เปิดคำชี้แจง
“แพทองธาร ชินวัตร” กรณีคลิปเสียงสนทนากับ “ฮุน เซน” ขอศาลรธน. ไต่สวนพยานบุคคล 5 ปาก
เพื่อข้อเท็จจริงรอบด้าน พร้อมขอพิจารณาคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
เมื่อวันที่
14 สิงหาคม 2568 กรณีศาลรัฐธรรมนูญ นัดฟังคำวินิจฉัย
เรื่องพิจารณาที่ 18/2568
กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า
ความเป็นรัฐมนตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4)
ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่ ในวันที่ 29 ส.ค.68
นี้ และนัดไต่สวนพยาน 2 ปากคือ น.ส.แพทองธาร
และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในวันที่ 21 ส.ค.2568 พร้อมทั้งส่งคำแถลงการณ์ปิดคดีภายในวันที่ 27 ส.ค. 68 นี้
โดย
สำนักข่าวอิศรา รายงานอ้างว่า ได้รับคำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร
ที่ยื่นคำชี้แจงคดีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยยืนยันว่า
การกระทำของตนเองตามข้อกล่าวหาของผู้ร้อง ไม่เป็นการฝ่าฝืน
หรือไม่ปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการ การเมือง พ.ศ.2564
แต่อย่างใด
อีกทั้งการกระทำของตนเองก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติภูมิของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
หรือบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนในความสุจริต
และเหมาะสมในการดำรงตำแหน่งแต่ประการใด
ในการนี้
น.ส.แพทองธาร ยังได้ขออนุญาตให้ไต่สวนพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 5 ปาก
เพื่อให้ศาลฯ ได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน โดยคำนึงถึงบริบททางภูมิรัฐศาสตร์
และประวัติศาสตร์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ดำรงอยู่ต่อเนื่องหลายรัฐบาล
จึงใคร่ขอเรียนเป็นกรณีพิเศษให้ศาลฯ โปรดพิจารณาไต่สวนพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิ
จำนวน 5 รายได้แก่
นายฉัตรชัย
บางขวด ตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้ทำงานร่วมกับ
ผู้บัญชาการเหล่าทัพทุกเหล่าทัพ
และยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของตนเองในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
นายอรรษิษฐ์
สัมพันธรัตน์ ตำแหน่งปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะผู้สั่งการฝ่ายปกครองด้านชายแดน
พลเอก
ภุชงค์ รัตนวรรณ ข้าราชการบำนาญในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกัมพูชา
ทำงานด้านปฏิบัติในกัมพูชามาตั้งแต่ยศร้อยโท และทำงานอยู่กับ พล.อ.สุรยุทธ์
จุลานนท์ มาตั้งแต่ดำรงตำแหน่งแม่ทัพที่ 2
และผู้บัญชาการรบพิเศษอย่างต่อเนื่อง
พลโท
พุฒิพงษ์ ชีพสมุทร ตำแหน่งรองเจ้ากรมทหาร
ในฐานะผู้ชำนาญด้านกฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคงของทหาร
และเรื่องอำนาจอธิปไตยของประเทศ
นายธนาธิป
อุปัติศฤงค์ อดีตทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่น อดีตทูตไทยประจำประเทศฟิลิปปินส์
และอดีตทูตไทยประจำประเทศรัสเซีย ในฐานะผู้ชำนาญด้านการต่างประเทศ
และสามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมถึงวิธีปฏิบัติทางการทูตในการเจรจาแบบไม่เป็นทางการ
น.ส.แพทองธาร
กล่าวย้ำว่า พยานทั้ง 5 ราย มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านความมั่นคงของประเทศ
และตามแนวชายแดนปัจจุบัน และบางรายมีประสบการณ์ในอดีตทั้งความมั่นคง
และการต่างประเทศ นอกจากนี้
ยังเป็นบุคคลที่ทราบถึงเจตนาอันแท้จริงของตนเองในการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน
อีกทั้งเพื่อให้ศาลฯ ได้รับทราบถึงความคิดเห็นว่าการดำเนินการของตนในช่วงเหตุการณ์
ไม่ได้กระทำโดยมีเจตนาตามที่ผู้ร้องกล่าวหา
หรือเป็นการละเมิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ทั้งยังเป็นการดำเนินการตามข้อมูล
และคำแนะนำของฝ่ายความมั่นคงที่ประเมินสถานการณ์อย่างรอบด้าน
และเพื่อแสดงว่าเจตนาของตนมุ่งเพื่อรักษาเอกราชอธิปไตย และความมั่นคงของชาติ
ไม่ใช่เจตนาดังที่ผู้ร้องกล่าวหา
จึงขอศาลโปรดพิจารณาอนุญาตให้มีการไต่สวนพยานบุคคลดังกล่าว
เพื่อให้การพิจารณาคดีมีความครบถ้วน รอบด้าน และเป็นธรรม
โดยปราศจากข้อสงสัยอันอาจกระทบต่อความชอบธรรม
และสถานะของข้าพเจ้าในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ
ดังนั้น
เมื่อคำนึงถึงความเป็นสัดส่วนในความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตนตามที่กล่าวมา
หากตนยังคงปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ต่อไป ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ
และอธิปไตยของชาติ อีกทั้งสามารถปฏิบัติหน้าที่ในลักษณะบูรณาการเจ้าหน้าที่รัฐทุกฝ่ายให้สนับสนุนการทำหน้าที่ของฝ่ายทหาร
และแสดงถึงความเข้มแข็งภายในชาติ
ซึ่งส่งผลเชิงจิตวิทยาแก่กัมพูชาในการรุกรานประเทศไทย
ผู้ถูกร้องจึงขอศาลมีคำสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา
71 ตามที่ผู้ร้องมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้
การยกเลิกคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
เพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
จึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาดังนี้
ข้อ
1. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดนำข้อเท็จจริง และพยานหลักฐาน
รวมถึงพยานบุคคลทั้งห้าซึ่งเป็นพยานบุคคลผู้ทรงคุณวุฒิอันเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ
ตามคำร้องของผู้ถูกร้อง เข้าสู่กระบวนพิจารณาเพื่อประกอบการพิจารณาคดี
และการไต่สวนของศาลในการพิจารณา และมีคำวินิจฉัยตามข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีรัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2562 ข้อ 4
และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 27 ที่กำหนดให้การพิจารณาคดีให้ใช้ระบบไต่สวน
โดยให้ศาลมีอำนาจค้นหาความจริงไม่ว่าจะเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้
และในการวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานได้ทุกประเภท
ข้อ
2. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญได้โปรดพิจารณามีคำสั่งยกเลิกมาตรการหรือวิธีการชั่วคราวก่อนการวินิจฉัย
ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 71
ตามที่ผู้ร้องมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ทั้งนี้ การยกเลิกคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว
เพื่อให้ผู้ถูกร้องสามารถปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีไปพลางจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ล่าสุด
สำนักข่าวอิศรา เผยแพร่คำชี้แจงของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชุดที่ 2
ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ระบุว่า ในฐานะผู้ถูกร้อง ยืนยันว่า การเจรจากับนายฮุนเซน
เป็นความพยายามในการสร้างความไว้วางใจเพื่อนำไปสู่ประเด็นการสร้างความสงบสุขในพื้นที่ชายแดนไทย
-กัมพูชาเท่านั้น
สำหรับถ้อยคำว่า
"อยากได้อะไรก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"
มีแต่เพียงเจตนาที่ต้องการให้คู่เจรจาได้เสนอเงื่อนไขหรือความต้องการออกมาก่อน
ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของการเจรจาเชิงผลประโยชน์ (Principled Negotiation)
โดยการใช้เทคนิคสำคัญคือการตั้งคำถามเพื่อค้นหาความต้องการที่แท้จริง
(Interest-Based)
ในลักษณะไม่โจมตีจุดยืนของคู่เจรจา
แต่มุ่งทำความเข้าใจความต้องการที่อยู่เบื้องหลังมากขึ้น
เพื่อจะได้นำมาพิจารณาเจรจาต่อรองเงื่อนไข
ที่จะนำไปสู่การยุติความตึงเครียดที่เกิดขึ้น
น.ส.แพทองธาร
ยังย้ำว่า ไม่ได้มีเจตนาที่จะดำเนินการตามเงื่อนไขที่เสนอมาทุกกรณีแต่อย่างใด
ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อสมเด็จฮุน เซน ได้เสนอให้ฝ่ายไทยต้องยอมเปิดด่านก่อน
แล้วฝ่ายกัมพูชาจะเปิดด่านหลังจากนั้นภายใน 5 ชั่วโมง
ตนก็เสนอกลับไปว่าให้เปิดด่านพร้อมกัน ซึ่งสมเด็จฮุน เซน
ไม่ได้ตอบรับหรือยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว นอกจากนี้
ตนเองก็ยังไม่ได้มีการตอบรับในเงื่อนไขดังกล่าวของสมเด็จฮุน เซน เช่นเดียวกัน
เนื่องจากข้อเสนอใด ๆ จากฝ่ายกัมพูชาก็ตาม ตนเองจะต้องนำเงื่อนไขดังกล่าวไปพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคงของไทยก่อนเพื่อร่วมกันพิจารณาและตัดสินใจ
น.ส.แพทองธาร
ยังระบุด้วยว่า ส่วนถ้อยคำที่กล่าวถึง แม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท
บุญสิน พาดกลาง) ว่าเป็น "ฝั่งตรงข้าม" นั้น ดังที่ได้ชี้แจงว่า นายฮวด
คนสนิทของสมเด็จฮุนเซน พยายามอธิบายมูลเหตุของการที่สมเด็จฮุน เซน
สั่งการให้มีการปิดด่านชายแดนของฝ่ายกัมพูชา เนื่องมาจากความไม่พอใจของสมเด็จฮุน
เซน ที่มีต่อแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง)
เป็นการเฉพาะเจาะจง
ตนเองจึงจำต้องใช้เทคนิคการเจรจาที่แบ่งแยกปัญหาออกจากตัวบุคคล
ไม่ได้เป็นการตำหนิติเตียนในทางลบหรือแสดงให้เห็นว่าแม่ทัพภาคที่ 2
เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลไทยแต่อย่างใด
แต่เป็นการอธิบายสถานการณ์ต่อฝ่ายกัมพูชาในเชิงสร้างความเข้าใจว่าฝ่ายบริหารของไทยมีเจตนาที่จะรักษาสันติและไม่ได้เป็นการโอนอ่อนหรือเอื้อประโยชนให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากแต่เป็นการดำเนินนโยบายโดยอาศัยหลักทางการทูตเพื่อรักษาเสถียรภาพของประเทศและป้องกันความขัดแย้งที่อาจลุกลาม
น.ส.แพทองธาร
ระบุอีกว่า อย่างไรก็ดี เมื่อเกิดความเข้าใจผิดขึ้น
ตนเองก็ได้มีการชี้แจงและกล่าวคำขอโทษต่อแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท
บุญสิน พาดกลาง) แล้ว และแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน
พาดกลาง) ยืนยันต่อสาธารณชนว่าไม่ติดใจคลิปเสียงของตนเอง
และไม่ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างนายกรัฐมนตรีกับแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท บุญสิน พาดกลาง) และไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานของกองทัพแต่อย่างใด
น.ส.แพทองธาร
ระบุด้วยว่า ทั้งนี้ การที่ตนเองกล่าวถึงแม่ทัพภาคที่ 2 (พลโท
บุญสิน พาดกลาง) ในบทสนทนาเกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้รับแจ้งจากฝ่ายความมั่นคงว่า
ทางการกัมพูชาไม่พอใจการเคลื่อนย้ายกำลังทหารของไทย ณ ช่องบก
ซึ่งไม่เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าในวันที่ 4 มิถุนายน
2568
ตนเองจึงจำเป็นต้องสื่อสารเพื่อแยกบทบาทฝ่ายบริหารออกจากฝ่ายความมั่นคง
ซึ่งสมเด็จฮุน เซน รู้สึกว่าเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรงกับกัมพูชาในขณะนั้น
และเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งความไว้วางใจที่อาจนำไปสู่การเปิดเจรจาในระดับทางการต่อไปโดยไม่ใช้มาตรการทางทหาร
และทางเศรษฐกิจ อันอาจส่งผลกระทบแก่ประชาชนทั้งสองประเทศ
ความตั้งใจเดียวของข้าพเจ้าตลอดบทสนทนาจึงเป็นเรื่องการรักษาผลประโยชน์ของชาติโดยไม่มีเจตนาจะได้มาซึ่งผลประโยชน์ส่วนตน
ดังจะเห็นได้จากบทสนทนาว่าไม่มีข้อความตอนใดที่ตนเอง
เรียกร้องเอาผลประโยชน์ให้ตกเป็นของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างหนึ่งอย่างใดหรือได้ถือเอาประโยชน์ส่วนตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของประเทศชาติหรือได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยไม่ซื่อสัตย์สุจริต
หรือแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ
รายละเอียดความไม่พอใจของทางฝั่งกัมพูชาปรากฏอยู่ในบทสนทนาที่สมเด็จฮุน
เซน กล่าวถึงนาทีที่ 3.45
- 5.01 เป็นภาษากัมพูชา
ทั้งนี้
พฤติการณ์ตลอดบทสนทนาดังกล่าวอยู่ในกรอบแห่งแนวนโยบายการต่างประเทศ
ซึ่งดำเนินการโดยสันติวิธีตามหลักสากล
หาใช่การดำเนินการในเชิงลับหรือมีเจตนาบ่อนทำลายผลประโยชน์ของรัฐไม่
และเป็นไปตามแนวทางการหารือในช่วงบ่าย วันที่ 15 มิถุนายน 2568 ระหว่างตนเอง กับรองนายกรัฐมนตรี (นายภูมิธรรม เวชยชัย)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายมาริษ เสงียมพงษ์)
และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช)
นอกจากนี้
ผู้ร่วมสนทนา คือ สมเด็จฮุน เซน
ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา
ซึ่งไม่ได้มีสถานะตามกฎหมายภายในของประเทศตน
หรือภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศที่จะสามารถกระทำการอันก่อให้เกิดผลผูกพันทางนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้
อีกทั้งในระหว่างที่มีการสนทนากับสมเด็จ
ฮุนเซน นั้น ไทย-กัมพูชา
ยังถือว่ามีความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับที่ใกล้ชิดกันอยู่ไม่ว่าจะเป็นในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกัน
และในฐานะประเทศในกลุ่มสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN) ถึงแม้จะมีความตึงเครียดระหว่างกันตามแนวเขตชายแดนบ้าง
แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดที่มีการปะทะด้วยกำลังกันอย่างรุนแรง
และยังไม่มีการลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูต
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #แพทองธารชินวัตร #ฮุนเซน #ศาลรัฐธรรมนูญ #กัมพูชา