วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2567

“รอมฎอน” ชี้มาเลเซียตั้ง “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนเป็นโอกาสไทยผลักดันวาระสันติภาพ เสียดาย “แพทองธาร” พบผู้นำมาเลทั้งทีกลับไร้ท่าทีแข็งขันตอบรับกระบวนการสันติภาพ

 


“รอมฎอน” ชี้มาเลเซียตั้ง “ทักษิณ” เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนเป็นโอกาสไทยผลักดันวาระสันติภาพ เสียดาย “แพทองธาร” พบผู้นำมาเลทั้งทีกลับไร้ท่าทีแข็งขันตอบรับกระบวนการสันติภาพ


วันที่ 16 ธันวาคม 2567 รอมฎอน ปันจอร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ให้ความเห็นต่อกรณีการเยือนและพบปะกับผู้นำมาเลเซียของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ระหว่างวันที่ 15-16 ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา


รอมฎอนระบุว่าการเยือนมาเลเซียของนายกรัฐมนตรีเป็นกรณีที่ประชาชนในพื้นที่มีการติดตามอย่างใกล้ชิดว่าจะมีการพูดคุยหารือเกี่ยวกับกระบวนการสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ แม้ว่าวาระหลักจะเป็นการเยือนอย่างเป็นทางการหลังเข้ารับตำแหน่ง และการสานต่อความร่วมมือในทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศ แต่ความร่วมมือในมิติด้านความมั่นคงและสันติภาพ ซึ่งทั้งสองประเทศมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมาอย่างต่อเนื่องก็ไม่อาจเป็นที่ละเลยได้


แม้ข่าวประชาสัมพันธ์ที่มีการแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชนไทยจะเน้นหนักไปที่ความร่วมมือในทางเศรษฐกิจ แต่ในการแถลงข่าวและในคำแถลงที่เป็นทางการนั้น ก็ปรากฎว่ามีประเด็นการพูดคุยเพื่อสันติภาพในฐานะที่เป็นความร่วมมือด้านความมั่นคงสำคัญของทั้งสองประเทศด้วย และยังเห็นได้ชัดจากภาพที่ปรากฎระหว่างการแถลงข่าว ว่านายกรัฐมนตรีมาเลซีย อันวาร์ อิบราฮิม ได้ไล่เรียงความสำคัญของประเด็นความร่วมมืออย่างน่าสนใจ โดยกล่าวถึงความสำคัญของการพูดคุยสันติภาพเพื่อคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมทั้งสนับสนุนการแสวงหาข้อตกลงเกี่ยวกับแผนสันติภาพ หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) อีกทั้งยังระบุในการแถลงข่าวร่วมกันว่าตัวเขาเองได้เน้นย้ำกับผู้นำของประเทศไทยหลายคนก่อนหน้านี้ โดยเชื่อว่าสันติภาพและการพัฒนานั้นจะนำพาทั้งชายแดนใต้ของไทยและรัฐทางเหนือของมาเลเซียให้พัฒนาไปร่วมกันได้


รอมฎอนกล่าวต่อไปว่าจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในระหว่างการแถลงข่าว นายกรัฐมนตรีไทยกลับไม่ได้กล่าวตอบรับถึงประเด็นนี้เท่าไหร่ ทั้งที่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเป็นเจ้าของปัญหาและความท้าทายนี้โดยตรง อีกทั้งยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงภาวะผู้นำให้รัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านมั่นใจได้ว่าความไม่สงบที่เกิดขึ้นจะได้รับความใส่ใจที่มากพอ เพื่อที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างสันติภาพและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน อันถือเป็นวิสัยทัศน์ร่วมกันระหว่างสองประเทศ


ในถ้อยแถลงที่เผยแพร่ต่อสื่อมวลชนของทางการมาเลเซียยังได้ระบุสาระสำคัญข้างต้นเอาไว้ พร้อมทั้งให้รายละเอียดด้วยว่าผู้นำของทั้งสองประเทศได้มีการหารือกันถึงพัฒนาการในเชิงบวกของกระบวนการสันติภาพ และร่วมแสดงความยินดีในการเข้าทำหน้าที่ของ ดาโต๊ะ ฮัจญี มูฮัมหมัดรอบิน บิน บาชีร ผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพคนใหม่ ซึ่งเริ่มงานมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2567 


อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของทางการไทยเอง กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแต่งตั้งคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ชุดใหม่ เพื่อทำหน้าที่สานต่องานพูดคุยเพื่อสันติภาพ ทำให้การเยือนในครั้งนี้รัฐบาลไทยไม่อาจส่งสัญญาณที่เป็นบวกให้กับความร่วมมือในมิตินี้ได้


รอมฎอนกล่าวต่อไปว่าการเดินทางเยือนเพื่อแนะนำตัวหลังเข้ารับตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไทยอย่างน้อยสองคนก่อนหน้านี้ เป็นการเดินทางไปพร้อมกับการยืนยันหนักแน่นต่อมาเลเซียว่ารัฐบาลไทยยังคงมุ่งมั่นแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยด้วยแนวทางสันติวิธี และเน้นไปที่การพูดคุยและเจรจา 


ในรัฐบาลหลังการรัฐประหาร การเยือนมาเลเซียอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2557 ก็มาพร้อมกับการแนะนำหัวหน้าคณะพูดคุยฯ คนใหม่ในขณะนั้น คือ พล.อ.อักษรา เกิดผล ซึ่งเพิ่งแต่งตั้งก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ในขณะที่การเยือนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2566 แม้จะไม่มีความคืบหน้าในการสานต่อการพูดคุย แต่อดีตนายกรัฐมนตรีก็ได้ลงนามแต่งตั้งคณะพูดคุยฯ ชุดใหม่ในวันเดียวกันกับการพบปะกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียอย่างเป็นทางการอีกครั้งที่ด่านชายแดนสะเดาเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566


รอมฎอนกล่าวว่าทั้งสองกรณีถือเป็นตัวอย่างของผู้นำประเทศที่จะส่งสัญญาณทางการเมืองสำคัญให้กับทางการมาเลเซีย อีกทั้งยังเป็นการยืนยันว่ารัฐบาลไทยใส่ใจและทรงอำนาจในการริเริ่มในการแก้ไขปัญหาของตัวเอง แต่ท่าทีและท่วงทำนองที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับกลายเป็นว่าบทบาทในการผลักดันสำคัญกลับอยู่ที่ผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านอย่างน่าเสียดาย


นายกรัฐมนตรีปล่อยให้โอกาสในการแสดงภาวะผู้นำและแสดงความมั่นใจต่อความร่วมมือของสองประเทศในประเด็นสำคัญต้องหายไป ทั้งที่การพูดคุยเพื่อสันติภาพระหว่างรัฐบาลไทยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น โดยมีรัฐบาลมาเลเซียเป็นคนกลางที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกนั้น ถือเป็นมรดกทางการเมืองสำคัญของร้ฐบาลภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผู้ที่มีบทบาทอย่างสำคัญในการประสานงานและทำให้ช่องทางการพูดคุยด้วยแนวทางสันตินี้เป็นไปได้ ก็คืออดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร


รอมฎอนกล่าวต่อไปว่าอย่างไรก็ตาม การประกาศแต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณและอดีตผู้นำของประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่ปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการของประธานอาเซียนในวันนี้ ถือเป็นการส่งสัญญาณของมาเลเซียว่าในฐานะประธานอาเซียนปีหน้า รัฐบาลมาเลเซียอยากเห็นความร่วมมือและการสนับสนุนจากประเทศเพื่อนบ้านในการบรรลุถึงปัญหาความท้าทายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นอนาคตของเมียนมา วิกฤตการณ์ในทะเลจีนใต้ การเข้าเป็นสมาชิกของติมอร์เลสเต้ และสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย 


ซึ่งประเทศไทยก็ควรที่จะได้ใช้โอกาสที่อดีตนายกรัฐมนตรีกำลังจะมีบทบาทสำคัญนี้ ในการผลักดันวาระสันติภาพร่วมกับประเทศอาเซียนในประเด็นต่างๆ ต่อไปในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตามการที่นายกรัฐมนตรีไทยในการเยือนมาเลเซียครั้งนี้กลับไม่ได้แสดงท่าทีอย่างหนักแน่นที่จะตอบรับหรือสานต่อความคืบหน้าในกระบวนการพูดคุยสันติภาพ ปล่อยให้เป็นเวทีการแสดงท่าทีของผู้นำมาเลเซียเป็นส่วนใหญ่นั้น นับเป็นการสูญเสียโอกาสที่สวนทางกับโอกาสที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยได้รับในครั้งนี้เป็นอย่างยิ่ง


“การเงียบเสียงและไม่ใส่ใจในประเด็นของตัวเองเป็นการสูญเสียโอกาสอย่างสำคัญของผู้นำประเทศ แต่ภายในเวลาที่พอจะมีอยู่นี้ รัฐบาลแพทองธารควรแสดงความใส่ใจต่อปัญหาความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ การปรับตัวเพื่อเตรียมรับมือกับความท้าทายหลากหลายนั้นเกิดขึ้นแล้วจากประเทศเพื่อนบ้านของเรา ประเทศไทยควรมีความพร้อมมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้” รอมฎอนกล่าว


#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #พรรคประชาชน #สันติภาพ #มาเลเซีย