช่วงเวลารัฐบาลของคุณยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ได้ 33 ศพ อันนี้ 62 ศพ ยังไม่ได้ทำ และปรากฏว่ามันเริ่มแช่แข็งตั้งแต่ตอนทำรัฐประหารปี
2557 เป็นต้นมา
ดิฉันจึงอยากจะตั้งคำถามว่า
คุณขึ้นอยู่กับนายใช่มั้ย เพราะว่าคณะผู้ทำรัฐประหารปี 2557
ก็คือคนที่จัดการคนเสื้อแดงในปี 2553 นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายทหารใน ศอฉ. นี่ดิฉันยังเห็นเป็นอธิบดีอยู่คนหนึ่งที่เป็นโฆษกตั้งแต่ศอฉ.
ก็ยังอยู่สบายไม่เดือดร้อนอะไร อาจจะถือว่าตอนนี้เป็นการตกลงกันได้หรือเปล่า
แต่คำถามว่า คุณทำขึ้นกับนายใช่มั้ย พอนายของคุณเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับปี 2553
เป็นผู้กระทำ คดีไม่ทำเลยค่ะ นี่ไงตำรวจไทย อยู่ในระบบอุปถัมภ์ รับส่วย ส่งส่วย
แล้วก็ทำงานขึ้นกับนาย อันนี้เป็นรูปธรรมเลยว่าปี 2553 ไม่ขยับเลย
เรารอสถานการณ์จนกระทั่งเราได้เกิด
คณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) ขึ้นมา ในวันที่ 10 ธันวาคม 2565
และในเดือนมกราคม 2566 เราได้เดินทางไปพบ ผบ.ตร. ก็ไม่ได้พบหรอก ได้พบโฆษกฯ
แต่เราทำหนังสือถึง ผบ.ตร.
โดยที่เราแจ้งให้รู้เลยว่าโรงพักไหนที่ยังไม่ได้ทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ 62 ศพ
ศพชื่ออะไร ตายที่ไหน ตายเมื่อไหร่ โรงพักไหน ทำให้หมดเลยค่ะ คือคุณสั่งสบายเลย
คุณสั่งลูกน้องเลย โรงพักต่าง ๆ เหล่านี้ คุณแช่ไว้ตั้ง 13 ปี จาก 2553 คุณทำไม่จบ
ตอนช่วงปี 2554 เป็นต้นมาก็ทำจำนวนหนึ่งได้ 30 กว่า พอหลังปี 2557 หยุด!
อย่าลืมว่าคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ แกเคยบอกนะว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยบอกแกว่าให้
DSI หยุดทำคดี ถ้าทำต่อ ก็คือผมทำรัฐประหารเมื่อไหร่ คุณโดนแน่!
เขาใช้คำ “ปฏิวัติ” ตอนนี้คุณธาริต เพ็งดิษฐ์ อยู่ในคุก
ก็คือดำเนินคดี ตอนที่ดำเนินคดีคุณธาริต เพ็งดิษฐ์ นั้นดำเนินคดีนักการเมืองนะ
ขนาดไม่ใช่ทหาร
ในปี
2554 ซึ่งคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี จาก 2554-2555-2556
ก็ยังเรียกว่าคดียังดำเนินไปได้ ยังมีการทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ
แล้วทนายของเราก็มีการฟ้องร้องจำนวนหนึ่งโดยฟ้องร้องทีละคดี ๆ ก็คือยกตัวอย่างเช่น
คดีนายพัน คำกอง เป็นต้น นี่ก็เป็นคดีแรก
แล้วก็มีผลของศาลไต่สวนออกมาเป็นจำนวนมากเกือบทั้งหมดเลย ก็คือผู้ตายไม่มีอาวุธ
ไม่มีรอยเขม่าดินแดน ไม่มีการต่อสู้ กระสุนก็เป็นกระสุนจากเจ้าหน้าที่
เขาเรียกว่านาโต้ ก็คือไม่ใช่อาก้า นาโต้ก็เช่น M16 เป็นต้น
เป็นลักษณะกระสุนแบบนั้น แล้วก็มีหลายคดีที่บอกชัดเลยว่ามาจากเจ้าหน้าที่
แล้วหลายหน่วยรู้ชื่อเจ้าหน้าที่ รู้หน่วยหมดเลย รวมทั้งที่เจ้าหน้าที่ไปใส่ความอะไร
หรือว่ามีการเปลี่ยนกระสุนเปลี่ยนลำกล้องอะไร ไม่จริง อย่างนี้เป็นต้น
ศาลไต่สวนเอาไว้ดีมาก ๆ และถ้าคุณไปอ่าน โดยเฉพาะคดี 6 ศพวัดปทุมฯ คือเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนมากเลย
ดังนั้น หมายความว่าในขณะที่ตำรวจทำสำนวนชันสูตรพลิกศพ ทางญาติและทางทนายความ
ทางพรรคการเมือง และทางนปช. ก็มาร่วมกันช่วยกันนำคดีขึ้นสู่ศาลเป็นระยะ ๆ
น่ากลัวมั้ยสำหรับผู้กระทำ น่ากลัวซิ!
และนอกจากนั้น
อ.ธิดา ก็ไป ICC
ด้วย เผื่อเอาไว้แล้ว เมืองไทยคดีมันอาจจะไปไม่ถึงไหน จึงไป ICC
จนอัยการเขาก็เดินทางมา ไม่ใช่ง่ายนะ
ดิฉันพูดเฉพาะเรื่องตำรวจก่อนก็ได้ ก็คือตำรวจก็ยังทำงานไปเรื่อย ๆ ช้าหน่อย
เราก็ใช้วิธีว่าแม้ตำรวจช้าหน่อย แต่ว่าคดีไหนที่มันผ่านไปแล้วเราก็ส่งไต่สวน
ก็ไล่มาเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ที่เราทำหนังสือต่อ ผบ.ตร. เมื่อ 23 มกราคม 2566
ก่อนมีการเลือกตั้ง เรามองแล้วว่ายังไงเสียพรรคฝ่ายค้านเดิมต้องได้เสียงข้างมาก
อันนี้ในทัศนะของอาจารย์นะ เราถึงมาเตรียมเอาไว้ว่ายังมีเวลาเหลืออีก 7 ปี
ยังไงเราก็ต้องทวง ทวงทั้งเมืองไทยแล้วก็ไปทวงเมืองนอกด้วยก็ได้ เคยทวงมาแล้ว
แต่ว่าในเมืองไทย หน้าที่ใครทำก่อน เพราะฉะนั้นชุดแรกเลยคือตำรวจ
เป็นกระบวนการยุติธรรมเริ่มต้น แต่ไม่ทำ แล้วพอเราทำจดหมายทวงถาม
ถ้าหากว่าหลังจากนี้จะมีการทำเป็นคลิปท่านจะได้เห็นภาพที่เราไปพบโฆษกที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แล้วเราก็ไปยื่นให้ท่านสั่งเร่งรัด เพราะเรามีหมดแล้ว โรงพักไหน ๆ
จะให้ไปตามถึงโรงพักเลยมั้ย
ดิฉันก็จะฝากไปยังรัฐบาลนี้ด้วย
แล้วก็ผบ.ตร.คนใหม่ว่า ตำรวจทำหน้าที่ของตัวเองซิ มัวแต่รับส่วย มัวแต่ส่งส่วย
มัวแต่ทะเลาะ ลูกน้องใครลูกน้องมัน พูดภาษาหยาบ ๆ มึงจับสายกู กูก็จับสายมึง
อะไรอย่างนี้ แล้วต่างคนต่างบอกว่ามีความลับ แล้วถ้าเปิดออกมาหมดแล้วมันเละเน่าเฟะ
เพราะฉะนั้นวันนี้ดิฉันก็จะตัดตอนพูดเฉพาะเรื่องของตำรวจว่า
ถ้าคุณเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร สิ่งที่คุณทำ คุณก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ
นี่หน้าที่ไม่ทำ มัวไปงานเลี้ยงบ้านโน้นที บ้านนี้ที ไปอยู่กับสาวโน่นที สาวนี่ที
นี่ไม่ได้ว่าข้างไหนนะ มันก็มีปัญหาแบบนี้หมด เพราะว่าโครงสร้างมันเป็นแบบนี้
เพราะว่านายสั่งมา ก็ต้องทำเพื่อนาย แต่นายไม่ใช่ประชาชน!
ดังนั้น
รูปธรรมของปัญหาที่มันเกิดขึ้นเราต้องเข้าใจธาตุแท้ของมันว่า
แสดงว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎรที่มีชื่อนั้นไม่ใช่ชื่อจริง
อันนี้ก็เป็นละครเหมือนกัน ตอนนี้อะไร ๆ ก็เป็นละครหมด เป็นโขน เป็นลิเกทั้งนั้น
ใส่เครื่องแบบตำรวจ ชื่อเรียกผู้พิทักษ์สันติราษฎร
แล้วมันพิทักษ์สันติราษฎรจริงมั้ย หรือพิทักษ์ใคร พิทักษ์นาย พิทักษ์เจ้านาย
พิทักษ์ผู้อุปถัมภ์ พิทักษ์คนที่ตัวเองไปรับส่วยมา พิทักษ์คนที่ตัวเองเอาส่วยไปส่ง
เพราะว่าระบบอุปถัมภ์มันต้องไต่เต้าขึ้นมาเป็นแบบนี้
แล้วนอกนั้นทั้งองคาพยพยังสามารถเป็นเครื่องมือในการจัดการกับประชาชน
มาสู่ประเด็นต่อมาคือประเด็นที่สี่ก็คือ
ปัจจุบันที่เป็นเราจะเห็นว่าตำรวจจำนวนมากฟ้องร้องเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นคดีผิด 116
ผิด 112 พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เมื่อก่อนลำดับคัดค้านการประกันตัว อะไรต่าง ๆ
แน่นอนประกันตัวเขาบอกว่าต้องเป็นเรื่องของศาล แต่คุณคัดค้านการประกันตัว
หรือว่าคุณทำเรื่องให้รกศาล เรื่องไม่เป็นเรื่องก็กล่าวหาประชาชน
คำถามว่าคุณรับใช้ใคร ตอนนี้! คุณยังแสดงตัวว่านายสั่งมาหรือเปล่า นายสั่ง
แล้วนายสั่งมาต่อ ๆ กันหรือเปล่า แล้วมันเป็นระบบอุปถัมภ์เช่นเดิม
ขณะนี้มีการเลือกตั้งแล้วก็ตาม
แต่ว่านายกรัฐมนตรีและประชาชนยังไม่ใช่นายของตำรวจ
ดิฉันก็อยากจะฝากมายังนายกรัฐมนตรีและผู้ที่ดูแล คือนายทั้งหลาย
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่านายของพวกคุณจริง ๆ คือ “ประชาชน”
ถ้าคุณเป็นตำรวจที่พิทักษ์สันติราษฎร คุณต้องคิดว่าประชาชนเป็นนาย
ถ้าไม่ใช่ก็เปลี่ยนชื่อ ก็เหมือนคนเปลี่ยนเพลงตำรวจ
อย่าใช้ชื่อว่าพิทักษ์สันติราษฎร ก็ถือว่าเป็นผู้พิทักษ์ชนชั้นนำในระบบอุปถัมภ์
ไม่ใช่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร
อย่าลืมนะ
เราจะยังทวงความยุติธรรมของประชาชนไปเรื่อย ๆ
และปรากฏการณ์ครั้งนี้มันได้เปิดโปงล่อนจ้อนถึงเรื่องราวของตำรวจทั้งหมด
มีทั้งข้อดีและมีทั้งข้อเสีย แต่ดิฉันมองว่ามีข้อดีมากกว่า
ดิฉันในฐานะที่อยู่ในคณะประชาชนทวงความยุติธรรม 2553 (คปช.53) ร่วมกับญาติวีรชนทั้งหลาย,
ทนายความ และประชาชนส่วนต่าง ๆ ฝากบอกว่า 62 ศพ ไปทำสำนวนเสีย แล้วเรารู้โรงพักหมด
เราจะเปิดเผยโรงพักด้วย อย่าให้ต้องไปเยี่ยมโรงพักเลย
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือท่าน ผบ.ตร. ดิฉันไม่ว่าที่ท่านไปวัด
ท่านชอบไปวัดก็เป็นเรื่องที่ดี ท่านพยายามที่จะทำบุญ ดิฉันว่าทำบุญแบบนั้นไม่น่าจะได้บุญนะ
สู้ทำหน้าที่ให้กับประชาชนอย่างเต็มกำลัง นี่แหละได้บุญจริง ๆ ค่ะ.
#UDDnews
#ยูดีดีนิวส์ #ธิดาถาวรเศรษฐ #คนเสื้อแดง #ตำรวจ