วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2568

“พุธิตา” ตั้งกระทู้ซัดรัฐบาลปล่อยราคาลำไยดิ่งต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ไม่เตรียมรับมือทั้งที่เตือนล่วงหน้าเป็นเดือน สุดท้ายได้แต่ออกมาตรการขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่เห็นผลลัพธ์สักมาตรการเดียว ทำราคาเกรด AA ลดลงแย่ที่สุดถึง กก.ละ 5 บาท!

 


“พุธิตา” ตั้งกระทู้ซัดรัฐบาลปล่อยราคาลำไยดิ่งต่ำสุดในประวัติศาสตร์ ไม่เตรียมรับมือทั้งที่เตือนล่วงหน้าเป็นเดือน สุดท้ายได้แต่ออกมาตรการขายผ้าเอาหน้ารอด ไม่เห็นผลลัพธ์สักมาตรการเดียว ทำราคาเกรด AA ลดลงแย่ที่สุดถึง กก.ละ 5 บาท!


วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พุธิตา ชัยอนันต์ สส.เชียงใหม่ เขต 4 พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ถึงกรณีปัญหาราคาลำไยตกต่ำ


โดยพุธิตาเริ่มต้นถามคำถามแรกว่า ปัจจุบันราคาลำไยในพื้นที่ภาคเหนือตกต่ำถึงขั้นวิกฤต ลำไยเกรด AA ตกลงไปต่ำที่สุดถึงกิโลกรัมละ 5 บาท เกรด A กิโลกรัมละ 2.5 บาท และเกรด B เหลือแค่กิโลกรัมละ 50 สตางค์เท่านั้น ในขณะที่ต้นทุนการผลิตลำไย อ้างอิงจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คือ 15.24 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อเปรียบเทียบราคาย้อนหลังจากปี 2550 ถึงปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าวิกฤตนี้เริ่มมาตั้งแต่ราคาลำไยนอกฤดูในช่วงต้นปี 2568 แล้ว ซึ่งตนและ สส.เชียงใหม่และ สส.ลำพูน พรรคประชาชน ก็ได้แถลงข่าวเตือนรัฐบาลแล้วตั้งแต่เดือนเมษายน ว่าต้องเตรียมการรับมือกับผลผลิตลำไยในฤดูที่เพิ่มขึ้นอีกมากจากปีที่แล้ว 


ราคาเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมเปิดมาตกไปที่ 14.5 บาทต่อกิโลกรัม และไม่ใช่แค่ราคาที่แย่ที่สุด ทุกวันนี้เกษตรกรจะหาที่ขายยังหาแทบไม่ได้ จุดรับซื้อลำไยที่เปิด​ ก็เปิดรับในปริมาณไม่มาก แม้แต่สหกรณ์การเกษตรที่มีตู้อบของตัวเองยังรับได้ไม่มากเพราะตู้อบเต็ม ชาวสวนไปรับคิวกันตั้งแต่ตีสอง วันหนึ่งรับแค่ 20-30 คิวในปริมาณที่จำกัดต่อคิวด้วย 


พุธิตากล่าวต่อไปว่า รัฐบาลปล่อยให้ปัญหาวิกฤตขนาดนี้ได้อย่างไร ถ้ารัฐบาลติดตามลำไยจริงๆ จะเห็นแนวโน้มการลดลงของราคาลำไยตั้งแต่ช่วงสัปดาห์แรกของเดือนกรกฎาคมแล้ว และในวันที่ 20 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันที่ลำไยเกรด AA ราคาลดลงไปถึง 15 บาท ต่ำกว่าราคาต้นทุนการผลิต เหตุใดจึงไม่มีมาตรการใดออกมารองรับเลย วันที่ 21 กรกฎาคม สองรัฐมนตรีจากสองกระทรวงลงพบชาวสวนลำไยที่ จ.เชียงใหม่ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ 17 วันราคาลำไยก็ยังคงตกลง คำถามคือรัฐมนตรีได้รับรู้ความวิกฤตของปัญหานี้บ้างหรือไม่ เหตุใดถึงปล่อยให้ราคาตกต่ำได้ขนาดนี้ มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และเกษตรกรก็ยังหาที่ขายไม่ได้


ทางด้านสุชาติได้ตอบคำถามแรกว่า ผลผลิตลำไยของทั้งประเทศปีนี้คือ 1.5 ล้านตัน ในส่วนของ 8 จังหวัดภาคเหนือเพิ่มขึ้นมา 12% จากปี 2566 ดังนั้น จากการติดตามสถานการณ์รัฐบาลก็เห็นแนวโน้มว่าผลผลิตปีนี้จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก วันที่ตนไปลงพื้นที่ก็ได้พยายามคุยกับภาคสหกรณ์เกี่ยวกับลำไยและโรงอบต่างๆ 


วันนี้ก่อนเข้ามาตอบกระทู้ ลำไยเกรด AA ราคาขึ้นไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 10-11 บาทแล้ว ขณะที่เกรด A อยู่ที่ 4-6 บาท และเกรด B อยู่ที่ 2-4 บาท ขณะเดียวกันรัฐบาลพยายามทำให้เกษตรกรหาจุดขายได้เยอะที่สุด กระทรวงพาณิชย์เองก็เพิ่มจุดขายกว่า 300 จุดกระจายไปตาม 8 จังหวัดภาคเหนือ เมื่อได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือผู้นำท้องถิ่นท้องที่ ทางรัฐบาลก็เข้าไปดำเนินการทันที


สุชาติกล่าวต่อไปว่า เมื่อผลผลิตลำไยเกินขึ้นมาแสนกว่าตัน รัฐบาลก็ได้พยายามดูดซับส่วนที่เกินออกมาช่วยเหลือเกษตรกร แต่ลำไยเวลาออกลูกจะสุกพร้อมกันหมด โรงอบต่างๆ รองรับได้อย่างจำกัด ทางรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ทำงานร่วมกันอยู่เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ผลผลิตแต่ละปีต่างกัน ปีที่ลำไยแพงก็เพราะผลผลิตน้อยแต่ออเดอร์ส่งออกเท่าเดิม แต่เมื่อผลผลิตมากขึ้นแต่ออเดอร์ส่งออกเท่าเดิม ก็เป็นเรื่องของการซื้อแล้วไม่มีที่ไปของโรงอบหรือผู้ส่งออก ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องเข้าไปช่วยเหลือต่อไป


พุธิตาได้ถามต่อเป็นคำถามที่สอง โดยระบุว่า จากสิ่งที่รัฐมนตรีตอบมาทั้งหมด ตนไม่แปลกใจว่าทำไมราคาลำไยถึงได้ตกขนาดนี้ รัฐมนตรีอ้างลมฟ้าอากาศเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ตนได้แถลงแจ้งเตือนไปแล้ว ทำไมถึงทำได้แค่นี้ พูดอย่างเดียวโดยไม่รู้เลยว่าปัญหาหน้างานเป็นอย่างไร สิ่งที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ซึ่งมีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบราคาผลผลิตลำไยพูดออกมาทั้งหมด ไม่มีอะไรที่เข้าไปช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนลำไยได้จริง


จากมาตรการที่รัฐมนตรีได้เคยเสนอไว้ตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม ว่าจะออกมาตรการให้ผู้ประกอบการรับซื้อลำไยเกรด B ปริมาณ 60,000 ตัน ในราคานำตลาดไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 4-5 บาท ผ่านมา 17 วัน ตอนนี้เกษตรกรเอาลำไยเกรด B ไปเททิ้งหมดแล้ว ไม่เคยมีวันไหนเลยที่ราคาลำไยเกรด B จะนำตลาดไป 4-5 บาทต่อกิโลกรัมแบบที่รัฐมนตรีอ้าง


พุธิตากล่าวต่อไปถึงมาตรการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการรับซื้อผลผลิตโดยตรง 18,000 ตัน โดยระบุว่าหลังจากรัฐบาลออกมาตรการนี้มา วันที่ 29 กรกฎาคม กรมการค้าภายในก็ออกประกาศแจ้งว่ากรมฯ ได้ร่วมมือกับจังหวัดเชียงใหม่ เปิดจุดรับซื้อลำไยช่วยเหลือเกษตรกรตั้งแต่วันที่ 30 กรกฎาคมเป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย


แต่ก่อนออกประกาศกลับไม่ได้มีการประสานงานกับผู้ประกอบการรับซื้อลำไยเลย ผู้ประกอบการที่ปรากฏชื่อในประกาศร้องเรียนมาว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับประกาศนี้ ไม่เคยเห็นรายละเอียดมาก่อน และขอให้ลบโพสต์นี้ออกเพราะจะสร้างความสับสนให้กับเกษตรกร รัฐบาลจะเปิดให้เป็นจุดรับซื้อแต่กลับไม่แจ้งรายละเอียดอะไรเลย ว่ารัฐจะอุดหนุนลำไยกี่บาท กี่ตัน แล้วให้จุดรับซื้อนำไปขายที่ไหนต่อ


พุธิตากล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ยังมีการออกประกาศที่อ้างเป็นผลงานทั้งโดยรัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ ว่าได้ดำเนินโครงการช่วยเหลือด้านการตลาด กำหนดราคาขั้นต่ำเพื่อพยุงราคาลำไย เริ่มตั้งแต่วันที่ 1-20 สิงหาคม 2568 โดยกำหนดให้ลำไยรูดร่วงเกรด AA รับซื้อไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 13 บาท โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการ 3 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนเกรด A รับซื้อไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 6 บาท สนับสนุนค่าบริหารจัดการ 2 บาทต่อกิโลกรัม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 100,000 ตัน


แต่ผ่านมา 7 วันแล้ว เกษตรกรในพื้นที่ยังไม่มีใครเห็นโครงการนี้ออกมาเลย มาเพียงแค่วันแรกวันเดียวแล้วจบ ไม่มีการดำเนินการใดๆ ต่อ แม้แต่สหกรณ์การเกษตรที่ว่ารับซื้อราคาสูงกว่าที่อื่น 2 บาท ยังรับซื้อเกรด AA ได้ในราคาแค่ 7-9 บาท ที่หนักที่สุดจากมาตรการนี้คือการออกมาประกาศว่าได้ดำเนินมาตรการนี้ไปแล้ว แต่ทุกวันนี้เกษตรกรขายกันในราคา 5 บาทต่อกิโลกรัมก็มีให้เห็นอยู่เลย


เพราะฉะนั้นในคำถามที่สอง ตนขอให้รัฐมนตรีช่วยตอบว่ามาตรการเร่งด่วนที่เคยประกาศไว้ถึงวันนี้ เหตุใดจึงยังไม่มีความคืบหน้าใดเลย ทั้งมาตรการรับซื้อลำไยเกรด B 60,000 ตัน ราคานำตลาด 4-5 บาท มาตรการเชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้ประกอบการรับซื้อผลผลิตโดยตรง 18,000 ตัน ทำไมถึงพังไม่เป็นท่าแบบนี้ ส่วนโครงการช่วยเหลือด้านการตลาด เกรด AA 13 บาทต่อกิโลกรัม เกรด A 6 บาทต่อกิโลกรัม และเกรด B 3 บาทต่อกิโลกรัม ที่อ้างว่าทำมาตั้งแต่ 1 สิงหาคม ตอนนี้ดำเนินการไปอย่างไรแล้วบ้าง


ในส่วนของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ตอบกระทู้ในคำถามที่สอง โดยระบุว่า สมาชิกอาจจะมาประชุมสภาฯ เสียเยอะ จนไม่รู้ว่าราคาลำไยเกรด AA ขึ้นเป็น 10-11 บาทแล้ว มาตรการที่รัฐบาลกำหนดไว้ 8 มาตรการก็ทำไปแล้ว ทั้งการผลักดันลำไยสดส่งออก การจัดกิจกรรมรณรงค์บริโภคผลไม้ รวมถึงการเชื่อมโยงลำไยผ่านเครือข่ายห้างร้านค้าปลีกต่างๆ สมาชิกต้องเห็นถึงความเป็นจริง อย่าเอาปัญหาเกษตรกรมาหาเรื่องกัน และราคาลำไยต่อจากนี้จะขึ้นไปอีกเพราะของจะหมดแล้ว ไม่เกิน 15 วันหมดแน่นอน กระทรวงพาณิชย์ไม่เคยนิ่งนอนใจ เกรด AA วันนี้คือ 10-11 บาท ไม่ใช่ราคา 5-6 บาท ออกจากสภาฯ ขอให้ไปโทรศัพท์สอบถามต่อหน้ากันได้


จากนั้นพุธิตาได้ถามต่อเป็นคำถามที่สาม โดยระบุว่า ตนได้ลงพื้นที่พูดคุยกับเกษตรกรชาวสวนลำไย ได้เห็นถึงความลำบากและผลกระทบที่กำลังเผชิญ และต้องเผชิญเพิ่มเติมในเรื่องของหนี้สินครัวเรือนหลังจากนี้อีก เมื่อได้ฟังคำตอบของรัฐมนตรีตนก็ยิ่งรู้สึกเห็นใจต่อเกษตรกร และรู้สึกผิดหวังที่ประเทศมีรัฐมนตรีที่มีวิสัยทัศน์แบบนี้


สำหรับคำถามที่สาม ตนได้ฟังรัฐมนตรีท่านหนึ่งในสภาฯ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่าปีนี้ประเทศจีนมีผลผลิตภายในประเทศจำนวนมาก ผนวกกับเศรษฐกิจฝืดเคือง ทำให้จีนมีกำลังซื้อน้อยลง ขณะที่ปีนี้ผลผลิตในไทยยังเพิ่มมากขึ้นอีก ทำให้ราคาตกต่ำตามหลักอุปสงค์-อุปทาน ตนก็สงสัยว่าตัวเลขการนำเข้าลำไยของจีนนั้นเป็นอย่างไร


พุธิตาระบุว่า อ้างอิงจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรประจำกรุงปักกิ่ง ปีนี้ประเทศไทยส่งออกลำไยไปยังประเทศจีนแล้ว 211,006 ตัน คิดเป็น 90% ของการนำเข้าลำไยทั้งหมดของจีน ปีนี้ราคาลำไยตกลงทั้งลำไยนอกฤดูช่วงต้นปีและลำไยในฤดู ทำให้คนอาจคิดได้ว่าจีนจะรับซื้อจากไทยน้อยลงหรือไม่ แต่ความเป็นจริงคือจีนรับซื้อจากไทยเพิ่มขึ้นถึง 20% มากกว่าสัดส่วนผลผลิตลำไยในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วอีก เมื่อตลาดส่งออกหลักปลายทางประเทศจีนรับซื้อและนำเข้าเพิ่มขึ้น แต่ราคารับซื้อลำไยภายในประเทศกลับตกลงต่ำที่สุดในประวัติการณ์ แบบนี้เกิดขึ้นจากอะไร เกิดจากการบริหารจัดการหรือมาตรการของรัฐเองหรือไม่ 


ตลาดหลักของลำไยไทยคือการส่งออก ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จากทูตพาณิชย์ในประเทศอื่นที่ไม่ใช่จีน ไทยยังยึดจีนเป็นตลาดส่งออกหลักกว่า 80% สิ่งที่พบตอนนี้คือตลาดหลักอย่างจีนรับซื้อลำไยไทยมากกว่าปีที่แล้วถึง 20% แต่เพราะอะไรราคาลำไยกลับสวนทาง ดิ่งลงเหวไปอยู่ที่ 5 บาทต่อกิโลกรัม ไม่ต้องอ้างว่าเป็นเพราะดินฟ้าอากาศ ถ้าจะบอกว่าเป็นเพราะผลผลิตออกมามากกว่าปีที่แล้วอย่างเดียวสมเหตุสมผลหรือไม่กับตลาดหลักที่รับซื้อลำไยไทยเพิ่มขึ้น


พุธิตากล่าวต่อไปว่า รากลึกของปัญหาที่ลำไยไทยกำลังเผชิญในวันนี้คือคอขวดที่โรงอบ เกษตรกรเก็บเกี่ยวลำไยออกมามาก โรงอบต้องใช้เวลาอบประมาณ 3 วันต่อหนึ่งรอบ ซึ่งไม่ทันการณ์ มาตรการที่รัฐบาลออกมาพูดอาจจะดูดี แต่สุดท้ายก็เป็นได้แค่การ “ขอความร่วมมือ” ทั้งการรับซื้อลำไยเกรด B 60,000 ตันในราคานำตลาด 4-5 บาท พูดอย่างเดียวแต่ทำไม่ได้ ขอความร่วมมือผู้ประกอบการเป็นจุดรับซื้อลำไยของจังหวัดและกระทรวงพาณิชย์โดยตรง ประกาศออกไปแล้วแต่ผู้ประกอบการยังไม่รู้รายละเอียด พูดอย่างเดียวแต่ทำไม่ได้อีกแล้ว ขอความร่วมมือสมาคมโรงอบลำไย ให้รับซื้อลำไย AA 13 บาทต่อกิโลกรัม A 6 บาทต่อกิโลกรัม เริ่ม 1 สิงหาคม ออกข่าวโฆษณาประชาสัมพันธ์เหมือนว่าทำได้ไปแล้ว แต่ความจริงทำได้แค่วันเดียว สุดท้ายพังไม่เป็นท่า ราคาดิ่งลงทุกวัน ล่าสุดเกรด AA 4 บาทต่อกิโลกรัมก็มีให้เห็นแล้ว


ที่เกษตรกรชาวสวนลำไยต้องมารับเคราะห์เป็นเพราะรัฐบาลไม่ใส่ใจเลย มาตรการไร่ละ 1,400 บาทของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่ควรเอามาอ้าง เพราะไม่ได้เป็นการให้เปล่า คำถามคือหลังจากวันนี้ไปรัฐมนตรีจะทำอะไรเพื่อแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วนนี้ ขอให้ประกาศออกมาให้ชัดว่าราคาลำไยเฉลี่ยในเดือนสิงหาคมจะเป็นเท่าไร และรัฐมนตรีจะเอาอะไรมาเดิมพันกับสิ่งที่กำลังจะประกาศในวันนี้ตอนนี้


ด้านสุชาติได้ตอบกระทู้ในคำถามสุดท้าย โดยระบุว่า ตนยืนยันว่าราคาวันนี้อยู่ที่ 10-11 บาท สมาชิกต้องพูดบนพื้นฐานความจริง สมาชิกรู้หรือไม่ว่าไทยไม่ได้ส่งลำไยไปจีนอย่างเดียว แต่ยังมีการขยายตลาดไปที่อินเดีย อินโดนีเซีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ใช้ทูตพาณิชย์เป็นผู้กระจายสินค้า ที่สมาชิกบอกว่าจีนมีการสั่งซื้อเพิ่มมา 20% แต่ลำไยวันนี้เพิ่มขึ้นมาเฉพาะภาคเหนือกว่าแสนตัน ต้องพูดบนความเป็นจริงทั้งสองข้างด้วย


ตนยืนยันว่าไม่เกิน 15 วันลำไยหมดสต็อกแน่นอน เมื่อสินค้าน้อยลงราคาวันนี้จึงได้รับการดันไปอยู่ที่กิโลกรัมละ 10-11 บาทแล้ว รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็พยายามให้เงินอุดหนุนต่อไร่ตามจำนวนที่สมาชิกได้ระบุมา พยายามแก้ปัญหาให้เกษตรกร ยืนยันว่ารัฐบาลไม่นิ่งนอนใจแน่นอน


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #ราคาลำไย