วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

รายละเอียดที่ “อ.ธิดา” ประธานนปช. แถลงที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เมื่อ 26 มิ.ย. 2555

 


รายละเอียดที่ “อ.ธิดา” ประธานนปช. แถลงที่ศาลอาญาระหว่างประเทศ เมื่อ 26 มิ.ย. 2555


คนเสื้อแดงคือใคร?  เกิดจากไหน?  ด้วยเหตุอะไร?


กลุ่มคนเสื้อแดงในปัจจุบันคือประชาชนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นคนชั้นล่างในสังคมไทย ที่เป็นแรงงานนอกระบบ เป็น ชาวนาชาวไร่ที่ยากจนไร้สวัสดิการ รวมทั้งคนชั้นกลาง ลูกจ้างและผู้ประกอบการธุรกิจขนาดต่าง ๆ ทั้งในภาคอุตสาหกรรม, หัตถกรรม เกษตรกรรม  และภาคบริการ รวมแล้วมีคนจำนวนมากหลายสิบล้านคน


เกิดมาจากการรวมตัวต่อต้านรัฐประหารของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ เช่น กลุ่มสมาพันธ์ประชาธิปไตยที่ต่อสู้มาตั้งแต่เมื่อปี พ.ศ. 2535 กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ กลุ่มนิสิตนักศึกษา 19 กันยา กลุ่มพีทีวีของคณะอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปเป็นต้น  เริ่มประท้วงต่อต้านคณะรัฐประหาร 19 กันยา 49 เป็นต้นมา จากคนออกมาชุมนุมจำนวนน้อยจนมากขึ้นเป็นลำดับ และสัญลักษณ์สีแดงได้มาจากการรณรงค์ปฏิเสธรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ร่างจากอำนาจคณะรัฐประหาร


นี่จึงเป็นการต่อสู้อย่างเข้มแข็งที่ต่อเนื่องมาร่วม 6 ปี จากการรวมตัวจับมือกันอย่างหลวม ๆ มาเป็นองค์กรนปช.ที่มีหลักนโยบาย เป้าหมายร่วมกัน ในการดำเนินงาน วัตถุประสงค์สำคัญคือ


1. ต่อสู้เพื่อให้ได้ระบอบประชิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง

2. ต่อสู้ให้มีความยุติธรรม คือ มี Rule of law นิติรัฐ นิติธรรม


ในทางการเมืองพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวแทนอำนาจอนุรักษ์นิยมที่เป็นผู้กุมอำนาจในระบบและนอกระบบที่ไม่มีสัมพันธภาพกับการเลือกตั้งจากประชาชน ได้แก่ กองทัพ หน่วยงานความมั่นคง ตุลาการ วุฒิสมาชิกจากการแต่งตั้ง องค์กรอิสระที่มาจากคณะรัฐประหาร และกฎหมายของคณะรัฐประหาร คนเสื้อแดงต่อสู้กับกลุ่มคนเหล่านี้เพื่อให้คืนอำนาจให้กับประชาชน และลบล้างผลพวงจากการทำรัฐประหาร

คนเสื้อแดงต้องต่อสู้กับการทำรัฐประหารทั้งโดยกองทัพ และรัฐประหารโดยการใช้กฎหมายที่ไม่มีหลักนิติธรรม ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง อยู่บนพื้นฐานของการปฏิเสธความไม่เท่าเทียมกัน ทางการเมืองและในการใช้กฎหมาย


ในปี พ.ศ. 2553 การเรียกร้องให้ “ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน” อันเป็นสิทธิพื้นฐานทางการเมืองของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ กล่าวง่าย ๆ เราเรียกร้องให้ได้หีบบัตรเลือกตั้ง แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์และกองทัพรัฐอำมาตยาธิปไตยให้หีบศพมาแทน


นับจากปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา มีจำนวนผู้มาชุนนุมมากมาย จากแรก ๆ มีเพียงนับพัน เป็นนับหมื่น นับแสน และหลายแสน  คนมากขึ้นทุกที ล่าสุด จากการงานในช่วงระยะ 3 เดือนนี้ ที่เขาใหญ่มีไม่ต่ำกว่าสามแสนคน และครบรอบ 2 ปีการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชน 19 พฤษภาคม 2553 ที่ราชประสงค์ก็มีผู้ร่วมชุมนุมกว่าสองแสนคน ซึ่งตรงกันข้ามกับกลุ่มมวลชนจารีตนิยมมีคนน้อยลงทุกที (จนเหลือระดับไม่ถึงร้อยก็มี) นี่เป็นการยืนยันความถูกต้องของฝ่ายประชาชนคนเสื้อแดงที่นานวันนับแต่จะมีคนมาร่วมขบวนเรามากยิ่ง ๆ ขึ้นทุกวัน การชุมนุมใหญ่หลัง ๆ นี้จะมีคนมาร่วมแสน ไม่ว่าจะจัดในที่ห่างไกลหรือในใจกลางกรุงเทพมหานครก็ตาม


จำนวนคนเสื้อแดงมีมากเท่าใด?


ในการรณรงค์ปฏิเสธหรือไม่รับรัฐธรรมนูญ 2550 ของคณะรัฐประหาร แม้จะมีกลยุทธของฝ่ายเผด็จการ มีวิชามารมากมาย จำนวนคนเสื้อแดงที่โหวตไม่รับรัฐธรรมนูญ2550 ก็สูงถึง 10.7 ล้านคน ผู้ลงคะแนนเสียงสนับสนุนพรรคการเมืองที่ถูกยุบครั้งแล้วครั้งเล่า ที่คนเสื้อแดงสนับสนุนก็มีกว่า 15.7 ล้านคน เมื่อ 3 ก.ค. 54 ประมาณการตัวเลขคนเสื้อแดงที่อยู่ภายใต้การนำของนปช. ประมาณการว่ามีกว่าสิบล้านคน เกือบ 19 ล้านคน(ตัวเลขเลือกพรรคไทยรักไทยปี 48 และพรรคเพื่อไทยปี 54)


ส่วนใหญ่อยู่ที่ภาคอิสานและภาคเหนือ ภาคกลางก็มีจำนวนไม่น้อย ที่น้อยที่สุดคือในภาคใต้


จากเหตุการณ์การต่อสู้ที่ยกระดับความรุนแรงในการปราบปรามขึ้นมาโดยตลอดนับจากปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ในปี พ.ศ. 2552 ปัญหาที่พบคือ  “เราไม่สามารถรักษาศพของพี่น้องเราเอาไว้ได้” พ.ศ. 2553 เราเก็บรักษาศพของพี่น้องไว้ได้ นับเป็นจำนวน 92ศพ เสียชีวิตภายหลังอีกรวมเป็น 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน ทรัพย์สินของผู้มาชุมนุมเสียหายนับหลายสิบล้านบาท ที่เสียหายมากคือ “จิตใจที่เจ็บปวดของประชาชนที่มาชุมนุม ที่เผชิญการทำร้ายร่างกายจิตใจ และการใช้อาวุธสงครามกระสุนจริงยิงด้วยพลซุ่มยิง เจาะสมอง เจาะศีรษะ หน้าอก”


การใช้อาวุธปราบปรามเฉกเช่นที่ทำในสงครามระหว่างประเทศ ภาพผู้สูญเสียชีวิต ถูกจับกุมคุมขัง ตั้งข้อหาร้ายแรง ไม่ให้ประกันตัว ไม่ว่าจะเพียรพยายามนับสิบ ๆ ครั้ง และที่สุดต้องนำประชาชนไปหน้าศาลฎีกา ทั้งวางดอกไม้ หรือปราศรัยเพื่อประท้วงศาล กระบวนการยุติธรรมทุกขั้นตอนมีปัญหาตั้งแต่การตั้งข้อหารุนแรงโดยไม่มีหลักฐาน ไม่มีการสืบสวนที่ถูกต้องตามหลักนิติธรรม ให้ได้ความชัดเจนก่อนดำเนินการ


เราเคยมีจดหมายไปยังศาลอาญาระหว่างประเทศ เพื่อขอให้ส่งผู้สังเกตุการณ์มายังประเทศไทย เพราะเราไม่เชื่อมั่นว่าประชาชนจะได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานนิติรัฐ นิติธรรมที่ถูกต้องตามหลักสากลอย่างเท่าเทียมกัน


ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา 2 ปี ยังมีผู้ถูกคุมขังอันเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่ได้รับการประกันตัว หรือถูกตัดสินลงโทษจำคุกยาวนานถึง 38 ปี โดยขาดความรอบคอบในการสอบสวน การตั้งข้อหาร้ายแรงระดับ “การก่อการร้าย เผาบ้านเผาเมือง” โดยไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่อย่างใด และคุมขังประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่าผิด พรก.ฉุกเฉิน นานเกินกว่าความผิดที่ตั้งข้อหา ปัจจุบันยังมีผู้ถูกคุมขัง 62 คน เป็นโรคจิตแล้ว 5 คน และกำลังมีปัญหาทางจิตอีกกว่า 6 คน เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน ภายใต้การคุมขังที่ขาดการดูแลที่ได้มาตรฐานสากล ใช้การตีตรวน คุมขังจองจำร่วมกับอาชญากรอุกฉกรรจ์อื่น ๆ


แต่ภายใต้รัฐบาลนี้ (ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร พรรคเพื่อไทย)  ด้วยความพยายามผลักดันของนปช. จึงมีการแยกผู้ถูกคุมขังอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองที่คดียังไม่ถึงที่สุด ได้ย้ายไปรวมกันอยู่ณ.ที่คุมขังที่แยกออกไปต่างหากจำนวน 47 คน


แต่ผู้ที่ถูกคุมขังด้วยคดีตามมาตรา 112 ประมวลอาญา (คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ )ยังไม่ได้แยกออกมาต่างหาก และยังไม่ได้รับการประกันตัว  ผู้ถูกคุมขังจำนวนหนึ่งจึง ยอมลงทุนรับสารภาพผิดเพื่อให้คดีสิ้นสุด ได้รับโทษถึงที่สุด เนื่องจากทนสภาพถูกจองจำยาวนานโดยไม่รู้ว่าคดีจะสินสุดเมื่อไร และไม่มีวันที่จะได้รับการประกันตัว ไม่มีความหวังใด ๆ ในอนาคต จึงสารภาพผิดเพื่อให้คดีถึงที่สุดโดยเร็วแล้วเพื่อจะได้มีโอกาสในการ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” จากพระเจ้าแผ่นดินเพื่อจะทำให้ถูกจองจำในเวลาที่สั้นลง ในขณะที่ “คนเสื้อเหลือง” ในคดีคล้ายกัน ยึดสนามบินเป็นความผิดข้อหาก่อการร้ายสากลโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต, ยึดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติเพื่อต่อเชื่อมกับสถานีวิทยุโทรทัศน์ของพวกตนออกอากาศโค่นล้มรัฐบาลด้วยความรุนแรง เป็นความผิดข้อหากบฏโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต, บุกยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเวลากว่าร้อยวันเป็นความผิดใช้ความรุนแรงขัดขวางการบริหารราชการแผ่นดินข้อหากบฏโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต


คดีเหล่านี้คืบหน้าช้ามาก คดียึดสนามบินยังอยู่ในขั้นเชิญมารับทราบข้อกล่าวหาหลังจากเวลาผ่านไปแล้วเกือบ 4 ปี  และส่วนใหญ่ได้รับการประกันตัวไป


เมื่อเทียบกับคดีเสื้อแดงที่ ภายในเวลาประมาณ 6 เดือนก็มีคำพิพากษาลงโทษหนักเบาต่าง ๆ กัน และไม่ได้รับการประกันตัว


ยังมีกรณีที่พวกเสื้อเหลืองขับรถพุ่งชนตำรวจ 5 นายที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ แล้วยังถอยหลังพุ่งทับเพื่อให้ตายสมใจแต่ก็เพียงรอลงอาญา


ดูเหมือนว่าความยุติธรรมของไทยกำลังสั่นคลอนอย่างหนักหน่วง


สำหรับการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ เป็นที่ชัดเจนว่า แม้เราจะเป็นองค์กรเคลื่อนไหวอย่างสันติวิธีตามนโยบาย 6 ข้อขององค์กร นปช. แต่ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ใช้ชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของค่ายทหารกรมทหารราบที่ 11 ตลอดระยะเวลาที่คนเสื้อแดงประท้วงบนถนน ประชาชนเริ่มออกเดินทางมาชุมนุมเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2553 และเราเริ่มชุมนุมตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2553 อย่างสงบเรียบร้อยบนถนนราชดำเนิน


ต่อมารัฐบาลอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ก็ทำลายสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนลงไปอย่างร้ายแรงคือ ปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมของประชาชน


คนเสื้อแดงจึงไปทวงถามขอคืนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์คืนมาที่สถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี ที่นี่จึงมีการปราบปรามประชาชนครั้งแรก แต่ยังอยู่ในภาวะที่ควบคุมได้ มีการยิงแก๊สน้ำตาจำนวนมาใส่ผู้ชุมนุม แต่ไม่เป็นผลเพราะทิศทางลมพุ่งใส่พวกทหาร  ต่อมาทหารก็ยอมมอบอาวุธให้ประชาชน ซึ่งภายหลังการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ประชาชนก็คืนอาวุธทั้งหมดให้กับทหาร ครั้งนี้เองที่มีหลักฐานชัดเจนว่า ทหารได้นำปืนติดกล้องส่องเล็งมาเตรียมเล็งยิงประชาชนหลายกระบอกด้วยกัน


รัฐบาลประชาธิปัตย์ประกาศพรก.ฉุกเฉินในวันที่ 7 เมษายน 2553 ทั้งที่มีการประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง เป็นการจงใจวางแผนที่จะดำเนินการปราบปรามประชาชนทั้งที่ไม่มีเงื่อนไขและเหตุอันควรใด ๆ ทั้งสิ้น  เพราะประชาชนมามือเปล่า ล้วนเป็นชาวนาชาวไร่ ลูกจ้างแรงงานขั้นต่ำ ไม่มีอาวุธใด ๆ นอกจากสิ่งที่ใช้ถือแทนการใช้ปรบมือเท่านั้น และข้อเรียกร้องก็มีเพียง “ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน” เนื่องจากรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นผลพวงจากการใช้อำนาจตุลาการภิวัฒน์ล้มรัฐบาลสมชายที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และรัฐบาลอภิสิทธิ์ก็มีการตระเตรียมจัดตั้งกันขึ้นภายในค่ายทหารกรมทหารราบที่ 1สามเหลี่ยมดินแดง โดยการบังคับรวบรวมจากสส.ที่แตกมาจากพรรคที่ถูกยุบด้วยอำนาจตุลาการรัฐธรรมนูญ (จากรัฐธรรมนูญชั่วคราวของทหารปี 49) เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมสนับสนุนข้อเรียกร้องให้ “ยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่” จึงเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ไม่มีเหตุอันใดที่ต้องประกาศ พรก.ฉุกเฉิน นอกจากได้วางแผนเตรียมการที่จะปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนไว้ล่วงหน้าแล้ว นายกฯอภิสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตในค่ายทหารที่ราบ 11 ตลอดระยะเวลา 3 เดือน วางแผนเพื่อปราบปรามประชาชน แทนที่จะใช้ “การเมืองแก้ปัญหาด้วยการเมือง”


ดังที่ได้รับการกล่าวอ้างอย่างยกย่องจากนายทหารที่สรุปรายงานการปราบปรามไว้ในวารสาร “เสนาธิปัตย์” ที่เป็นวารสารทางการของกองทัพของกรมยุทธศึกษาทหารบก ซึ่งระบุไว้ว่า “แผนการทางการเมืองเป็นเอกภาพกับแผนการทางการทหารของฝ่ายทหารในการปราบปรามประชาชน ไม่ใช่เพื่อการเจรจา แต่เพื่อปราบปรามสลายการชุมนุม” นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ ได้ตัดสินใจใช้ความรุนแรงเพื่อปราบปรามประชาชนภายหลังเหตุการณ์ที่ทหารยอมแพ้ไม่ใช้อาวุธสงครามจริงที่สถานีดาวเทียมไทยคม แล้วก็หันมาใช้อำนาจของ พรก.ฉุกเฉิน สั่งการ ดังหลักฐานปรากฏตามคำสั่งวิทยุ ในวันที่ 10เมษายน 2553 (ภายหลังเหตุการณ์ทหารปะทะประชาชนที่สถานีไทยคมลาดหลุมแก้วปทุมธานี 1 วัน)  ให้เคลื่อนกำลังทหารระดับกองร้อย กองพัน กองพลและใช้อาวุธสงครามจริงกับประชาชน ทำให้เกิดการเสียชีวิตของประชาชน และทหารจำนวน 5 นาย


ต่อมาคนเสื้อแดงก็ย้ายการชุมนุมมาที่ราชประสงค์เพียงแห่งเดียว ฝ่ายรัฐบาลก็ยกระดับการปราปปรามมาเป็นการใช้กำลังทางการทหารเป็นด้านหลัก  ให้ถือว่าการชุมนุมของประชาชนเป็นการทำสงครามกลางเมือง จึงสั่งการให้ใช้กองทัพเข้าปราบปราม ใช้ทหารทำสงคราม ใช้อาวุธสงครามทำการยิง ใช้พลซุ่มยิง ตามการรายงานในวารสาร “เสนาธิปัตย์ประจำปีที่ 59 ฉบับที่ 3” ที่เขียนโดยนายทหารระดับพันเอกใช้นามแฝงว่า “หัวหน้าควง” ซึ่งนายทหารผู้นี้ได้รับหน้าที่ในการสรุปบทเรียนของกองทัพ และถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงที่ประสบความสำเร็จในการใช้การปราบปรามอย่างรุนแรง ใช้การทำสงครามเต็มรูปแบบ ใช้กระสุนจริงและวางแผนอย่างเป็นระบบ อย่างกว้างขวาง อย่างเป็นทางการ จากกรณีวันที่ 10 เมษายน 2553 วางแผนฝึกซ้อมทหารในการปราบปราม เพื่อเข่นฆ่าประชาชนตลอดมาจนถึงวันที่ 19 พ.ค. 53 วางแผนการทหารอย่างเป็นระบบ ในการล้อมปราบ เป็นระบบ เป็นขั้นตอน ตามกำหนดเวลา ไม่แยแสว่า จะมีคณะตัวแทนจากวุฒิสมาชิกมาเจรจากับตัวแทนของ นปช. จนได้ข้อยุติแล้วว่าจะยุติการชุนนุมในวันรุ่งขึ้นเพราะประชุมกันจนค่ำ 19.00 น. แต่รัฐบาลก็ยังคงเดินหน้าปราบปรามประชาชนตามแผนที่สั่งการมีการกำหนดการไว้เรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว


ข้ออ้างที่ว่าประชาชนมีกองกำลังอาวุธก็ไม่เป็นความจริง และรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่สามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ความเป็นจริงได้แต่ประการใด


ประการแรก นปช. ไม่มีนโยบายใช้อาวุธต่อสู้ เรายืนยัน “ใช้สันติวิธี ชุมนุมโดยสงบ ไม่ใช้อาวุธ” และตราบจนถึงปัจจุบันนี้ ทางการสืบสวนสอบสวนของตำรวจก็ไม่พบ “ชายชุดดำ (ตามที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ขนานนาม)” “หลักฐานและพยานเรื่องชายชุดดำก็ยังไม่มีจนถึงทุกวันนี้”


การเสียชีวิตของทหารที่ถนนดินสอ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  ก็ปรากฏหลักฐานจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจและกองพิสูจน์หลักฐานของทางราชการว่า เป็นการเสียชีวิตจาก “ระเบิดเอ็ม 67 ไม่ใช่กระสุนเอ็ม 79 ดังที่รัฐบาลอภิสิทธิ์กล่าวหา” ซึ่งระยะขว้างหวังผลของระเบิดเอ็ม 67นั้น อยู่ในระยะ  40-40 เมตรเท่านั้นเองไม่เกิน 100เมตร ในขณะที่ถนนดินสอ มีทหารจำนวนมากถึง 15 กองร้อยยึดครองพื้นที่อยู่เต็มไปหมด ระเบิดถูกนายทหารยศพลตรีหนึ่งนาย ยศพันเอกหนึ่งนาย พลทหารสองนาย สเก็ดระเบิดที่พบในศพของพลทหารทั้งสองนายและนายทหารพันเอกเป็นสะเก็ดระเบิดแบบ เอ็ม 67 ตามรายงานหลักฐานการพิสูจน์ของตำรวจแน่นอน และกองเลือดที่พบในที่เกิดเหตุก็ตรงกับดีเอ็นเอของนายพันเอกและพลทหารสองนายดังกล่าว รวมทั้งที่เกิดเหตุมีหลุมระเบิดสองหลุมซึ่งพิสูจน์โดยผู้เชี่ยวชาญและยืนยันแล้วว่าเป็นหลุมจากการระเบิดของระเบิดแบบเอ็ม 67 ในหลุมยังพบเศษชิ้นส่วนของสะเก็ดระเบิดแบบเอ็ม 67 อีกเช่นกัน


ส่วนการอ้างภาพชายชุดดำถืออาร์ก้า (เอเค 47) ก็ไม่ใช่ที่ถนนดินสอ แต่เป็นที่ถนนตะนาวเป็นถนนอีกสายต่างหากที่ห่างออกไปนับกิโลเมตร ดังนั้นการอ้างว่าชายชุดดำยิงเอ็ม 79เพื่อสังหารนายทหารพันเอกจึงเป็นเรื่องเท็จโดยสิ้นเชิง


การตายของทหาร 5 นายในวันที่ 10 เมษายน 53 จึงไม่ได้เกิดจากอาร์ก้า (เอเค47 ) หรือจากเอ็ม 79 โดยสิ้นเชิง


การปราบปรามประชาชนตั้งแต่ 10 เมษายน – 19 พฤษภาคม 53 เป็นการวางแผนอย่างดี มีการฝึกซ้อม ยกระดับทางการทหารในขอบเขตกว้างขวางทั่วกทม. ทำในหลายระบบ มีการตัดสัญญาณสื่อสารโทรคมนาคมทุกชนิดอย่างกว้างขวางรอบบริเวณชุมนุมราชประสงค์ มีการตัดการลำเลียงอาหาร น้ำ เสบียง ยารักษาโรค ตัดเส้นทางคมนาคมไม่ให้คนเข้ามา แต่อนุญาตให้คนออกไป เป็นการใช้อาวุธสงคราม ใช้กระสุนจริง ปิดสื่อสารโทรคมนาคม ทำลายสิทธิเสรีภาพทางการแสดงความคิดเห็น แม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ เว็บไซด์ต่าง ๆ


มีการใช้พลซุ่มยิง Sniper ฆ่าประชาชนบนตึกสูงโดยรอบนับหลายสิบตึก ผู้ถูกฆ่าเป็นประชาชน เป็นการเจตนายิงให้ตายเพราะยิงสมองหลุด ยิงหน้าอกกว่า 70%


มีการประกาศ “เขตใช้กระสุนจริง LIFE FIRING ZONE” บนถนนสำคัญจำนวนมากเช่นถนนพระรามที่ 4, ถนนราชปรารภ, ถนนรางน้ำ, ถนนสามเหลี่ยมดินแดง, ถนนสามย่าน, ถนนลุมพินี เป็นต้น


วันสุดท้าย 19 พ.ค. 53 แม้ผู้นำจะยุติการชุมนุมเดินไปมอบตัวและถูกส่งไปควบคุมตัวที่ค่ายตชด.นเรศวร ประจวบคีรีขันธ์ แล้วก็ตาม ยังมีการยิงประชาชนในเขตอภัยทานภายในวัดปทุมวนารามอย่างน้อยก็ 6 ศพ โดยเฉพาะน้องเกต ถูกยิงถึง 11 นัดหลังจากนัดแรกเจาะกะโหลกศีรษะเสียชีวิตแล้วก็ยังยิงซ้ำอีกกว่าสิบนัด ทั้งที่วัดเป็นสถานที่ห้ามฆ่าคน ห้ามฆ่าแม้แต่สัตว์ บางคนกำลังเข้าคิวรอเขาห้องน้ำ บางคนเป็นพยาบาล บางคนเป็นอาสาสมัครช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์หลายคนเป็นประชาชนธรรมดาที่ไม่คิดว่าทหารจะฆ่าคนตามคำสั่งของรัฐบาล ทั้งที่ยุติการชุมนุมไปแล้ว ช่างภาพที่ มีผู้สื่อข่าวที่มีเครื่องหมายชัดเจน ยิ่งเป็นเป้าหมายที่ยิงแบบให้เสียชีวิตเพื่อขัดขวางไม่ให้ปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ ล้วนเป็นการวางแผนฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน เพียงเพื่อรักษาอำนาจของตนไว้ในฐานะนายกรัฐมนตรี และสิ่งนี้เกิดในประเทศไทยซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมา 80 ปีแล้ว ยังไม่มีประชาธิปไตยที่แท้จริงในประเทศไทย มีแต่อำนาจเผด็จการ รัฐประหาร และการฆ่าคนซ้ำแล้วซ้ำอีกเกือบสิบครั้ง  เพราะฆาตกรไม่เคยได้รับโทษทางกฎหมายแต่อย่างใด ไม่เคยต้องรับผิดภายในประเทศ เพราะศาลยอมรับอำนาจของคณะรัฐประหารโดยกล่าวว่า “การรัฐประหารที่ชนะถือเป็นรัฐฎาธิปัตย์” และพวกรัฐประหารสามารถเขียนกฎหมายตามใจชอบ ครั้งสุดท้ายนี้มีทั้งการวางแผนที่พวกเขาอ้างเป็นตำราแห่งความสำเร็จ ในการยกระดับเป็นแบบเรียนทางทฤษฎีในการปราบปรามประชาชนอย่างน่าภาคภูมิใจของพวกเขา เป็นการใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ กระทำกับประชาชนที่รุนแรงกว่าในอดีตทั้งหมด


และนี่จะไม่ใช่เป็นโศกนาฏกรรมครั้งสุดท้ายของประเทศไทย ถ้านายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้รับผิดชอบทางการเมืองและการทหารทั้งหมดไม่ได้รับโทษทางกฎหมายในศาลประเทศไทยหรือในประเทศใด ประชาชนไทยจะต้องถูกฆ่าตามอำเภอใจซ้ำซากไปอีกยาวนาน


อนึ่งในประเทศไทยไม่มีประมวลกฎหมายอาญาใดๆที่จะทำการลงโทษต่อ “การกระทำที่เป็นอาชญากรรมทำลายล้างมนุษยชาติ CRIME AGAINST HUMANITY “อย่างที่ปรากฏในธรรมนูญกรุงโรมแต่อย่างใด จึงต้องพึ่งอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมาย “อาชญกรรมทำลายล้างมนุษยชาติ”ของกรุงโรมแต่เพียงประการเดียวเท่านั้น.


20 มิ.ย. 55


#ICC #ศาลอาญาระหว่างประเทศ #คนเสื้อแดง #ธิดาถาวรเศรษฐ

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์