จับตา!
ศาลจังหวัดปัตตานี นัดพิพากษา “อัสมาดี” นักข่าวพลเมืองชายแดนใต้ถูกฟ้องต่อสู้
ขัดขวางเจ้าพนักงาน ขณะที่ลงไปเก็บข้อมูลทำข่าวการวิสามัญฆาตกรรม 24 ก.พ. 68
เจ้าตัวย้ำสู้คดีจนถึงที่สุด เพื่อยืนยันสิทธิในฐานะนักข่าวพลเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
เมื่อวันที่ 11
- 13 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา
ศาลจังหวัดปัตตานีนัดสืบพยานโจทก์และจำเลย
กรณีที่รัฐฟ้องข้อหาร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่
หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กำลังประทุษร้าย
หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป
ตามมาตรา 83, 138, 140 ประมวลกฎหมายอาญา
และคำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 พ.ศ. 2519
กับ นางแมะดะ สะนิ เป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดาของผู้ตาย
เพื่อจะไปรับศพลูกชายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมในคดีความมั่นคง
นำไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาอิสลาม และนายอัสมาดี บือเฮง เป็นจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนักข่าวพลเมืองและนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
ด้านสิทธิชุมชนและสิ่งแวดล้อม เข้าร่วมสังเกตุการณ์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
เพื่อเก็บข้อมูลของบุคคลที่ถูกวิสามัญฆาตรกรรมในพื้นที่ชายแดนใต้จัดทำเป็นบทความในหนังสือหรือรายงานข่าวต่อไป
โดยคดีนี้จำเลยทั้งสองถูกฟ้องจากเหตุการณ์
เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2566 นางแมะดะ สะนิ
มาดาของผู้ตายที่ถูกเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม และนายอัสมาดี บือเฮง
ร่วมกันต่อสู้หรือขัดขวางการทำงานของเจ้าพนักงาน
กรณีการนำศพของผู้ตายออกจากโรงพยาบาลปัตตานี โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า
ยังไม่ได้ดำเนินการพิมพ์ลายนิ้วมือ และลายมือ เป็นขั้นตอนการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย
เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่าผู้ตายคือใคร ซึ่งเป็นการปฏิบัติการตามหน้าที่
ด้าน
อัสมาดี บือเฮง นักปกป้องสิทธิมนุษยชและนักข่าวพลเมือง
ที่ติดตามประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน และสิ่งแวดล้อม สิทธิทางการเมือง
รวมทั้งการวิสามัญฆาตกรรม ให้สัมภาษณ์หลังการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้วว่า
ตนได้ให้การกับศาลโดยยืนยันว่าที่เกิดเหตุนั้นตนได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าไปสังเกตุการณ์และเก็บข้อมูลบุคคลที่ถูกวิสามัญฆาตกรรมในพื้นที่ชายแดนภาคใต้
เพื่อนำไปจัดทำเป็นบทความข่าว หรือหนังสือที่เกี่ยวข้องต่อไป
ซึ่งตนทำหน้าที่ดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งถูกกล่าวหาและฟ้องเป็นจำเลยในคดีนี้และจะต่อสู้คดีจนถึงที่สุดเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์
ว่าตนไม่ได้กระทำผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใดตามที่ถูกฟ้อง
นอกจากนี้ยังขอย้ำว่าการสื่อสารในพื้นที่ความขัดแย้งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
ซึ่งตนได้ให้การปฏิเสธตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนในทุกข้อกล่าวหาและวันที่เบิกความต่อศาลก็ยังยืนยันข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับที่เคยให้การในฐานะพยานและผู้ต้องหาในชั้นพนักงานสอบสวน
โดยหวังว่ากระบวนการยุติธรรมจะคืนว่ายุติธรรมให้กับตน
“ผมเลือกสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
ทั้งในแง่เจตนาและพฤติกรรม ผมเข้าไปในพื้นที่เพียงเพื่อเก็บข้อมูลสำหรับงานเขียน
ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด
การสื่อสารในพื้นที่ความขัดแย้งอย่างสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความสำคัญมาก
เพราะที่นี่ยังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก
และประชาชนมีสิทธิที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารอย่างครบถ้วนและแม้อยู่ระหว่างการต่อสู้คดีผมก็ยังยืนยันว่าจะยังคงทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองต่อไป
โดยเขียนรายงานเกี่ยวกับปัญหาในพื้นที่ เช่น โครงการพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน
การนำเสนอข้อมูลข่าวสารยังเป็นสิ่งที่ผมยึดมั่น
แม้ต้องเผชิญกับราคาที่ต้องจ่ายก็ตามการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
แต่เพื่อยืนยันว่าการสื่อสารของนักข่าวพลเมืองและประชาชนทั่วไปเป็นสิทธิพื้นฐานที่ควรได้รับการคุ้มครองในระบอบประชาธิปไตย”
อัสมาดีระบุ
ขณะที่
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภาอดีตบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวประชาไท
ได้เดินทางมาเบิกความในฐานะพยานของอัสมาดีเพื่อยืนยันการทำงานของอัสมาดี
ที่ทำหน้าที่นักข่าวพลเมืองให้กับสำนักข่าวประชาไทยมาอย่างต่อเนื่อง
เกี่ยวกับประเด็นปัญหาสิทธิมนุษยชน สิทธิชุมชน สิทธิทางการเมือง ในพื้นที่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
และยืนยันความสำคัญของนักข่าวพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย
เทวฤทธิ์ให้สัมภาษณ์ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมหลังเบิกความเสร็จสิ้นแล้วว่า
อัสมาดีได้อ้างตนเป็นพยานมาตั้งแต่ชั้นพนักงานอัยการเพื่อให้สอบตนในฐานะพยาน
แต่ก็ไม่มีการเรียกตนไปให้การในฐานะพยานแต่อย่างใด
ก็เลยต้องเดินทางมาเบิกความต่อศาลในวันนี้ ซึ่งนอกจากการเบิกความในชั้นศาลที่เกี่ยวข้องกับคดีแล้วตนยังอยากเน้นย้ำถึงความสำคัญในความหมายของ
คำว่า นักข่าวพลเมือง ซึ่งหลายคนอาจไม่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘นักข่าวพลเมือง’
จนกว่าจะได้เผชิญปัญหาโดยตรง เช่น
โครงการพัฒนาที่รุกล้ำพื้นที่ชุมชนหรือการเวนคืนที่ดิน เมื่อปัญหาเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำเสนอโดยสื่อกระแสหลัก
ประชาชนในพื้นที่ก็จะลุกขึ้นมาสื่อสารเองผ่านโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น Facebook หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ แต่ปัญหาคือคนเหล่านี้ไม่ได้รับการคุ้มครอง
หากเกิดผลกระทบจากการสื่อสารของพวกเขา”
เทวฤทธิ์ชี้ว่า
แม้กระทั่ง อัสมาดี ผู้ถูกดำเนินคดีในประเด็นการสื่อสาร
ก็ไม่ได้เป็นเพียงประชาชนธรรมดา แต่มีทักษะด้านการเขียนและการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม
สิทธิในการแสดงออกและการสื่อสารไม่ควรถูกจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการสื่อสารโดยไม่ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ
เราต้องพึ่งพานักข่าวพลเมืองเหล่านี้ในการดึงประเด็นจากพื้นที่จริงเข้าสู่การรับรู้ของสาธารณะ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศการสื่อสาร
แต่ปัจจุบันวัฒนธรรมไทยยังยึดติดกับความคิดที่ว่านักข่าวต้องมีบัตรประจำตัว
ต้องสังกัดองค์กร ซึ่งไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง
เทวฤทธิ์ยังมีความกังวล
ว่า การฟ้องคดีกับนักข่าว หรือ นักข่าวพลเมือง
จะส่งผลให้พื้นที่ของนักข่าวพลเมืองในการรายงานประเด็นร้อนหรือพื้นที่ความขัดแย้งหดเล็กลง
เป็นการปิดกั้นการสื่อสารของประชาชน ทำให้หูตาของสังคมลดน้อยลง
เทวฤทธิ์ยังกล่าวถึงความสำคัญของเสรีภาพในการแสดงออกที่ได้รับการรับรองในระดับสากล
โดยชี้ว่า
องค์การยูเนสโกได้ยืนยันสิทธินี้เพราะมันคือรากฐานของความก้าวหน้าในด้านการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม นอกจากนี้ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มาตรา 19 ยืนยันสิทธิในการพูดและแสดงความคิดเห็น
และรัฐธรรมนูญไทยปี 2560 มาตรา 34 ก็รองรับสิทธิในการสื่อสาร
แต่ในทางปฏิบัติ คนที่ทำหน้าที่รายงานข่าวกลับต้องเผชิญคดีความ
การไม่รับรองสิทธิเหล่านี้จะส่งผลต่อความโปร่งใส และการตรวจสอบอำนาจในสังคม”
”การดำรงอยู่ของนักข่าวพลเมืองเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตย
และหากพื้นที่นี้ถูกทำให้แคบลง
จะกระทบต่อศักยภาพของสังคมในการมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการตัดสินใจอย่างสมดุล
ข้อมูลข่าวสารเป็นน้ำทิพย์ที่ช่วยหล่อเลี้ยงประชาธิปไตย หากสังคมไทยละเลยสิ่งนี้
เราจะสูญเสียความโปร่งใสและความเป็นธรรมในการใช้อำนาจ“ เทวฤทธิ์ระบุ
ด้านปรานม
สมวงศ์ จากองค์กร Protection
International ซึ่งได้ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด
กล่าวว่า"นักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักข่าวพลเมืองอย่างอัสมาดีมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบอำนาจรัฐและนำเสนอความจริงในพื้นที่ความขัดแย้ง
สิทธิของพวกเขาได้รับการรับรองตามปฏิญญาว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชนปี 2541
ซึ่งกำหนดให้รัฐมีหน้าที่คุ้มครองผู้ที่ทำงานเพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีของทุกคน
เหตุการณ์ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
เช่น กรณีตากใบ ได้สร้างคำถามต่อความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
หลังเกิดการใช้ความรุนแรงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้
ครอบครัวผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิตยังไม่ได้รับความเป็นธรรม
เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคดีนี้จะเป็นโอกาสเล็กๆในการสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน
ทั้งนี้
เราขอย้ำว่าการพิจารณาคดีควรยึดหลักสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธิ์ (Presumption of
Innocence) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการยุติธรรม
และเป็นการตอกย้ำถึงสิทธิมนุษยชนและความยุติธรรมในระบอบประชาธิปไตย
เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับทุกฝ่ายอย่างแท้จริง"
ด้านอธิวัฒน์
เส้งคุ่ย
ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและทนายความของอัสมาดีกล่าวสรุปคดีหลังสืบพยานเสร็จสิ้นแล้วว่า
คดีนี้มีการสืบพยานฝ่ายจำเลย 2 ปาก คือ คุณอัสมาดี และคุณ เทวฤทธิ์ มณีฉาย
อดีตบรรณาธิการบริหารสำนักข่าวประชาไท และปัจจุบันเป็นสมาชิกวุฒิสภา
เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าการกระทำของคุณอัสมาดีว่า
ปฏิบัติหน้าที่นักข่าวพลเมืองในวันดังกล่าวซึ่งย่อมไม่เป็นความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด
โดยที่ในคดีดังกล่าวนี้ คุณอัสมาดีได้ แสดงความบริสุทธิ์มาตั้งแต่ในชั้นพนักงานสอบสวนที่เรียกไปให้การในฐานะพยาน
จนกระทั่งพนักงานสอบสวนมีหมายเรียกให้ตกเป็นผู้ต้องหาเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาตามที่ฟ้องในคดีนี้
โดยที่คุณอัสมาดียังยืนยันและให้การเหมือนเดิมถึงเจตนาที่ต้องเดินทางไปในวันกล่าวเพื่อทำหน้าที่ของนักข่าวพลเมือง
ทั้งนี้พยานโจทก์ที่กล่าวหาคุณอัสมาดีเงื้อมมือจะตบเธอในชั้นพนักงานสอบสวนแต่เมื่อมาเบิกความต่อศาลกลับได้ข้อเท็จจริงว่าบุคคลที่เงื้อมมือจะตบเธอไม่ใช่อัสมาดีเธอจำผิดคน
รวมทั้งพยานที่นำส่งศพผู้ตายไปยังที่โรงพยาบาลจังหวัดปัตตานีไม่ได้มีหน้าที่ในการชันสูตรพลิกศพแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ชัดเจนเป็นคลิปวิดีโอที่บันทึกเหตุการณ์วันเกิดเหตุไว้ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัสมาดี
ไม่ได้กระทำการใดๆที่เข้าข่ายตามพฤติการณ์ที่ถูกฟ้องแต่อย่างใด
ท้ายสุดนี้
คดีนี้อัสมาดี ยังเชื่อว่ากระบวนการยุติธรรมจะคืนความบริสุทธิ์ให้กับเขา
และคดีนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นในการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่
และกระบวนการยุติธรรม ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้
เพื่อร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมต่อไป
โดยคดีนี้ศาลจังหวัดปัตตานีนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568
เวลา 10.00 น.
#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #นักข่าวพลเมือง