‘ก้าวไกล’ ยื่นกฎหมายนิรโทษกรรมคดีการเมืองทุกสีเสื้อ ตั้งแต่ปี 49 พร้อมเปิด 4 ข้อหลักหยุดนิติสงคราม
เริ่มต้นสร้างความยุติธรรม เชื่อสำเร็จได้หากทุกพรรคการเมืองสนับสนุน
วันที่
5 ตุลาคม 2566 ที่รัฐสภา ชัยธวัช ตุลาธน
หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส. พรรคก้าวไกล
ร่วมแถลงข่าวการยื่นร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง
การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. … โดยมี วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา
เป็นผู้รับหนังสือ
ชัยธวัชกล่าวว่า
สาเหตุที่ยื่นร่าง พ.ร.บ. นี้ เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาถึงปัจจุบัน
นับตั้งแต่การชุมนุมครั้งแรกของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์
2549 ภายหลังลุกลามบานปลายจนเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19
กันยายน 2549 และรัฐประหารซ้ำอีกครั้งในวันที่
22 พฤษภาคม 2557 มีพี่น้องประชาชนจำนวนมากเข้าไปมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ
หลายพันคนถูกดำเนินคดี ตั้งแต่คดีเล็ก ๆ น้อย ๆ
จนถึงข้อกล่าวหาร้ายแรงเป็นคดีความมั่นคง การดำเนินคดียังไม่ยุติจนถึงปัจจุบัน
พรรคก้าวไกลเห็นว่า
สถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เป็นการยากที่สังคมไทยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติสุข
เพราะประชาชนจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีจากการมีส่วนร่วมทางการเมือง
ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ต่างมีความเห็นว่ารัฐไม่เคารพความเห็นต่างทางการเมือง
ไม่เคารพต่อสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง ดังนั้น
เพื่อให้สังคมไทยได้กลับมาเริ่มต้นใหม่ จำเป็นต้องยุติการใช้นิติสงครามต่อพี่น้องประชาชน
ให้ประชาชนที่ได้แสดงออกทางการเมืองโดยมีเหตุจูงใจจากความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ได้หลุดพ้นจากการถูกดำเนินคดี
“การนิรโทษกรรมจะเป็นหนทางถอนฟืนออกจากกองไฟ ยุตินิติสงคราม
เพื่อเป็นก้าวแรกในการเริ่มต้นสร้างความยุติธรรมและความปรองดองที่ยั่งยืนในสังคมไทยต่อไป”
หัวหน้าพรรคก้าวไกลระบุ
ชัยธวัชกล่าวต่อว่า
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ได้แก่ (1) กำหนดให้บรรดาการกระทำใดๆ
ของบุคคลผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง
ตลอดจนการกระทำทางกายภาพหรือการแสดงความคิดเห็นใด ๆ
ที่เป็นความผิดตามกฏหมายในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์
2549 จนถึงวันที่ พ.ร.บ.นี้ มีผลบังคับใช้
หากการกระทำดังกล่าวมีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง
ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดต่อพันธกรณีตามกฏหมายระหว่างประเทศ
.
(2)
การนิรโทษกรรมจะไม่ครอบคลุมถึงการกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สลายการชุมนุม
หากเป็นการกระทำที่เกินสมควรกว่าเหตุ
ตลอดจนจะไม่นิรโทษกรรมการกระทำความผิดต่อชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา
และจะไม่นิรโทษกรรมการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113
(3)
กลไกในการนิรโทษกรรม จะกำหนดให้มี
‘คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการกระทำความผิดเพื่อการนิรโทษกรรม’
โดยในร่างของพรรคก้าวไกลเสนอให้มี 9 คน
ซึ่งประธานรัฐสภาจะเป็นผู้แต่งตั้ง ประกอบด้วย ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร บุคคลที่ได้รับเลือกจากคณะรัฐมนตรี 1 คน และบุคคลที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเลือกอีก 2 คน
นอกจากนี้
เพื่อให้มีความรอบคอบ
จะมีองค์ประกอบที่มาจากผู้พิพากษาหรืออดีตผู้พิพากษาในศาลยุติธรรม จำนวน 1 คน
ซึ่งมาจากการเสนอของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา และมาจากตุลาการหรืออดีตตุลาการศาลปกครอง
1 คน มาจากพนักงานอัยการหรืออดีตพนักงานอัยการอีก 1 คน ซึ่งมาจากการเสนอของศาลปกครองและอัยการเอง ส่วนคนสุดท้าย
คือเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
(4)
ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
หรือจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง อันเนื่องมาจากระเบียบ ประกาศ
คำสั่ง คำวินิจฉัย หรือมติ หรือการกระทำของคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ ตาม พ.ร.บ.
ฉบับนี้ มีสิทธิ์ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้
ชัยธวัชกล่าวว่า
พรรคก้าวไกลมุ่งหวังให้การเสนอร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้
เป็นหมุดหมายสำคัญในการคืนชีวิตใหม่ให้พี่น้องประชาชนที่ถูกกระทำโดยนิติสงครามหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมือง
หรือแสดงออกทางการเมืองแล้วถูกดำเนินคดีตามกฏหมาย
ซึ่งพี่น้องประชาชนจำนวนมากรู้สึกว่าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของตนเองในการแสดงออกทางการเมืองโดยสันติ
ได้รับการกระทบกระเทือนหรือโดนละเมิด
เราเชื่อว่าการนิรโทษกรรมนี้
สามารถเป็นไปได้หากพรรคการเมืองต่าง ๆ มีเจตจำนงร่วมกันในการผลักดัน
ซึ่งหากพิจารณาให้ดี จะพบว่าพรรคการเมืองต่าง ๆ
ที่ผ่านมาไม่ได้ตัดความเป็นไปได้หรือปฏิเสธการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองแต่อย่างใด
หลังจากนี้พรรคก้าวไกลจะใช้โอกาสนี้ พูดคุยกับพรรคการเมืองทุกฝ่าย รวมถึงพี่น้องประชาชนทุกกลุ่มทุกสีที่เคยมีความขัดแย้งกันในอดีต
ให้สำเร็จให้ได้
ทั้งนี้
พรรคก้าวไกลยินดี หากพรรคการเมืองต่าง ๆ จะมีร่างอื่น ๆ
มาประกบกับร่างของพรรคก้าวไกล
เพื่อให้เราได้มีความเห็นในการหยิบยกทุกร่างขึ้นมาพิจารณาร่วมกันในสภาฯ
“แม้พวกเราประชาชนจะไม่ได้มีความเห็นทางการเมืองตรงกันทั้งหมด
แต่ผมเชื่อว่าประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายต่างแสดงออกทางการเมืองและขัดแย้งกันบนพื้นฐานที่อยากผลักดันให้สังคมเป็นสังคมที่ดีตามความคิดความเชื่อของตน
ดังนั้น เราเชื่อว่าการยุติการดำเนินคดี การยุตินิติสงครามกับประชาชนไม่ว่าฝ่ายไหน
จะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เพื่อให้ประชาชนทุกฝ่ายได้ใช้กระบวนการทางประชาธิปไตยโดยสันติ
หันหน้าเข้าหากันเพื่อแสวงหาฉันทามติครั้งใหม่ของสังคมไทย
ที่พวกเรายอมรับที่จะอยู่ร่วมกันให้ได้ในอนาคต” หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #นิรโทษกรรม