“หมอเหวง” บอก “เต้น” แก่นของมนุษย์มีเรื่องเดียว คือความจริงใจต่อตัวเอง ถ้ามนุษย์ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง จบ!!!
จากรายการ
สภาภาษาคน EP48
ตอน
“เต้นกลับลำ”
ทางช่อง
Friends
talk
เมื่อวันที่
8 ต.ค. 67
ความรู้สึกที่ได้ชม “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกรายการ
กรรมกรข่าวคุยนอกจอ ของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา เมื่อเช้า (8 ต.ค. 67)
เมื่อเช้านี้ต้องเรียนตรง
ๆ ว่าผมตรวจคนไข้อยู่ เพราะฉะนั้นผมมีโอกาสดูนิดหน่อย แวบเดียว
แต่แวบเดียวนั้นมันแทงหัวใจผมอย่างรุนแรงเลย
หลังจากนั้นเป็นต้นมาผมก็พยายามหาเวลาว่างอ่านที่สื่อเขาลงเกี่ยวกับคำให้สัมภาษณ์ของคุณณัฐวุฒิผ่านรายการของสรยุทธ
ผมจับเนื้อหาใหญ่ ๆ ได้แค่ 3 เนื้อหาเท่านั้นเอง
ซึ่งอาจจะมีเนื้อหามากกว่านั้นเยอะ
เรื่องแรกที่แทงใจดำผมเลยก็คือว่า
สรยุทธเขาถามว่า แล้วคุณจะมองคนอื่นยังไง? คุณณัฐวุฒิเขาตอบ
ซึ่งเป็นการตอบของนักโต้วาที นักวาทะศิลป์ เขาต้องพยายามที่จะตอบในลักษณะที่โน้มน้าวจูงใจผู้คนให้เห็นวาเขาเด่น
เก่ง ยอดเยี่ยม มีอุดมการณ์ เขาบอกว่าตอนตื่นเช้าเลยเขาต้องจ้องกระจกก่อน
ถ้าหากว่าเขาสามารถจ้องตาในกระจกได้ เขาก็สามารถที่จะไปจ้องตาคนอื่นได้ ใช่ครับ
คุณเต้นครับ คุณลืมแล้วหรือว่าแก่นของมนุษย์มีเรื่องเดียวนะ ก็คือความจริงใจต่อตัวเอง
ถ้ามนุษย์ไม่มีความจริงใจต่อตัวเอง จบ!!!
ผมถามว่าแล้ววันนั้นคุณไปปราศรัย
“ไล่หนูตีงูเห่า” หมายความว่าไงครับ? แปลว่าสิ่งที่คุณพูดเป็นละครเหรอ?
เป็นสิ่งที่โกหกพกลมเหรอ? ผมว่าเรื่องนี้สำหรับผมนะ คุณเต้นจะคิดยังไงผมไม่รู้?
สำหรับผม ประชาชนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวทีเลือกตั้งเป็นเวทีที่คุณจะต้องให้สัญญาประชาคมกับประชาชนว่า
ภายหลังจากการเลือกตั้งทำไมจะต้องเลือกคุณ เพราะว่าคุณมีสัญญาประชาคมนี้
เลือกคุณแล้วจากนั้นคุณต้องเอาสัญญาประชาคมมาทำ “ไล่หนูตีงูเห่า”
อยู่ที่ไหนครับคุณเต้นครับ เวลาคุณจ้องนัยน์ตาของคุณในกระจก คุณเห็นมั้ย
คำพูดของคุณ “ไล่หนูตีงูเห่า”
และไม่เพียงแต่
“ไล่หนูตีงูเห่า” นะ คำอภิปรายที่เขาสับโขลก ประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ประยุทธ์
จันทร์โอชา ผมไม่ได้ชอบสองคนนี้นะ แต่ผมก็ตามการปราศรัยของเขามาหลาย ๆ
ครั้งเหมือนกัน ในคำปราศรัยของเขาต้องยอมรับว่าคุณณัฐวุฒิเป็นคนที่มีการปราศรัยเก่งมาก
ในการปราศรัยหลาย ๆ ครั้งมีคนชมเป็นล้าน อย่างน้อยที่สุดที่ผมติดตามดูน่าจะระดับ
10 ครั้ง เขาเอาประวิตร วงษ์สุวรรณ กับ ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาล้อเลียน เยาะเย้ย
เสียดสี ถากถาง ราวกับว่าไม่ใช่คนเลย กลับไปดูซิครับ แล้วคุณณัฐวุฒิครับ
คุณลืมแล้วหรือสิ่งที่คุณปราศรัยหลาย 10 เวทีที่คุณพูดถึงประยุทธ์-ประวิตร
คุณลืมแล้วหรือ คุณมีความจริงใจต่อตัวคุณเองหรือเปล่า
อย่าไปพูดถึงความจริงใจต่อประชาชนเลย
ข้อแรกผมไม่เข้าใจว่าคุณจริงใจต่อตัวคุณเองหรือเปล่า
ถ้าให้ผมตอบนะ ถ้าผมเป็นครูหรือเป็นคนที่ตอบนะ ผมว่าคุณไม่จริงใจต่อตัวคุณเองหรอก
เพราะคุณบอกว่า “ไล่หนูตีงูเห่า” แล้ววันนี้คุณยังไปจับมือนั่งใกล้ชิดกับคุณอนุทิน
แล้วไปทำงานร่วมกับพวกนี้ ถึงจะไม่มีคุณประยุทธ์อยู่ ไม่มีคุณประวิตรอยู่
แต่พวกนี้เป็นเงาทาบอยู่ตลอดเวลา พลังประชารัฐหรือรวมไทยสร้างชาติก็ดี มันทอดเงามีเงาทับของประยุทธ์
จันทร์โอชา กับมีเงาทับของประวิตร วงษ์สุวรรณ แล้วอยู่ตรงไหนครับที่คุณปราศรัยในลักษณะที่ด้อยค่าเขาแทบจะไม่ใช่เป็นมนุษย์เลย
แล้วคุณจริงใจกับคำปราศรัยคุณหรือเปล่า? วันที่คุณพูดกับประชาชน
ถ้าคุณไม่จริงใจกับคำปราศรัยของคุณ แปลว่าคุณไม่จริงใจต่อตัวคุณเอง
คุณทำทีเป็นพูดหรูเลยนะ คือเขามีความสามารถในการใช้ภาษาหรู
เพราะว่าเขาผ่านจากการเคี่ยวกรำในเวทีโต้วาทีมัธยมมา เขาสามารถที่จะคิด
ทำยังไงพูดให้หล่อ พูดให้หรู
“ผมจ้องตาผมในกระจกได้
ผมก็จ้องตาคนทั่วทั้งประเทศได้” คุณจำได้หรือเปล่าว่าคุณไป “ไล่หนูตีงูเห่า”
แล้ววันนี้คุณไล่หนูมั้ย? คุณตีงูเห่ามั้ย? วันนี้คุณจริงใจกับตัวคุณเองหรือเปล่า
ผมว่ามันไม่ถูกครับ ผมไม่เห็นด้วยครับ ผมว่ามนุษย์นะสิ่งแรกสุดคุณต้องจริงใจต่อตัวเอง
นี่คือข้อที่ 1
ประเด็นที่
2 คุณบอกว่าคุณยอมกลืนน้ำลาย ยอมกลืนเลือด ฟังดูแล้วมันหรูหรามากเลย
เป็นคนเสียสละมหาศาลมากเลยนะ ความขมขื่นทั้งมวลในโลกพร้อมที่จะกลืนไปในร่างกายของฉันเพื่อทำประโยชน์ให้กับสังคม
ดูราวกับตัวคุณณัฐวุฒิเป็นพระเยซู ยอมตรึงกางเขนเพื่อล้างบาปคนทั้งโลก
ไม่ใช่เลยครับ
มันไม่ใช่กลืนน้ำลาย คือคุณหาช่องทางที่จะกลับมาเป็นนักการเมืองเท่านั้นเอง
หาช่องทางที่จะกลับมาทำงานในพรรคเพื่อไทยเท่านั้นเอง ที่คุณบอกว่าคุณกลืนน้ำลาย
กลืนเลือด เพื่อให้เป็นประโยชน์ คือสิ่งที่คุณณัฐวุฒิพูดกับคุณสรยุทธในวันนี้นะ
ผมไม่เห็นประชาชนอยู่ในคำพูดของเขา ไม่มีวิญญาณของประชาชนอยู่ในการสนทนานั้นเลย
คุณกลืนน้ำลายกลืนเลือด กลืนอะไรครับ คือกลืนน้ำลายเหม็น ๆ
ของคุณใช่มั้ยที่คุณพูดออกไป กลืนเลือด คือความขมขื่น ความขมขื่นอยู่ตรงไหนครับ
ผมไม่เห็นความขมขื่นอะไรเลย วันนี้พรรคเพื่อไทยก็ไม่มีความขมขื่นอะไร
พรรคเพื่อไทยสมปรารถนาแล้วในการที่ย้ายข้างสลับขั้ว ข้ามขั้วตระบัดสัตย์ สำหรับผม
ผมพูดไปหลายครั้งแล้ว ผมก็ยังยืนยันว่าขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เปลี่ยนสีแปรธาตุเป็นพรรคขวาไปแล้ว
นี่คือเรื่องที่ 2
เรื่องที่
3 ที่เขาบอกว่า การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ ถูกต้องครับ
ผมเห็นด้วยกับคุณเลย แต่สำหรับประชาชนและนักสู้ของประชาชน การจัดสรรอำนาจก็คือหมายความว่าประชาชนต้องแย่งยึดอำนาจมาจากพวกที่ปล้นอำนาจของประชาชนไทยไป
พวกที่ปล้นอำนาจของประชาชนไทยไปคือคณะรัฐประหารไงครับ
ขณะนี้พรรคเพื่อไทยก็ไปร่วมมือกับพวกพรรคของคณะรัฐประหาร
มันไม่ใช่เรื่องการจัดสรรอำนาจเลย คือคุณกำลังเดินเข้าไปสู่ขั้วที่ปล้นอำนาจจากประชาชนไป
แล้วคุณก็ผสมกลมกลืนกับพวกเขา
เพราะฉะนั้น
ไม่ใช่เรื่องการจัดสรรอำนาจ คุณอย่าไปอธิบายอย่างนี้เลยว่า “เป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจ
เวลานี้ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าสถานการณ์ที่เป็นจริง” สถานการณ์ที่เป็นจริงวันนี้ก็คือ
ฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายที่ไปผสมโรงกับฝ่ายขวาจัด อีกฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะยืนหยัดอุดมการณ์ประชาธิปไตยประชาชนในทุกเรื่อง
ผมไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองพรรคไหน
ผมไม่ได้ไปคลั่งไคล้พรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งเป็นการเฉพาะ
แต่ผมยึดหลักอุดมการณ์ ก็คือประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
อำนาจสูงสุดของประเทศนี้ต้องเป็นของประชาชนทั้งหลาย
ไม่ใช่เป็นของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจ
ที่คุณพูดเท่ากับสะท้อนออกเหมือนกันนะ
พยายามพูดดูหรู การเมืองในขณะนี้คือการจัดสรรอำนาจ จัดสรรอำนาจระหว่างใครกับใคร?
มันไม่มีแล้ว มันเป็นเรื่องที่พวกยึดอำนาจพยายามหาวิธีการในการสถาปนาอำนาจตัวเองให้แข็งแรงขึ้นโดยสมรู้ร่วมคิดกับพรรคเพื่อไทย
คุณก็รู้อยู่แล้ว มันไม่เรื่องการจัดสรรอำนาจ
เป็นเรื่องที่คุณตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปร่วมกับพรรคขวาในการที่จะแชร์อำนาจกัน
ส่วนคำถามที่ว่า “เซอร์ไพรส์” มั้ย?
ไม่ครับ
ไม่เลยครับ เพราะว่าตั้งแต่ผมเข้าทำงานกับแนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
ด้านบวกเขามีนะ คือความสามารถในการปราศรัยเขาสูงมาก และความสามารถในการที่จะเอากำลังภายใน
เอานวนิยายที่เป็นที่ชื่นชอบของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น ไม้เมืองเดิม, ขุนศึก
รวมไปถึงสามก๊ก, รามเกียรติ์ มาเป็นประโยชน์ในการปราศรัย
ในตอนนั้นเนื่องจากมันชัดเจนมากคือเราต่อต้านเผด็จการที่ยึดอำนาจ ทำให้ลีลา โวหาร ที่เอามาใช้เป็นประโยชน์ในการเมือง
ก็เลยทำให้เขาเป็นที่นิยมชมชอบของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ
แต่ผมเรียนก่อนนะครับ
วาทะศิลป์เป็นเรื่องที่ดี แต่ประเด็นมันอยู่ที่คุณใช้วาทะศิลป์เพื่ออะไร? เพื่อใคร?
เพราะวันนั้นคุณใช้วาทะศิลป์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการต่อสู้กับพวกเผด็จการ
เป็นเรื่องที่ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณนำวาทะศิลป์ไปใช้ประโยชน์ในฝ่ายตรงข้ามประชาชน
ทันทีนั้นเองวาทศิลป์นั้นก็จะเป็นหอกมาทิ่มแทงคุณเอง ผมพูดความที่ตั้งใจอยากจะให้ข้อคิดนะครับ
หรือที่เรียกว่าให้บทศึกษาก็ได้
รวมทั้งท่านผู้ชมทั้งหลายที่อาจจะไม่เห็นด้วยกับผมก็ได้
ที่ผมไม่แปลกใจ
เพราะระหว่างที่ผมไปเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยในระยะหนึ่ง
กิจกรรมที่เป็นประโยชน์กับประชาชนผมไม่เคยเห็นเขามีปฏิกิริยาในด้านบวกออกมาเลยนะครับ
อย่างเช่นมีความพยายามที่จะแก้มาตรา 112 โดย อ.วรเจตน์ (ในยุคนั้น) นิ่งเงียบ
ก็คือสมัยสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ซึ่งปัดตกไปเลย ข้อต่อมา อ.ธิดา อุตส่าห์เดินทางไปเจนีวา
ไปพบกับ ICC
ผู้ตัดสินใจระดับสูง กระทั่งอัยการสูงสุด ICC เขามานั่งฟัง
3-4 ชั่วโมง ไปพร้อมกับ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม, อ.ธงชัย วินิจจะกูล
ผมกับแม่น้องเกดด้วย ในที่สุด ICC ก็บอกว่าเรื่องของพวกคุณทั้งหมดพวกเขารู้แล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องสงครามทำลายล้างมนุษยชาติครบถ้วนเลย คือทำอย่างกว้างขวาง
ทำอย่างมีการวางแผนการ และมีการฆ่าคนจำนวนมาก ครบถ้วนตามองค์ประกอบของเขา ทาง ICC
บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ต้องเอาผิดเป็นคณะ
จะต้องเอาทั้งคณะคือ ศอฉ. รวมทั้งคณะรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉะนั้นจำเป็นจะต้องลงนามรับรองเขตอำนาจศาลเฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา
ปี 53 อ.ธิดาอุตส่าห์เชิญ “ฟาตู เบนซูดา” เขามาเมืองไทย ตั้งใจให้เบนวูดามาอธิบายโดยตรงว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
เพราะเป็นการรับรองเขตอำนาจศาล เฉพาะกรณีเมษา-พฤษภา 53 นิ่งครับ! กลับมาถึงนิ่งเลย คุณณัฐวุฒิตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีด้วยนะ นิ่งเลยนะ
ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ในเรื่องนี้อะไรเลย มีแต่เฉพาะเรื่องสุดซอย
ตอนนั้นเขาแถลงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับสุดซอย
แต่ผมผิดหวังมากเลย ผมเจ็บปวดรวดร้าวจนถึงขณะนี้ วันนั้นกลายเป็นว่านายกฯ
ยิ่งลักษณ์ และใครอีกผมจำไม่ได้แล้ว
มาจูงมือเขาไปข้างหน้าห้องแล้วบอกว่าให้อภัยพรรคเพื่อไทย (อ.ธิดา เสริมว่า
อันนั้นมันหลังจากมีปัญหามากแล้ว จนกระทั่งมีคนออกมามากมาย
มีการประท้วงของกปปส.มาก เขาก็เลยมาพูด) ผมเพียงแต่ยกบางตัวอย่างนะ
ถ้าหากว่าคุณจริงใจต่อการต่อสู้เพื่ออำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง
ในช่วงเวลาที่คุณมีบทบาทได้อย่างเต็มที่ แต่คุณไม่ทำเลย
มันแสดงว่าคุณไม่จริงใจในการต่อสู้เพื่อให้ได้อำนาจสูงสุด (อ.ธิดา เสริมว่า
แต่นิรโทษสุดซอยเขาก็มาร่วม แต่เรื่องอื่นมันก็อีกเรื่องหนึ่ง)