วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เบญจา แสงจันทร์ หัวข้อ ขุมทรัพย์ธุรกิจพลังงาน เสวนา “ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย : การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ”

 


เบญจา แสงจันทร์ หัวข้อ ขุมทรัพย์ธุรกิจพลังงาน เสวนา “ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย : การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ”


เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2567 ที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎรจัดงานเสวนา “ตามหาขุมทรัพย์ของกองทัพไทย : การบริหารธุรกิจเชิงพาณิชย์ของกองทัพ”


เบญจา แสงจันทร์ กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า และกรรมาธิการถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ ได้รายงานข้อมูลกิจการของกองทัพที่เกี่ยวกับพลังงานปิโตรเลียม โดยระบุว่า ตามหลักกฎหมายไทย ทรัพยากรธรรมชาติใต้ดินไม่ได้เป็นสมบัติของผู้หนึ่งผู้ใด เจ้าของที่ดินมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์บนผืนดินเท่านั้น รัฐบาลต้องเป็นผู้บริหารจัดการทรัพยากรใต้ดินนั้น โดยมอบสิทธิให้เอกชนเป็นผู้สำรวจ ผลิต และนำทรัพยากรมาใช้ รัฐยังต้องเป็นผู้ได้รับรายได้จากค่าภาคหลวงและภาษีต่าง ๆ และยังมีกฎหมายปิโตรเลียม ที่ระบุว่า น้ำมันดิบเป็นของรัฐ ผู้ใดจะสำรวจขุดเจาะไม่ว่าบนที่ดินของตนเองหรือบุคคลอื่นต้องได้รับสัมปทานจากรัฐ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐเป็นคนกำหนด

 

แต่ที่ผ่านมากว่าครึ่งศตวรรษ มีแหล่งน้ำมันอยู่แห่งหนึ่งที่กองทัพไทยเป็นเจ้าของ คือ แหล่งน้ำมันลุ่มแอ่งฝาง โดยเป็นบ่อน้ำมันที่กองทัพผลิตเอง สำรวจเอง ขุดเจาะเอง กลั่นเอง และเก็บเงินไว้ใช้เองโดยไม่ต้องส่งคืนคลัง โดยอ้างว่า เป็นการสำรองไว้เพื่อความมั่นคงทางพลังงาน อยู่ในการดูแลของศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร ซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบครอบคลุม 6 จังหวัดในภาคเหนือ เป็นพื้นที่นอกกฎหมายปิโตรเลียมที่รัฐไม่ต้องสัมปทานให้กับใคร ให้เพียงแค่ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือเป็นผู้รับผิดชอบ โดยไม่ต้องรายงานปริมาณที่ผลิตได้เหมือนเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจรายอื่น

 

เบญจา กล่าวต่อไปว่า จากข้อมูลการชี้แจงโดยศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ มีการระบุว่า ศูนย์ฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันมาตั้งแต่ปี 2499 มีน้ำมันดิบหลายลุ่มแอ่งใน 6 จังหวัดภาคเหนือ แต่แหล่งฝางเป็นแหล่งที่มีคุณภาพและศักยภาพมากที่สุด มีการขุดมาใช้แล้ว 16 ล้านบาร์เรลจากทั้งหมดประมาณ 300 แห่ง โดยลุ่มแอ่งฝางยังผลิตน้ำมันไปได้อีก 11 ปี และในอนาคตจะมีการสำรวจและขุดเจาะเพิ่มเติมต่อไปในพื้นที่


ลุ่มแอ่งฝางมีปริมาณสำรองน้ำมันอยู่ 63 ล้านบาร์เรล มีกำลังผลิตอยู่ที่วันละ 800 บาร์เรลต่อวัน จากการสืบค้นข้อมูลยังพบว่า ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือเคยรายงานต่อกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติว่า มีปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดเจาะได้ 3 แสนบาร์เรลต่อปี เมื่อเปรียบเทียบกับภาพรวมน้ำมันดิบของทั้งประเทศ ที่ผลิตน้ำมันดิบได้ราว 29 ล้านบาร์เรลต่อปี หรือวันละ 80,000 บาร์เรล จะเท่ากับว่าน้ำมันที่ผลิตได้ที่ฝางคิดเป็นเพียง 1% ของปริมาณการผลิตน้ำมันทั่วประเทศเท่านั้น เป็นสัดส่วนที่ผลิตได้น้อยมากเมื่อเทียบกับรัฐวิสาหกิจและเอกชนรายอื่น ทำให้ข้ออ้างที่กองทัพมักอ้างเสมอว่า บ่อน้ำมันที่ฝางเป็นไปเพื่อสร้างหลักประกันความมั่งคงทางพลังงานให้แก่กองทัพและประเทศในยามวิกฤติแทบเป็นไปไม่ได้เลย


เบญจา กล่าวต่อไปว่า หากนำเอาปริมาณน้ำมันดิบในปีที่ขุดเจาะได้น้อยที่สุด มาคำนวณด้วยราคาค่าเฉลี่ยกลางด้วยระยะเวลา 68 ปี น้ำมันดิบที่ผลิตจากแหล่งฝางจะมีมูลค่าอย่างน้อยที่สุด 34,000 ล้านบาท ค่าภาคหลวงที่ต้องเสีย 12.5% คิดเป็นเงินจำนวน 4,250 ล้านบาท ไม่รวมภาษีอื่น ๆ นี่เป็นมูลค่าต่ำสุดที่รัฐต้องเสียไปกับการแลกให้กองทัพเอาทรัพยากรของประเทศไปแบ่งปันรายได้ภายในค่ายทหารเท่านั้น คำถามคือ รายได้เหล่านั้นได้ถูกนำไปจัดสรรสวัสดิการให้กำลังพลได้อย่างเป็นธรรมทั่วถึงมากน้อยเพียงใด และเหมาะสมที่กองทัพจะเป็นผู้ลงทุนในธุรกิจนี้ต่อไปหรือไม่

 

นอกจากนี้กองทัพยังเป็นเจ้าของโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังกลั่นวันละ 2,500 บาร์เรล โดยน้ำมันที่กลั่นได้ทั้งหมดถูกนำออกไปขายให้ลูกค้าที่เป็นหน่วยงานกองทัพด้วยกัน โดยผลิตภัณฑ์อื่นๆ ยังนำไปขายให้เอกชนที่เป็นคู่ค้าภายนอก ที่เหลือขายออกไปยังต่างประเทศ เช่น ลาว เมียนมา และจีนตอนใต้ โดยที่ต้องส่งน้ำมันไปขายยังต่างประเทศ ก็เพราะน้ำมันดีเซลของโรงกลั่นที่ฝางไม่เป็นไปตามมาตรฐานการรับซื้อของประเทศ เนื่องจากมีค่ากำมะถันสูงเกินไปเทียบเท่าได้กับยูโร 1 ทำให้ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือวันนี้ต้องการงบประมาณเพิ่มเพื่อนำไปสร้างโรงกลั่นแห่งใหม่ และได้เสนอโครงการต่อรัฐบาลแล้ว เรื่องนี้ตนขอให้ทุกคนได้ติดตามอย่างใกล้ชิดว่า รัฐบาลจะอนุมัติงบประมาณถึง 400 ล้านบาทเพื่อสานต่อธุรกิจเดิมของกองทัพที่ไม่คุ้มค่าต่อการลงทุนต่อไปหรือไม่

 

เบญจา ระบุว่า กองทัพเองไม่มีความจำเป็นใด ๆ ต้องสร้างโรงกลั่นใหม่เพื่อรองรับปริมาณน้ำมันเพียงเท่านี้ ศูนย์ปิโตรเลียมภาคเหนือสามารถส่งน้ำมันดิบของตัวเองออกไปยังโรงกลั่นภายนอกที่มีขีดความสามารถและเทคโนโลยีที่เหมาะสม จะเป็นการไม่สิ้นเปลืองและคุ้มค่ามากกว่ามาก นอกจากนี้ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานร่วมขนาด 10.4 เมกะวัตต์ ดำเนินธุรกิจขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย มีรายได้หลายร้อยล้านบาทต่อปี แม้จะปลดระวางไปแล้วแต่ก็ต้องตั้งคำถามว่าเงินรายได้มหาศาลกว่า 20 ปีโดยเป็นเงินอุดหนุนที่ไม่ต้องส่งคืนคลังหายไปไหนหมด

 

แม้จะไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะอย่างแน่ชัดว่า รายได้เหล่านี้ได้ถูกจัดสรรให้ใคร จัดสรรสวัสดิการให้กำลังพลเท่าไหร่ แต่ที่แน่ ๆ มีการสะสมทุนนำเม็ดเงินนี้ไปสร้างโรงแรมสองแห่ง คือ Petro Hotel Chiangmai ที่แม้จะมีการอ้างว่า มีภารกิจเพื่อเป็นศูนย์ฝึกบุคลากร แต่จากเพจเฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการพบว่า ใช้เป็นที่จัดอบรมจริยธรรมและศีลธรรม ไม่ได้เกี่ยวกับการให้ความรู้ด้านพลังงานอย่างที่กล่าวอ้าง และยังเปิดขายแพคเกจทัวร์และห้องพักแบบทั่วไปด้วย และยังมีโรงแรมที่วิวดีที่สุดในจังหวัดระยองมูลค่ากว่า 770 ล้านบาท โดยใช้ที่ดินราชพัสดุติดริมชายหาด ทำธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรภายใต้ชื่อ Serene Phla Resort Rayong อ้างว่าเพื่อเป็นศูนย์ฝึกบุคลากรด้านปิโตรเลียมและพลังงานเช่นกัน แต่ในเพจเฟซบุ๊กหลักมีการเปิดทำธุรกิจเป็นห้องพักโรงแรม ขายทัวร์ บริการท่องเที่ยวครบวงจร สวนสนุก สวนน้ำ ลานคอนเสิร์ต โดยบางห้องมีราคาสูงถึง 33,000 บาทต่อคืน โดยใช้เงินอุดหนุนจากบ่อน้ำมันที่ฝาง

 

เบญจา กล่าวต่อไปว่า คำถามคือกองทัพมีความชำนาญเชี่ยวชาญในการบริหารธุรกิจมากน้อยเพียงใด ใช้เงินงบประมาณอย่างคุ้มค่าสมเหตผลหรือไม่ หลายกิจการเป็นการนำไปต่อยอดในธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของกองทัพ โรงแรมสองแห่งนี้นอกจากใช้เงินอุดหนุนของกองทัพแล้วยังใช้ทรัพยากรของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรจากกำลังพล รับเงินเดือนจากภาษีประชาชน ใช้ที่ดินที่ราชพัสดุที่ทำเลดีที่สุด แต่ที่น่ากังวลที่สุด คือเม็ดเงินที่สร้างโรงแรมทั้งสองแห่งมีมูลค่ามหาศาล แต่กิจการกลับขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาโดยตลอด ทำให้เกิดคำถามว่าในอนาคตจะกลายเป็นภาระทางงบประมาณที่รัฐและประชาชนต้องเข้าไปช่วยอุ้มหรือไม่

 

ถึงเวลาแล้วที่กองทัพต้องคืนสิทธิในทรัพยากร คืนสมบัติของชาติให้รัฐนำไปจัดสรรและบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นธรรมต่อประชาชนทั้งประเทศ เปิดสัมปทานให้เอกชนสำรวจ ผลิต นำทรัพยากรนี้ใช้พัฒนาประเทศ รัฐจะได้รายได้จากค่าภาคหลวงและค่าภาษีต่าง ๆ เพื่อนำมาบริหารประเทศด้วย ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยและพัฒนาด้านพลังงานของกองทัพ กองทัพยังสามารถส่งบุคลากรมาฝึกงานและปฏิบัติงานร่วมกันได้ ส่วนโรงแรม กองทัพควรเปิดให้เอกชนเข้ามาพัฒนาพื้นที่เช่า ให้เอกชนที่มีประสบการณ์เข้ามาบริหารแล้วแบ่งรายได้ส่งให้รัฐ จะสามารถนำไปสนับสนุนเป็นสวัสดิการให้กำลังพลและบริหารจัดการได้อย่างโปร่งใสคุ้มค่ามากกว่า


เราทุกคนเชื่อว่า สมบัติของชาติเป็นของประชาชน ธุรกิจกองทัพต้องถูกปฏิรูปเพื่อให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมต่อประชาชน และนำไปจัดสรรเป็นสวัสดิการให้เหมาะสมต่อกำลังพลชั้นผู้น้อยได้ด้วย ถึงเวลาแล้วที่ต้องคืนทหารให้ประชาชน คืนนายพลกลับไปทำงานในกองทัพ และคืนธุรกิจกองทัพให้รัฐบาลนำไปจัดสรรและกระจายทรัพยากรให้ประชาชนอย่างเป็นธรรม เพื่อสร้างความมั่นคงมั่งคั่งให้เศรษฐกิจของประเทศนี้” เบญจา กล่าว

 

#UDDnews #ยูดีดีนิวส์ #กมธกองทัพ #ธุรกิจกองทัพ