“พริษฐ์” ยก 5 ข้อเสนอช่วยเหลือประชาชนในศูนย์อพยพจากเหตุปะทะไทย-กัมพูชา (1) เพิ่มการใช้ประโยชน์จากระบบแจ้งเตือนเซลล์บรอดแคสต์ - (2) เพิ่มกลไกประกันวัวควายในพื้นที่ - (3) กำชับให้งบประมาณส่วนกลางถึงมือประชาชน - (4) ออกแบบมาตรการชดเชยรายได้ประชาชนและผู้ประกอบการ - (5) หนุนเสริมทีม จนท. ดูแลสุขภาพจิตประชาชน
วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ตั้งกระทู้ถามสดด้วยวาจาต่อนายกรัฐมนตรี กรณีแนวทางของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนในศูนย์อพยพหรือในพื้นที่อพยพจากเหตุการณ์การปะทะระหว่างไทย-กัมพูชา โดยนายกฯ มอบหมายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ รมว.มหาดไทย มอบหมาย ธีรรัตน์ สําเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย เป็นผู้ตอบคำถามแทน
พริษฐ์กล่าวว่า ตนขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้สูญเสียทุกคนและขอเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ทหารแนวหน้าทุกคนที่พยายามคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและเร่งคืนความปกติให้กับสังคมโดยเร็ว
เมื่อต้นสัปดาห์ เป็นเรื่องดีที่ ครม. มีมติออกมาชัดเจนในการอนุมัติกรอบเงินเยียวยาเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนที่เสียชีวิตหรือบาดเจ็บรายละ 400,000 ถึง 10 ล้านบาท แต่ประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ที่อาจจะไม่ได้ถูกผลกระทบรุนแรงถึงขั้นสูญเสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บ แต่ได้รับผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาเช่นกันจากสถานการณ์สงคราม นั่นคือ “ประชาชนในศูนย์อพยพ หรือ ในพื้นที่อพยพ” ตนจึงรวบรวมข้อเสนอจากเพื่อน สส. และทีมงานในพื้นที่เพื่อมาสะท้อนปัญหา เสนอแนะทางออกและสอบถามแนวทางของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มนี้ โดยแบ่งคำถามเป็น 3 รอบตาม 3 เป้าหมายที่อยากให้รัฐบาลยึดถือในการช่วยเหลือประชาชน
เป้าหมายที่หนึ่ง คือการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนในช่วงที่ต้องอพยพ มี 3 ประเด็นคำถาม (1) การแจ้งเตือนประชาชนให้อพยพ สิ่งที่สำคัญสำหรับประชาชนคือการเข้าถึงข้อมูลสำคัญเรื่องความปลอดภัย ที่แม่นยำและรวดเร็ว ปัจจุบันประชาชนมักติดตามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ในพื้นที่หรือเพจทางการของจังหวัดที่อาจยังมีความกระจัดกระจาย หรือตามไม่ทันข่าวปลอมอยู่บ้างในบางกรณี แต่ในทางกลับกันเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่การแจ้งประชาชนไปที่มือถือผ่านระบบ Cell Broadcast ตนได้รับข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าเพิ่งถูกใช้ไปแค่ 1 วันคือวันที่ 24 กรกฎาคม โดยใช้ใน 3 จังหวัด จังหวัดละ 1 ครั้งเท่านั้น ดังนั้นเรามีแนวทางจะใช้ประโยชน์จากระบบ Cell Broadcast มากกว่านี้ได้อย่างไร
จากคำชี้แจงของหน่วยงานในการประชุมคณะกรรมาธิการเมื่อเช้านี้ ตนเข้าใจว่าปัญหาตอนนี้ไม่ใช่ระบบไม่พร้อม แต่สิ่งที่ไม่พร้อมคือการดึงข้อมูลจากหน่วยงานต้นทาง ไม่ว่ากองทัพหรือหน่วยงานความมั่นคง เพื่อเอามากลั่นกรองและสื่อสารกับประชาชนผ่านระบบ Cell broadcast ดังนั้นคำถามคือรัฐมนตรีจะดำเนินการให้มีการปรับปรุงมาตรฐานการปฏิบัติงาน หรือ SOP ของระบบ Cell Broadcast เพื่อเติมขั้นตอนในการประสานข้อมูลกับกองทัพเพื่อแจ้งเตือนภัยสงคราม เมื่อไหร่อย่างไร และระหว่างทางที่ยังไม่มีการปรับปรุง SOP ดังกล่าว ท่านจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไรกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เราใช้ประโยชน์จากระบบ Cell Broadcast ได้ตั้งแต่วันนี้
คำถาม (2) การทำให้ประชาชนตัดสินใจอพยพ ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าประชาชนจำนวนหนึ่งในพื้นที่เสี่ยงภัยตัดสินใจไม่ย้ายออกจากบ้านเพราะเป็นห่วงวัว-ควายที่เลี้ยงไว้ซึ่งมีมูลค่าเป็นหลักหมื่นหลักแสน โดยมาตรการปัจจุบันในการเยียวยาวัว-ควายที่สูญหายยังจำกัดอยู่ที่ 5 ตัว/คน ซึ่งต่ำกว่าจำนวนที่หลายคนเลี้ยงจริง โดยเฉพาะในพื้นที่สุรินทร์
ตนได้หารือในสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าอยากให้รัฐบาลพิจารณาขยายกรอบดังกล่าวหรือใช้วิธีจ่าย “ค่าเบี้ยประกันภัยวัว-ควาย” ให้กับวัว-ควาย “ทุกตัว” ของเกษตรกรในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อให้ประชาชนตัดสินใจอพยพได้อย่างสะดวกใจมากขึ้นในจังหวะชี้เป็นชี้ตาย ดังนั้นคำถามนี้ตนแค่มาทวงงานว่าเรื่องนี้มีความคืบหน้าอย่างไรบ้าง
คำถาม (3) การดูแลประชาชนที่ศูนย์อพยพ น้ำใจของคนไทยที่หลั่งไหลเข้ามาในรูปแบบของเงินและสิ่งของบริจาคมีส่วนสำคัญมากในการบรรเทาวิกฤตนี้ แต่ในฐานะผู้แทนราษฎร เราต้องไม่ปล่อยปละละเลยความจริงที่น่ากลัวของระบบราชการไทย นั่นก็คือแม้ประเทศเผชิญกับวิกฤตขนาดนี้แต่งบประมาณทั้งหมดในการจัดตั้งและดำเนินการศูนย์พักพิงต่างๆ ในช่วง 3-5 วันแรกหลังคำสั่งอพยพ กลับมาจากเงินบริจาคหรืองบของท้องถิ่นเองทั้งหมด
ข้อมูลจาก กมธ.การปกครอง เมื่อวานนี้ (6 ส.ค.) ก็ทำให้เราก็เห็นชัดว่าแม้วันนี้ส่วนกลางจะได้อนุมัติเงินทดรองราชการไปให้หลายจังหวัดเท่ากันที่จังหวัดละ 100 ล้านบาท แต่งบประมาณกลับตกถึงแต่ละพื้นที่ มาก-น้อย เร็ว-ช้าไม่เท่ากัน บางจังหวัดอย่างสุรินทร์และศรีสะเกษ เบิกจ่ายไปแล้วถึง 47 และ 55 ล้านบาทตามลำดับ แต่บางจังหวัดอย่างอุบลราชธานีกลับเบิกจ่ายไปเพียง 55,000 บาท ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่าหากเราไม่สามารถเชื่อมั่นคำพูดที่ทางผู้ว่าฯ อุบล โฟนอินเข้ามาว่าไม่มีปัญหาเรื่องการเบิกจ่าย และที่รมช.มหาดไทย นำมาอ้างในสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้ ต่อไปนี้เราจะเชื่ออะไรจากรัฐบาลได้อีกบ้าง
ในประเด็นนี้ตนมีคำถามหลัก 2 ข้อ (1) ในกรณีจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเมื่อเช้าได้ทราบข่าวว่าอาจมีการย้ายผู้ว่าฯ ไปที่ส่วนอื่น อยากทราบว่าสาเหตุที่ทำให้การเบิกจ่ายน้อยขนาดนี้เกิดจากอะไร ความไม่มีประสิทธิภาพในการเบิกจ่ายได้สร้างความเสียหายและความลำบากแก่ประชาชนในอุบลราชธานีมากแค่ไหน และแม้จะย้ายผู้ว่าฯ ไปแล้ว ในฐานะส่วนกลางที่ต้องกำกับดูแลการทำงานของผู้ว่าฯ ท่านจะรับผิดชอบอย่างไรต่อความผิดพลาดที่ท่านไปฟังแค่เสียงของข้าราชการที่มายืนยันในสภาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แทนที่จะฟังเสียงของประชาชนในพื้นที่ที่สะท้อนผ่านสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงปล่อยระยะเวลามายาวนานถึงหนึ่งสัปดาห์ แทนที่จะเอาข้อทักท้วงของผู้แทนราษฎรไปตรวจสอบข้อเท็จจริงให้เร็วกว่านี้
(2) ในภาพใหญ่ ตนเข้าใจว่าการบริหารจัดการงบประมาณในพื้นที่มี 3 แหล่ง คือเงินทดรองราชการที่ส่วนกลางอนุมัติ เงินของท้องถิ่น และเงินบริจาค ขอสอบถามว่านโยบายของรัฐบาลจัดเรียงลำดับในการใช้จ่ายงบประมาณทั้ง 3 ก้อนนี้อย่างไร เหมาะสมแล้วหรือไม่ที่ให้พึ่งเงินบริจาคของประชาชนและเงินสะสมของท้องถิ่นก่อนทั้งที่มีการอนุมัติงบประมาณจากส่วนกลางมาแล้ว ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลจะทำอย่างไรให้การใช้เงินบริจาคที่เข้ามา ถูกใช้อย่างโปร่งใสและถูกจัดสรรตามลำดับความสำคัญและความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง
ด้าน รมช.มหาดไทย กล่าวว่า เรื่องการแจ้งเตือนประชาชนนั้น ได้ส่งข้อความผ่าน Cell Broadcast ไปทันทีเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง โดยแจ้งให้ประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ ไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ในส่วน SOP ที่ยึดถือปฏิบัติคือเช็คข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและสอบถามไปยังพื้นที่ เมื่อได้รับความชัดเจนแล้วจึงปล่อยข้อความนั้นออกไป เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับประชาชนโดยเร็วที่สุด
กรณีจังหวัดอุบลราชธานี ตามที่มีกระทู้สดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตนได้ถามไปที่ผู้ว่าฯ โดยตรงเพื่อแก้ไข ได้ทราบกลับมาว่าเบิกได้ทั้งหมด ซึ่งตนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้รับรายงานจากตัวแทนจังหวัดชายแดนนำเสนอตัวเลขเห็นว่ามีปัญหาที่อุบลราชธานี ตนก็เห็นว่าต้องมีบางสิ่งผิดปกติ เช่น การทำเอกสารล่าช้า การไปใช้เงินของ อปท. ก่อนหรือไม่ เมื่อสอบถามก็ได้รับทราบว่าทางจังหวัดมุ่งเน้นไปที่การใช้เงินของท้องถิ่นก่อน รวมถึงเงินและสิ่งของที่ได้รับบริจาคมา ดังนั้นปัญหาไม่ใช่ว่าเบิกมาแล้วเราไม่ให้ แต่ปัญหาคือตัวเลขนั้นยังไม่ส่งเข้ามาที่ส่วนกลาง เพราะกรอบวงเงินทดรองราชการ 100 ล้านบาท เราให้ไปตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม ดังนั้นมีความผิดพลาดอยู่ที่จังหวัด ไม่ใช่ทางรัฐบาลที่ส่งความช่วยเหลือไป
ส่วนกรอบการช่วยเหลือดูแลสัตว์ เป็นเรื่องสำคัญ สามารถหาข้อมูลได้จากเว็บไซต์ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยและเพจของกระทรวงมหาดไทย ในกรณีที่มีความสูญเสียหรือความเสียหายมากกว่าที่กำหนดไว้ เราจะนำมาพิจารณาต่อไป ยืนยันดูแลพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุดตามกรอบและระเบียบ
จากนั้นพริษฐ์กล่าวว่า คำถามเรื่อง Cell Broadcast ตนขอย้ำถามว่าการปรับปรุง SOP จะเสร็จเมื่อไหร่ และskdพรุ่งนี้เกิดเหตุอีก ประชาชนจะได้รับแจ้งเตือนผ่าน Cell Broadcast หรือไม่แม้ยังไม่มีการปรับปรุง SOP ส่วนปัญหาเรื่องวัวควาย ตนติดตามข้อมูลจากเพจต่างๆ ของหน่วยงานเช่นกัน เลยต้องการสอบถามว่าจะมีการปรับปรุงเพดานการช่วยเหลือเกิน 5 ตัว/ราย หรือไม่
ส่วนกรณีอุบลราชธานี ยืนยันตนไม่มีอคติหรือเกมการเมือง พูดอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริง ซึ่งข้อเท็จจริงหนึ่งที่เราเห็นตรงกันคือมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นปัญหาจริง คำถามที่พี่น้องประชาชน สงสัยคือถ้าข้อมูลเกี่ยวกับการเบิกจ่ายไม่ได้ถูกค้นพบผ่านกลไกกรรมาธิการของสภาฯ เมื่อวานนี้ (6 ส.ค.) ทางรัฐมนตรีจะรู้ปัญหานี้หรือไม่
สำหรับเป้าหมายที่สองในการช่วยเหลือประชาชนที่ตนจะถามต่อไป คือเรื่องการเยียวยาชดเชยความเสียหายทางเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือเยียวยาชดเชยประชาชนทั่วไป ที่ต้องอพยพ ต้องยอมรับว่าแม้รัฐบาลจะดูแลประชาชนได้ดีแค่ไหนที่ศูนย์อพยพ แต่รายจ่ายหลายอย่างของประชาชน เช่น หนี้สิน ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ ในขณะที่รายได้หลายคนหายไปทันที ในทุกๆวันที่ต้องย้ายมาใช้ชีวิตที่ศูนย์อพยพ สิ่งที่ตนเห็นว่ารัฐบาลต้องเร่งทำคือการ “ลดรายจ่าย ชดเชยรายได้”
ในส่วนของการ “ลดรายจ่าย” ตนเห็นว่ากระทรวงการคลังมีการประกาศบางมาตรการช่วยเหลือจาก 3 ธนาคารรัฐ แต่มาตรการของ 3 ธนาคารยังมีความแตกต่างกัน ในขณะที่มาตรการกับธนาคารเอกชนยังไม่ชัดเจน จะเป็นไปได้หรือไม่ที่รัฐบาลจะพิจารณาออกมาตรการและอุดหนุนให้เกิดการ “พักหนี้” ประชาชนในพื้นที่สำหรับทั้งธนาคารภาครัฐและภาคเอกชน
ในส่วนของการ “ชดเชยรายได้” ตนเห็นว่าหากเราจะเยียวยาประชาชนโดยยึด “หลักเกณฑ์เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ” เพียงอย่างเดียว คำตอบที่ได้มาจะยังไม่ตอบโจทย์ประชาชน เพราะหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่ได้ถูกคิดเพื่อรองรับการปะทะและการอพยพลักษณะนี้ เช่นหลักเกณฑ์ดังกล่าวอนุญาตให้ผู้ว่าฯ อนุมัติ “เงินดำรงชีพ” ได้ ครอบครัวละไม่เกิน 3,800 บาท แต่มีข้อแม้ว่าจะได้ “เฉพาะ” ต่อเมื่อที่อยู่อาศัยของครอบครัวนั้นเสียหายทั้งหลัง ซึ่งคงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นกับประชาชนส่วนใหญ่ที่ต้องอพยพ
ดังนั้นรัฐบาลมีแผนหรือไม่ในการออกแบบมาตรการเยียวยาชดเชยรายได้ประชาชนในพื้นที่ที่ไม่ต้องติดกรอบ “หลักเกณฑ์เงินทดรองราชการ” ที่ว่านี้ ซึ่งกระทรวงการคลังอนุมัติได้โดยอาศัยอำนาจตามข้อ 27 หรือข้อ 7 ของระเบียบว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน 2562
กลุ่มที่ 2 คือผู้ประกอบการในพื้นที่ ตนมี 4 ข้อเสนอ (1) รัฐบาลต้องเร่ง “ลดรายจ่าย” ผ่านกลไกของประกันสังคม ไม่ว่าจะเป็น การอุดหนุนให้มีการชะลอการส่งเงินสมทบประกันสังคม ที่ตอนนี้ได้กลายมาเป็นภาระธุรการที่เพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องปรับเอกสารและคำนวณเงินสมทบตามแรงงานที่ย้ายออกจากพื้นที่ รวมถึงนำกลไกและฐานข้อมูลประกันสังคมมาใช้เพื่อชดเชยผู้ประกอบการที่จ่ายค่าจ้างให้พนักงาน แต่พนักงานไม่สามารถเข้ามาปฏิบัติงานได้ (2) รัฐบาลต้องเร่ง “ชดเชยรายได้” ที่สูญหายไป เร่งหาเจ้าภาพในการหารือรายละเอียดกับผู้ประกอบการทุกอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพื่อเร่งกำหนดมาตรการช่วยเหลือที่เพียงพอและเป็นธรรมโดยเร็ว (3) รัฐบาลต้องเตรียม “ชดเชยแรงงาน” ที่ย้ายออกจากพื้นที่ ด้วยการช่วยจับคู่ผู้ประกอบการกับแรงงาน รวมถึงเพิ่มแรงจูงใจให้กับแรงงานในประเทศที่ตัดสินใจย้ายมาทำงานในพื้นที่ หลังสถานการณ์ปลอดภัย (4) รัฐบาลต้อง “กระตุ้นการใช้จ่าย” ในพื้นที่หลังเหตุการณ์สงบแล้ว เช่น โครงการเที่ยวคนละครึ่งใน 7 จังหวัดชายแดน ที่รัฐออกค่าโรงแรม ค่าร้านอาหาร ให้ประชาชนครึ่งหนึ่ง หรือโครงการลดหย่อนภาษีให้กับคนที่จัดประชุม-การท่องเที่ยวแบบกลุ่มใน 7 จังหวัดชายแดน มีการวางแผนไว้แล้วแค่ไหน
ด้าน รมช.มหาดไทย กล่าวว่า คำถามเรื่อง SOP จะมีเมื่อไร จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเราได้ดำเนินการแล้ว และเรื่องข้อมูลการเบิกจ่ายของแต่ละจังหวัด ตนรู้ก่อนที่กรรมาธิการจะมีการประชุม ขณะที่เรื่องการชดเชยเยียวยาในส่วนผู้ประกอบการและพี่น้องแรงงาน ทั้งกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชน แต่บางพื้นที่ฝ่ายความมั่นคงยังไม่อนุญาตให้เราเข้าไป ดังนั้นการสำรวจความเสียหายต่างๆ จะให้ครบถ้วนต้องใช้เวลา
ส่วนเป้าหมายที่สามในการช่วยเหลือประชาชน คือเรื่องการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนในพื้นที่ ทางกรมสุขภาพจิตได้คัดกรองมาให้เราเห็นแล้วว่าในบรรดา 79,326 คนของประชาชนในศูนย์อพยพที่ได้รับการคัดกรองด้านสุขภาพจิต มี 5% หรือ 4,452 คน ที่มีสภาวะเครียดสะสม มี 0.6% หรือ 492 คน ที่เสี่ยงฆ่าตัวตาย การแก้ปัญหานี้มีอยู่ 3 ส่วน คือการป้องกัน คัดกรอง และรักษา
เรื่องการป้องกันและคัดกรอง ตนไม่ได้มีความกังวลมากนัก เพราะเข้าใจดีว่ากรมสุขภาพจิตได้พยายามดำเนินการเรื่องนี้แล้วในศูนย์อพยพต่างๆ แต่เรื่องการรักษา เป็นส่วนที่ตนน่ากังวลที่สุด เพราะในขณะที่คนที่ทำการรักษาตรงนี้ได้ต้องเป็นบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญที่มีจำนวนจำกัดอยู่แล้วในประเทศ แต่การรักษาผู้ที่มีความเสี่ยงด้านสุขภาพจิตในศูนย์อพยพ จะต้องมีการเฝ้าติดตามอาการอย่างต่อเนื่องแม้ในอนาคตเขาจะกลับไปอยู่บ้านแล้วก็ตาม
เราจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าทีม MCATT ของกรมสุขภาพจิตที่ไปลุยให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ จะมีกำลังคนมากพอหรือไม่ในการติดตามรักษาคนไข้เหล่านี้ได้อย่างต่อเนื่อง จึงฝากรัฐบาลวางแนวทางแก้ปัญหาเพื่อดูแลสุขภาพจิตของประชาชนด้วย