“ชัยธวัช” ชี้ โจทย์ใหญ่ตกค้างจาก 6 ตุลาฯ 2519 คือวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด วิเคราะห์การเมืองไทยเข้าสู่หมุดหมายใหม่ ชนชั้นนำสองฝ่ายจับมือปะทะประชาชน
วันที่ 6 ตุลาคม 2566 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นหนึ่งในผู้กล่าวปาฐกถา เนื่องในโอกาสครบรอบ 47 ปี เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 โดยได้รับเชิญให้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “อีกกี่ตุลาคมสังคมไทยจึงจะพร้อมสำหรับเรื่องแหลมคม และการปูทางสู่ประชาธิปไตย”
ชัยธวัชเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรับรู้ของตนที่มีต่อเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ซึ่งก็คงเหมือนกับคนส่วนใหญ่ในสังคม ที่โตมากับแบบเรียนที่กล่อมเกลาให้เรารักในความเป็นไทย และสังคมไทยที่เปรียบเสมือนหมู่บ้านอันน่าอยู่ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงบสุข ไม่มีการพูดอะไรถึงเหตการณ์เดือนตุลาคม จนบังเอิญได้ไปค้นเจอหนังสือเก่าเล่มหนึ่งที่นักเรียนทำขึ้นกันเองหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516 ที่เกี่ยวกับ อุดมคติของคนหนุ่มสาว การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม รู้สึกว่าเป็นหนังสือรับน้องที่แปลกดี
จนมาปี 1 ได้รับรู้เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ จริงๆ เพราะที่ลานข้างตึกในมหาวิทยาลัยปีนั้นมีการจัดนิทรรศการเล็กๆ ได้เห็นวิดีโอเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แบบเต็มๆ ครั้งแรก จำได้ว่ามีโอกาสไปดูละครเวทีกลุ่มพระจันทร์เสี้ยวที่เกี่ยวกับเหตุการณ์เดือนตุลาฯ มีการชูคำขวัญ “ขอที่เล็กๆ ให้เราได้ยินและฝันบ้าง” ก็ได้แต่รู้สึกว่ามันช่างเป็นคำขวัญที่เจียมเนื้อเจียมตัวเสียนี่กระไร ไม่ยิ่งใหญ่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าการขอให้มีที่ยืนเล็กๆ และฝันบ้างในสังคมไทยยิ่งใหญ่และมีนัยยะสำคัญอย่างไร ภายหลังจึงเข้าใจว่าสังคมไทยอนุญาตให้คนไทยมีอุดมการณ์ได้เพียงอุดมการณ์เดียว และหากใครคิดเป็นอื่นไปจากอุดมการณ์หลักของชาติ คนนั้นอาจผิดถึงตาย โดยที่ไม่มีใครมารับผิดรับชอบด้วย
ชัยธวัชกล่าวต่อไป ว่านี่คือโจทย์ใหญ่ที่ยังคงตกค้างมาถึงปัจจุบัน และนำมาสู่การสลายการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 ดังนั้น ที่ผู้จัดงานให้โจทย์ว่าเมื่อไรสังคมไทยจะพร้อมสำหรับเรื่องแหลมคม ตนตอบไม่ได้จริงๆ แต่เราสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการยืนยันและผลักดันในเรื่องที่เป็นสาระสำคัญ 2 เรื่อง คือ
1) ช่วยกันทำทุกวิถีทาง ให้เกิดการยกเลิกวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด ไม่ใช่แค่สำหรับ 6 ตุลาฯ แต่ต่อทุกกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลังเกินกว่าเหตุสลายการชุมนุม จนเกินความสูญเสียชีวิตและบาดเจ็บ ค้นหาความจริง เรียกร้องกระบวนการยุติธรรมเอาผิดเจ้าหน้าที่และผู้บริหารประเทศ ในเหตุการณ์ เม.ย. - พ.ค. 2553
2) ทำให้เกิดการยืนยันในหลักการ ว่าการใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมือง ต้องได้รับความคุ้มครอง ไม่มีใครต้องติดคุกจากการแสดงออกทางการเมืองโดยสันติ
ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่า แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการต่อสู้ผลักดันเพื่อเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมมางการเมือง กฎหมายต่างๆ ไปจนถึงกระบวนการยุติธรรม แต่สิ่งที่เป็นเรื่องเฉพาะหน้า คือการผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมคดีทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน น่าจะเป็นก้าวแรกที่สำคัญในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่จะคืนความยุติธรรมให้แก่ประชาขน ไม่ว่าจะสังกัดความคิดทางการเมืองแบบใด
“เพื่อยืนยันว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่อาชญากรรม แต่เป็นการแสดงออกทางการเมืองที่มีแรงจูงใจทางการเมือง ที่ไม่ควรเอาไปติดคุก นี่คือประตูบานแรกที่จะเปิดพื้นที่ให้ทุกฝั่งฝ่ายที่เคยขัดแย้งกันมีพื้นที่ปลอดภัย ใช้กระบวนการประชาธิปไตยแสวงหาฉันทามติใหม่ของสังคมไทยต่อไปในอนาคต” หัวหน้าพรรคก้าวไกลกล่าว
ชัยธวัชยังกล่าวต่อไป ว่าปัจจุบันนี้ การเมืองไทยกำลังเดินทางเข้าสู่หมุดหมายใหม่ จากเดิมในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ที่เป็นช่วงเวลาทางการเมืองที่ขัดแย้ง ปะทะ และต่อสู้กัน ระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองแบบจารีตที่ไม่มีฐานมาจากการเลือกตั้ง ปะทะกับชนชั้นนำทางการเมืองใหม่ที่มีฐานความชอบธรรมมาจากการเลือกตั้ง ผ่านไปสองทศวรรษความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองสองกลุ่ม ได้ส่งผลกระเทือนต่อประชาชนอย่างกว้างขวาง แต่ท่ามกลางการต่อสู้ของชนชั้นนำ ประชาชนทุกฝ่ายก็ได้เกิดสำนึกทางการเมืองใหม่ขึ้นมา และเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและระบอบประชาธิปไตย ที่ก่อนหน้านี้ชนชั้นนำไม่อนุญาตให้มีประชาชนเข้าไปเกี่ยวด้วย และเป็นแค่พื้นที่ต่อรองกันระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองสองฝ่ายเท่านั้น
แต่วันนี้เมื่อชนชั้นนำทั้งสองกลุ่มได้รอมชอมกันแล้วอย่างน้อยชั่วคราว ประเทศไทยก็ได้เข้าสู่การเมืองหมุดใหม่อีกครั้ง เป็นการปะทะต่อสู้กันระหว่างชนชั้นนำทางการเมืองและกลุ่มทุนใหญ่ที่เป็นพันธมิตร กับการเมืองของประชาชนที่มีสำนึกใหม่ ที่ชนชั้นนำไม่ว่าฝ่ายไหนรู้สึกว่าเป็นศัตรูและภัยคุกคามที่แท้จริง
เรากำลังเดินทางอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่และน่าตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายทศวรรษของสังคมไทย แน่นอนว่าเป็นกระบวนการที่ยืดเยื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ที่จะสามารถแตกหักกันได้ในครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง ไม่มีการต่อสู้ครั้งสุดท้าย มีแต่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ มีแพ้-มีชนะ มีรุก-มีถอย มีเพลี่ยงพล้ำ-มีโต้กลับ มีความหวัง และมีโศกนาฏกรรม
ชัยธวัชกล่าวต่อไปว่าอยากให้ทุกคนมองโลกอย่างมีความหวัง เข้าใจสภาพการณ์ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ สำหรับตน หากจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้จริงต้องทำสามอย่าง คือ
1) เข้าใจแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหญ่ให้ได้
2) มองให้เห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการเปลี่ยนแปลง
3) จงเตรียมพร้อมเมื่อห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึง เพื่อทำในสิ่งที่ใครต่อใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้ ให้กลายเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ในที่สุด
“หลายคนอาจรู้สึกท้อแท้พ่ายแพ้ แต่ผมอยากให้ทุกคนนึกย้อนกลับไปเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว หรือกระทั่งเมื่อ 47 ปีที่แล้ว เราจะตระหนักได้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเรามาไกลมากแล้ว ขอแต่เพียงมองให้เห็นชัยชนะ อย่ามองเห็นแต่ความพ่ายแพ้ และเก็บเกี่ยวชัยชนะนั้นให้ได้” ชัยธวัชกล่าว
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #ก้าวไกล #6ตุลา #47ปี6ตุลา