“ภูริวรรธก์” ชี้การสนันสนุนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ไม่ใช่แค่ให้เงินแล้วจบ
รัฐบาลต้องแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรค ช่วยผู้ประกอบการยืนได้ด้วยตัวเอง
วันที่
15 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง
พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2569 ภูริวรรธก์
ใจสําราญ สส.กรุงเทพฯ เขต 26 พรรคประชาชน
ลุกขึ้นอภิปรายมาตรา 23 กระทรวงวัฒนธรรม
ในส่วนงบประมาณของหอภาพยนตร์ เกี่ยวกับโครงการสนับสนุน “โรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก” หรือ
Micro Cinema
โดยกล่าวว่า
การสนับสนุน Micro
Cinema ต้องเริ่มจากการแก้ไขกฎหมายที่เป็นปัญหา ที่ผ่านมาแม้ THACCA
ออกมาเคลมว่าได้แก้ไขกฎกระทรวงยกเว้นการจดแจ้งเพื่อปลดล็อกโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก
แต่การยกเว้นการจดแจ้งเป็นเพียงการลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก
ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นคือกฎหมายที่ควบคุมกิจการโรงภาพยนตร์ นั่นคือ
พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร ซึ่งต้องแก้ไขทั้งนิยาม ลักษณะของโรงมหรสพ รายละเอียดของอาคาร
เพื่อให้เหมาะสมกับรูปแบบกิจการในปัจจุบัน ถ้าไม่แก้กฎหมายนี้
หากอนาคตมีการร้องเรียนโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กด้วยมูลเหตุการใช้อาคารที่ไม่เข้าด้วยกฎหมาย
ผู้ประกอบการก็ต้องหยุดกิจการอยู่ดี
ในปีงบประมาณ
2569 เมื่อมาดูเงินอุดหนุนตามแผนงานยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์
โครงการสนับสนุน Micro Cinema ในประเทศไทย จำนวน 3.6 ล้านบาท แบ่งเป็นการจัดฉายหนังในประเทศไทยจำนวน 10 แห่ง
แห่งละ 300,000 บาท รวมเป็น 3 ล้านบาท,
งบประมาณสนับสนุนค่าใช้ภาพยนตร์หรือค่าธรรมเนียมการฉายภาพยนตร์ 5
เรื่อง เรื่องละ 100,000 บาท รวม 500,00
บาท และรายจ่ายการจัดฝึกอบรม Micro Cinema 1 ครั้ง
เป็นเงิน 100,000 บาท
งบประมาณ
3.6 ล้านบาทที่จัดสรรมานั้น แม้จะมีเจตนาที่ดี แต่เป็นเพียงยาแก้ปวดชั่วคราว
หากจะผลักดัน Micro Cinema ให้เกิดขึ้นและอยู่รอดได้จริงต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการโปรยเงินอุดหนุนแบบเป็นครั้งเป็นคราว
ให้เป็นการลงทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศที่พึ่งพาตัวเองได้
ข้อเสนอของตนในการใช้งบประมาณส่วนนี้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ควรประสาน 3
ส่วน ประกอบด้วย ผู้ประกอบการได้ ผู้สร้างหนังได้ และผู้ชมได้
การใช้งบประมาณ 300,000 บาท 10 แห่ง
อาจเปลี่ยนเป็นกองทุนตั้งต้นและปรับปรุง (Seed and Improvement Fund) ให้กับผู้ประกอบการสำหรับโครงสร้างหรืออุปกรณ์หรือระบบพื้นฐานที่ต้องใช้ในโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก
เช่นระบบเสียง ระบบออกตั๋ว ระบบระบายอากาศ ระบบดับเพลิง เป็นต้น
ส่วนงบ
500,00 บาทที่นำมาสนับสนุนค่าใช้ภาพยนตร์ ตนเห็นด้วย
และเห็นว่าสามารถใช้เป็นกองทุนให้ผู้สร้างหนังแบบสนับสนุนค่าธรรมเนียมฉาย (Screen
Fee Fund) เพื่อให้คนทำหนังนอกกระแสยังได้รับค่าธรรมเนียมที่เป็นธรรม
เพราะเราตั้งใจให้ Micro Cinema เป็นเสมือนพื้นที่ให้กับคนทำหนังรุ่นใหม่
หากพวกเขาทำรายได้ได้ดี ก็อาจแบ่งรายได้กลับเข้าสู่กองทุนส่วนกลางได้
ส่วนสุดท้าย
100,000 บาท อาจจะใช้ไปกับงบประมาณ Co-Op Marketing Budget เช่นการสมทบ
50 เปอร์เซ็นต์สำหรับค่าโปรโมตผ่านโซเชียลมีเดีย
หรือนำไปพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อสร้างฐานผู้ชมของภาพยนตร์นอกกระแส
เป็นระบบสมาชิกที่ใช้ร่วมกับ Micro Cinema ที่เข้าร่วมโครงการ
ภูริวรรธก์
กล่าวว่า ตามข้อเสนอของตน การสนับสนุน Micro Cinema จะเปลี่ยนจากการจ่ายเงินให้หมดไปเป็นครั้งคราวเหมือนจัดอีเวนต์
ให้กลายเป็นการสนับสนุนผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมให้ค่อยๆ ยืนได้ด้วยตัวเอง
สร้างวัฒนธรรมการดูหนังให้กับประชาชน ดังนั้นตนเห็นว่าควรตัดโครงการนี้ของหอภาพยนตร์ออกไปก่อน
ถ้าปีหน้ารัฐบาลแก้ไข พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร แล้วเสร็จ
ก็สามารถส่งคำของบประมาณที่มากกว่าเดิมและด้วยรูปแบบที่ยั่งยืน
เชื่อว่าจะส่งผลดีกว่านี้แน่นอน
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #อภิปรายงบประมาณ #งบ69 #กระทรวงวัฒนธรรม