คนแห่ฟังแน่น
“พิธา” เยือนถิ่นเก่า “ฮาร์วาร์ด” บรรยายชั้นเรียนศูนย์เอเชียศึกษา
ชี้ปัญหาประชาธิปไตยถดถอยกำลังเป็นทั่วโลก “เสรีนิยมใหม่-ความเหลื่อมล้ำ”
ทำคนตั้งคำถามประชาธิปไตยหนัก
วันที่
26 ตุลาคม 2566 พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กำลังเดินสายเยือนสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้
ได้รับเชิญจากศูนย์เอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ให้เป็นผู้บรรยายพิเศษในหัวข้อ “Moving Forward : Thailand, ASEAN &
Beyond” (ก้าวไปข้างหน้า : ประเทศไทย อาเซียน และโลก) ท่ามกลางนักศึกษาและผู้สนใจเข้าร่วมฟังการบรรยายจำนวนมาก
พิธา
เริ่มการบรรยายโดยระบุว่าในฐานะศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ตนเคยนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนทุกคน และสิ่งที่ตนได้รับการศึกษาจากที่นี่
ไม่ว่าจะเป็นวิชาการเมืองเปรียบเทียบ พรรคการเมือง ฯลฯ
คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของตน จากการเปลี่ยนสิ่งที่อยู่ในตำราให้เป็นความจริง
ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
จากจุดเริ่มต้นที่ตนเคยเป็นเพียงแค่ผู้นำอ่อนหัดของพรรคการเมืองที่มีอายุเพียง 3 ปี
ในเกมที่ออกแบบมาเพื่อให้เราแพ้ การแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิศดาร
กติกาในรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นคุณกับเรา แต่เราก็ชนะมาได้
ดังนั้น
สิ่งที่ทุกคนกำลังศึกษาอยู่ที่นี่ สามารถกลายเป็นความจริงได้
เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการรณรงค์ทางการเมืองของทุกคนในอนาคตได้ โจทย์ต่าง ๆ
ที่ทุกคนได้รับจากชั้นเรียนที่ฮาร์วาร์ดนี้ ทั้งการเตรียมพาวเวอร์พอยนต์นำเสนอ
การประชุมกลุ่ม ฯลฯ ล้วนแต่มีความหมายจริงๆ
และวันหนึ่งอาจนำพาให้ทุกคนได้มาเป็นผู้บรรยายที่นี่เหมือนกับตนก็เป็นได้
พิธากล่าวต่อไป
ว่าและเป็นเพราะสิ่งที่ตนได้เรียนรู้จากที่ฮาร์วาร์ดนี่เอง
ที่ร่วมก่อรูปความคิดและนโยบายการรณรงค์ของตน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด
และการกระจายอำนาจ นโยบายเหล่านี้คือที่มาของชัยชนะของตนและพรรคก้าวไกล แต่ก็เป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ตน
ที่เป็นผู้ชนะจากการเลือกตั้งปี 2566 ด้วยความเห็นชอบของคน 14.1 ล้านเสียง หรือ 36% ไม่ได้เข้าไปมีอำนาจบริหาร
และถูกระงับการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุผลด้านเทคนิค
นี่คือการต่อสู้ระหว่างการเมืองของผู้ได้รับการเลือกตั้งและผู้ได้รับการแต่งตั้ง
ในประเทศไทยสมาชิกรัฐสภามีทั้งหมด 750 คน มาจากการเลือกตั้ง 500
คน และมาจากการแต่งตั้งโดยทหาร 250 คน
ทุกคนคำนวณได้ว่าเราต้องการ 376 เสียง แต่เราได้เพียง 324
เสียง
ทั้งที่เราสามารถรวบรวมเสียงพรรคการเมืองที่สะท้อนเจตจำนงการปฏิรูปและความหวังของประเทศได้สำเร็จแล้ว
แต่เราก็ยังแพ้ด้วยตัวเลขจาก สว. แต่งตั้ง
องค์ประชุมวันนั้นจึงเอาชนะแคนดิเดตนายกที่มาจากการเลือกของประชาชนได้
พิธาบรรยายต่อไป
ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ใช่ปรากฏการณ์เฉพาะ
แต่กำลังเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกที่ประชาธิปไตยกำลังถูกคุมคาม
และสันติภาพของโลกกำลังเปราะบาง ในปีแรกที่ตนมาถึงที่นี่ในปี 2006 Freedom House เคยออกผลสำรวจพบว่าประชากร 48% ของโลกอยู่ในสังคมเสรี
แต่ตัวเลขวันนี้ตกมาอยู่ที่ 20% แล้ว
นี่คือสิ่งที่สะท้อนสภาวะถดถอยของประชาธิปไตย
ซึ่งแม้แต่ในประเทศที่ประชาธิปไตยตั้งมั่นที่สุดแล้ว
ก็กำลังเผชิญกับการลดน้อยถอยลงเช่นกัน
เหตุใดประชาธิปไตยจึงถดถอยทั่วโลก? สำหรับตนแล้วต้นตอของเรื่องนนี้ย้อนกลับไปในยุคสงครามเย็น
ระหว่างที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานทั่วโลก
แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจแบบทุนนิยม-เสรีนิยมใหม่
ที่เป็นการรวมศูนย์ความมั่งคั่งไว้ที่คนหมู่น้อย
ในเวลาที่ตนเกิดมาความห่างระหว่างผู้มั่งคั่ง 1% บนสุดของโลกกับที่เหลือ
ห่างกัน 8 เท่า วันนี้ความห่างนั้นถ่างไปถึง 16 เท่าแล้ว เช่นเดียวกับในประเทศไทย ที่ 1% ของผู้ที่มั่งคั่งที่สุดในสังคมไทย
กำลังครอบครองความมั่งคั่ง 60% ของทั้งประเทศอยู่
พิธาระบุว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนมากตั้งคำถามกับประชาธิปไตย
ขณะที่ประชาธิปไตยคือการจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม
แต่ในขณะเดียวกันมันก็นำพามาซึ่งโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รวมศูนย์ความมั่งคั่ง
และต่อมากลายเป็นสิ่งที่ซ้ำเติมให้เกิดความล่มสลายทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดคือหลังวิกฤติโควิด
ดังนั้น
โจทย์สำคัญจากนี้ คือเราจำทะอย่างไรเพื่อรักษาโครงสร้างสังคม
ที่ทั้งสามารถจัดสรรอำนาจอย่างเป็นธรรม
และจัดสรรความมั่งคั่งอย่างเป็นธรรมไปพร้อม ๆ กันได้
ให้การเติบโตกระจายดอกผลไปอย่างทั่วถึง ประเทศต้องไม่จดจ้องอยู่ที่แค่การทำกำไร
แต่ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สิทธิในที่ดินทำกิน การกระจายที่ดิน
การสร้างรัฐสวัสดิการที่ดูแลคนทำงานของเรา หรือสิ่งที่อาจเรียกได้ว่าเป็น
“สังคมประชาธิปไตย” ซึ่งหลายท่านในที่นี้อาจจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้
แต่สิ่งที่ตนเสนอ คือมันถึงเวลาแล้ว ที่เราทุกคนต้องกลับมาคิดถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมในการก้าวไปข้างหน้า
พิธาบรรยายต่อไป
ว่าสิ่งที่ตนคิดมาตลอดในการทำงานทางการเมืองที่ผ่านมา
คือเมื่อใดก็ตามที่ตนและพรรคก้าวไกลสามารถจัดการปัญหาในประเทศได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นการเอาทหารออกจากการเมือง การทลายทุนผูกขาด และการกระจายอำนาจ
เมื่อนั้นเราจะยังเหลือการเปลี่ยนแปลงสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงภายในประเทศ
แต่คือการเปลี่ยนแปลงโลกผ่านนโยบายต่างประเทศ
นั่นคือการออกไปบอกกับทั่วโลกว่าประเทศไทยกลับมาแล้ว
และเราจริงจัง เราเป็นอำนาจกลาง เราไม่ใช่ประเทศเล็กๆ
เราเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองในอาเซียน
และด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศอาเซียน
แม้จะไม่ใช่ทุกประเทศที่สามารถทำงานร่วมกันได้ แต่อย่างน้อยที่สุดด้วยการทำงานร่วมกันกับประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง
อย่างอินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ถ้าเรารวมกันได้
นั่นคือตัวเลขทางเศรษฐกิจ 3.6
ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และประชากร 670 ล้านคน
ประเทศใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นมหาอำนาจหรือไม่ก็ไม่อาจปฏิเสธเราได้
พิธากล่าวต่อไป
ว่าแต่ตราบใดที่เราที่ยังไม่สามารถจัดการปัญหาในประเทศของเราเองได้
ไทยจะมีความน่าเชื่อถืออะไรไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียนได้
ในการทำให้อาเซียนมีความหมายขึ้นมา
เราต้องเข้าไปมีบทบาทต่อโลกและมีความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจหลัก
ไม่ว่าจะต่อปัญหาเมียนมา,
รัสเซีย-ยูเครน, อิสราเอล-ฮามาส
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นห่างออกไปจากประเทศไทยแต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทยทั้งสิ้น
เราต้องมองออกไปข้างนอก
เพื่อให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลกอย่างแท้จริง
และด้วยความร่วมมือกับสมาชิกอาเซียน เราสามารถบอกกับโลกได้ว่าความชอบธรรมคืออำนาจ
ไม่ใช่อำนาจคือความชอบธรรม บอกกับโลกได้ว่าเรากำลังจะกลับมาเป็นอำนาจกลาง
ที่จะมีส่วนฟื้นระเบียบโลก ประเทศไทยกลับมาแล้ว เราเอาจริง
และเราจะทบทวนนโยบายต่างประเทศของเราอีกครั้ง หลังจากที่เราหายไปจากเวทีโลกในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาภายใต้การปกครองของกองทัพ
พิธาบรรยายต่อไป
ว่าเราต้องการสร้างสมดุลให้โลกอีกครั้ง และในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเลือกข้าง
แต่คือการยืนหยัดในหลักการ เราต้องวิจารณ์เพื่อนเราได้
และก็ต้องงพูดคุยกับคู่แข่งของเราได้ด้วย ในฐานะอำนาจกลาง
เราสามารถกำหนดตัวชี้วัดใหม่ในนโยบายต่างประเทศของประเทศไทยได้
มากกว่าแค่เรื่องของการค้าการลงทุนและพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา
ให้มีเรื่องของสิ่งแดล้อม สภาวะโลกร้อน การควบคุมอาวุธปืน แบ่งปันทุกข์
เรียนรู้ร่วมกัน และหาทางออกร่วมกันได้
“นี่คือสิ่งที่เราทำร่วมกันได้เพื่อบรรลุสิ่งที่ดูจะเป็นไปไม่ได้
เปลี่ยนการต่อสู้ให้เป็นพลัง เปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นความมั่งคั่ง
เปลี่ยนคุณค่าให้เป็นชัยชนะร่วมกัน ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพวกเราทั้งหมด
ถ้าทุกคนทำร่วมกันโดยที่เราไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
เราจะหายไปจากการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการสร้างสันติภาพ
นี่คือบทบาทที่เราทำร่วมกันได้ ในการทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีกว่านี้
โดยที่มีประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในนั้น ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน ในอีก 2-3
ปีข้างหน้า
ผมยังคงยังคงคาดหวังที่จะได้เป็นสะพานเชื่อมผู้คนกับผู้คน สภากับสภา
ภาครัฐกับภาครัฐ ภาคเอกชนกับภาคเอกชน และรัฐบาลกับรัฐบาลด้วยกัน” พิธากล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พิธาลิ้มเจริญรัตน์ #ฮาร์วาร์ด #สหรัฐอเมริกา