“อ.ธิดา” มองว่าขณะนี้ “ณัฐวุฒิ” ได้ถอดเสื้อและสิ่งที่สวมว่าเป็น “นักต่อสู้”
ออกไปแล้ว มีเส้นแบ่งชัดเจน ก็ไปเถอะ ไปดี
จากรายการ
สภาภาษาคน EP48
ตอน “เต้นกลับลำ”
ทางช่อง
Friends Talk
เมื่อวันที่
8 ต.ค. 67
กรณี “ณัฐวุฒิ” คำไหนเหมาะสมที่สุด ระหว่าง “กลับกลอก -
กลับลำ - ตระบัดสัตย์”
แหมอาจารย์เองพูดกันตรง
ๆ ว่าเราเคยอยู่กันมา มันก็มีความผูกพันกัน อาจารย์ก็พูดตรง ๆ ว่าไม่อยากด่า
คือเราเข้าใจเขา อย่างที่อาจารย์พูดนะว่าอันนี้ให้มันเป็นเรื่องของโพลก็แล้วกัน
สำหรับอาจารย์มองว่าในที่สุดเขาก็ต้องมาทางนี้
แต่ว่ามันก็ต้องมีช่วงเวลาของการแสดงเป็นฉาก ๆ ๆ ฉากไหนจะมีการแสดงแบบไหน
แต่เอาเข้าจริงด้านหลักของเขาก็คือการเป็นนักการเมือง
ถ้าคุณเป็นนักการเมืองคุณจะไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ก่อนหน้านี้ที่บอกว่า “ต่อต้านเผด็จการ”
อันนั้นมันเป็นคำขวัญหรือเป็นเป้าหมายของประชาชน แต่สำหรับนักการเมือง ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร
ก็เขาบอกแล้ว เหมือน “สามก๊ก” เขาจะไปจับมืออะไรก็ได้
พรรคเพื่อไทยต้องการเป็นรัฐบาล และวิญญาณของนักการเมือง ในทัศนะอาจารย์
มันอยู่ในร่างกายของคุณณัฐวุฒิมากกว่านักต่อสู้
เพราะฉะนั้น
สิ่งที่เขาทำก็เหมือนนักการเมืองอื่น “ไล่หนูตีงูเห่า”
ที่คุณหมอเหวงพูดเขาก็พูดกันทั้งพรรคนั่นแหละ “ไม่เอาสองลุง” เขาก็พูดกันทั้งพรรค แต่เนื่องจากอดีตของคุณณัฐวุฒิในฐานะที่เขาเป็นนักต่อสู้
มันยังทำไม่ได้ ยังไม่สามารถกลับลำ กลับกลอก หรืออะไรต่าง ๆ ที่คุณพูด ตระบัดสัตย์
อะไรเนี่ย เขาไม่สามารถทำได้ทันที มันต้องมีช่วงเวลาหนึ่งหลังจากนั้น
แต่เราจะมาดูว่าแก่นของคนเป็นนักต่อสู้ หรือแก่นของคนเป็นนักการเมือง
อาจารย์เคยบอกว่า
บางเวลาอะไรเป็นด้านหลัก ก่อนหน้านี้ในอดีตในฐานะเป็นนักต่อสู้เป็นด้านหลัก
แต่ว่าแก่นแท้ ๆ จริง ๆ นักการเมืองเป็นด้านหลักหรือเปล่า?
ถ้านักการเมืองเป็นด้านหลัก เขาก็ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร การกลับกลอก กลับลำ
หรือกระทั่งตระบัดสัตย์
เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับนักการเมืองที่ไม่ใช่เป็นนักการเมืองที่ก้าวหน้า
ที่เป็นฝ่ายประชาชน คือคุณจะจับมือกันเพื่อเป็นรัฐบาล แปลว่ามันจะเป็นลิงค่างบ่างชะนีหรืออะไร
หรือเป็นยักษ์ขีอะไร ๆ มันก็ได้ทั้งนั้นถ้าเป็นรัฐบาลได้
อย่างที่บอกก็คือ
ตอนไปจับกับก้าวไกล ก็ไม่ได้ อาจารย์ไม่ได้ฟังเรื่องส่องกระจกนะ
แต่ฟังตอนที่ว่าคุณณัฐวุฒิเขาพูดว่า เขาคิดว่าถ้าเว้น 10 เดือน
เกมการเมืองจะเปลี่ยนไปอีกแบบหนึ่ง อันนี้ก็มีสิทธิ์ที่เขาจะคิด มันก็เป็นไปได้ อาจารย์จะมองคุณณัฐวุฒิอย่างความเป็นจริง
เขาจะโกรธหรือเปล่าก็ไม่รู้จะว่าไง? เพราะว่าจนป่านนี้เราก็ต้องพูดความจริง
ถ้าเราไม่พูดความจริงเราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือกันโกหกคน ดังนั้นเราก็จะมองจริง
ๆ ว่าขณะนี้ตัวแก่นแท้ของเขาก็คือนักการเมือง เป้าหมายเขาก็คือนักการเมือง
เรื่องของนักต่อสู้มันกลายเป็นเรื่องอดีต
ถ้าคุณจำที่คุณทักษิณพูดว่าผมอยู่กับปัจจุบันและอนาคต อาจารย์ก็เคยบอกว่า “ถ้าเขาลืมอดีตของคนที่เป็นศัตรูเขาได้
เขาก็ต้องลืมอดีตของคนที่เคยเป็นมิตรกับเขาได้ด้วยเหมือนกัน”
หรือแม้กระทั่งคนที่ยอมตาย ซากศพทั้งหลาย เขาก็ลืมได้เหมือนกัน นี่แหละเป็นวิญญาณของนักการเมืองที่ต้องมองไปข้างหน้า
เพราะฉะนั้น
อาจารย์มองว่าขณะนี้คุณณัฐวุฒิได้ถอดเสื้อและได้ถอดกระทั่งส่วนที่สวมเป็นนักต่อสู้ออกไป
เรามองเห็น เขาก็ตรงไปตรงมานะ ที่เขาบอกเขาไม่ไปอยู่ข้างหลัง เพราะขณะนี้เท่ากับเขาแสดงออกว่าเขาคือนักการเมือง
ถ้าจะบอกว่าเป็นนักต่อสู้ คุณข้ามเส้นได้ไง? แล้วที่คุณพูดมา
คุณรับผิดชอบคำพูดมั้ย? กับประชาชน ปลุกคนเป็นล้าน ๆ ให้มาต่อต้านเผด็จการ
แล้วตอนนี้คุณไปจับมือกับเผด็จการเฉย เขาบอกว่าเขาไม่ทำแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ
แปลว่าเขาแสดงตัวตนที่แท้จริงในฐานะนักการเมืองออกมา
ใครที่มุ่งหวังจะเห็นภาพเขาเป็นฮีโร่ของนักต่อสู้
แน่นอนก็ต้องผิดหวัง แต่นี่คือความจริงไง! เขาก็แสดงออกมาอย่างนี้
ถ้าเป็นนักการเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร แต่ถ้าเป็นนักต่อสู้ เรามีเลย
ก็คือว่าใครที่เป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจประชาชน นั่นคือศัตรู และมันเป็นศัตรูถาวรด้วย
ก็คือพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อเส้นทางการที่เราต้องการให้อำนาจประชาชนคืนมา
นี่ยังไม่ใช่การ “ปฏิวัติ” เป็นแต่เพียงว่าเป็นการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตย
ถ้าเราถือว่านี่เป็นระบอบประชาธิปไตย
การต่อสู้ของประชาชนเพื่อให้ได้อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนจริง
นี่ไม่ใช่การปฏิวัติ
แต่ถ้านี่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อาจจะบอกว่าเป็นการปฏิวัติก็ได้ เพราะการปฏิวัติคือการเปลี่ยนระบอบ
แต่นี่เราถือว่าอยู่ในระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น
ใครที่ขัดขวางไม่ให้อำนาจคืนมาเป็นของประชาชน มันก็อยู่ในเขตแดนของฝั่งที่ต้องการยึดครองอำนาจเอาไว้ตามเดิม
มันก็มีเส้นแบ่ง เส้นแบ่งมันชัดเจน แต่เขายอมรับว่าเขาข้ามเส้นไปแล้ว ก็ไปเถอะ
ก็ไปดี ถ้ากลับมานะ อาจารย์ธิดาก็ไม่ว่าอะไรนะ ถ้าไปโดนหวดโดนอะไรกลับมา
ก็ไม่มีปัญหา เพราะประชาชนยังยินดีต้อนรับ แต่ถ้าคุณข้ามไปแล้ว
เราไม่รู้ว่าฝั่งอำมาตย์ยินดีต้อนรับเขาหรือเปล่า? ไม่รู้ว่าจะโดนอะไร?
ถ้าเราคิดว่าเขาไม่ใช่นักต่อสู้จริง
เราก็ไม่แปลก การที่เขาออกมาครั้งนี้ คือครั้งแรกบอกว่าข้ามไปไม่ได้ด้วยกัน
ยังขออยู่ฝั่งนี้ แต่พอมาอยู่สักปีตอนนี้บอกจะข้ามไปด้วย นั่นคือปรากฏการณ์
แต่ไม่รู้ข้ามไปด้วยถึงไหน? ทั้งพรรคเพื่อไทย รวมทั้งบุคคล
อาจารย์ดูแล้วมันอาการหนักร่อแร่ทั้งหมด ตั้งแต่คุณทักษิณ คุณอุ๊งอิ๊ง หรืออะไร
ไปได้แค่ไหน เพราะว่าคุณต้องรู้ว่าในประเทศนี้หรือแม้กระทั่งที่ไหน
ฝ่ายจารีตกับเผด็จการอำมหิตนะ แล้วเขาไม่ได้รักพวกคุณหรอกนะ แต่มันเป็นความจำเป็น
เขาก็คงคิดเหมือนสามก๊กพวกคุณนั่นแหละ
แต่สามก๊กหมายถึงว่ามันไม่มีเรื่องของการต่อสู้ในความเป็นจริงอย่างนี้นะ
อันนั้นมันเป็นการแย่งอำนาจระหว่างเจ้า แล้วคุณเป็นเจ้ากับเขาด้วยเหรอ?
แต่นี่มันเป็นเรื่องประชาชนต้องการอำนาจคืนมา ดังนั้นมันมีการแบ่งฝ่ายชัดเจน
การที่เขาผ่านเวลาไปประมาณหนึ่งปี
แล้วก็ขอไปด้วยคน
ก็ต้องเข้าใจได้ว่านี่คือเขาก็จะโค้งคารวะบอกผมเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้วนะ