‘กัณวีร์’ หนุน แก้ พ.ร.บ. ออกเสียงประชามติ เสียดายไม่ได้ฟังเสียงของประชาชน ห่วงปลายทางอยู่ที่คำถามต้องไม่ล็อคสเป็ค ล็อคคำตอบ หวั่นร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่เป็นไปตามความต้องการของประชาชนที่แท้จริง
วันนี้ (18 มิ.ย. 67) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ เป็นพิเศษ มีวาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่...) พ.ศ.... โดยมีผู้เสนอร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว รวม 4 ฉบับ คือ ฉบับของคณะรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล และพรรคภูมิใจไทย
นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม อภิปรายว่า วันนี้เป็นวันที่คนไทยทั้ง 70 ล้านคน ที่ผ่านการเลือกตั้งรอคอย ซึ่งต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ผ่านการทำประชามติ โดยการทำประชามติเป็นเครื่องมือในการสะท้อนเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนผ่านระบอบประชาธิปไตยทางตรง พวกเราเป็นแค่ทางอ้อมเพราะฉะนั้น จะต้องใช้เครื่องมือส่วนนี้สะท้อนการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชน ในการนำมาซึ่งกฎหมายสูงสุดของประเทศ ที่เป็นกฎหมายของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชน และจะเป็นเครื่องมือตรงนี้ จะหนุนหลักการของประชาชนที่แท้จริง
"น่าเสียดายครับ ที่ร่างฉบับประชาชนไม่ได้เข้ามาพูดคุยในที่ประชุมสภาด้วย กว่า 211,904 เสียง ร่วมลงชื่อเข้ามา ว่าต้องการนำเสนอข้อเสนอในการจัดทำประชามติ ที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีการนำมาพูดคุยในที่นี้ ผมคือหนึ่งในรายชื่อนั้นที่ลงนาม ที่เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในการทำประชามติที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จึงน่าเสียดายมากครับ"
นายกัณวีร์ กล่าวว่า เราต้องสะท้อนให้กับประชาชนที่กำลังฟังอยู่ทั่วประเทศ ให้ทราบว่าประชามตินี้ไม่ใช่เพียงแค่การทำเรื่องฉันทามติของพี่น้องประชาชนโดยส่วนใหญ่ เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น เราต้องสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญ และความจำเป็นว่าสังคมไทยต้องการฉันทามติในหลายเรื่อง ในสังคมการเมืองประเทศไทยยังมีปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ทั้งทิศทางการพัฒนาเชิงพื้นที่ การออกแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ที่มีปัญหาอยู่ เช่น ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ สามารถใช้เครื่องมือนี้ ให้ประชาชนรู้สึกว่าอำนาจกลับคืนมาสู่ประชาชน
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า เราจำเป็นต้องพิจารณาว่าการทำประชามติ อาจเป็นเครื่องมือที่อันตรายด้วย ถ้าเราไม่สามารถออกแบบกลไกนี้ให้ปราศจากเงื่อนไข กลไกที่เป็นวงจรอุบาทว์ บิดเบี้ยว เครื่องมือนี้ก็ไม่สามารถสะท้อนถึงเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนได้ ทั้ง 4 ร่างคล้ายคลึงกันหมด แต่จะทำอย่างไรให้ไม่ต้องสร้างเงื่อนไข พร้อมมองว่า Double majority ไม่ใช่ปัญหา หากการเมืองไทยตรงไปตรงมา Double majority ส่วนนี้ จะทำให้ได้ความเห็นของพี่น้องประชาชนอย่างตรงไปตรงมา และไม่มีเงื่อนไข แต่เพราะประเทศไทยยังย่ำอยู่กับปัญหาด้านการเมืองที่มีมาอย่างยาวนาน ย่ำอยู่กับการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงไม่สามารถกลับไปแก้ไขได้ จึงจำเป็นต้องมีการล็อกชั้นเดียว เพื่อแก้ไขเงื่อนไขที่ยังอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
นายกัณวีร์ อภิปรายต่อว่า คำถามที่ทางคณะรัฐมนตรีได้ขอมาเรียบร้อยแล้วว่าหากมีประชามติเกิดขึ้น หากแก้ไขเรื่อง Double majority การลงชื่อออนไลน์ องค์กรหน่วยงานที่จะมาทำการอำนวยการทำประชามติครั้งนี้ ก็ยังมีปัญหาอยู่ เพราะหากมีคำถามที่ถามว่าต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ที่ไม่แตะต้องในหมวด 1 และหมวด 2 ก็ยังคงเป็นคำถาม โดยประชาชนที่อยู่ข้างนอกจำเป็นต้องตรงไปตรงมาจากพวกเรา ที่ต้องเสนอให้มีความเห็นว่า ต้องปลดล็อคส่วนนี้
”อย่านำคำถามที่เราสามารถกำหนดผลของการทำประชามติเป็นตัวตั้ง ท่านไม่สามารถคุมอำนาจของประชาชน ท่านไม่สามารถที่จะบอกว่า ต่อไปนี้อำนาจอยู่ในมือของท่าน ผ่านคำถามแค่คำถามเดียว ประชาชนหลาย ๆ คนบอกว่า เขาต้องการคำถามที่ตรงไปตรงมา ต้องการคำถามที่บอกว่าจะเอา หรือไม่เอา และคำตอบต้องไม่กำกวม คำถามต้องไม่ล็อคสเปค และผลของการทำประชามติ“ นายกัณวีร์ กล่าว
นายกัณวีร์ กล่าวว่า คำถามที่ ครม. เสนอเข้ามานั้น ท่านจำเป็นต้องรับผิดชอบ ถ้าคำถามนั้นจะเป็นคำถามของประชามติจริง ๆ อย่ากลัวล่วงหน้า หรือปิดกั้นชี้นำความเห็นของประชาชน คำถามของประชามตินี้ต้องนำมาซึ่งทางออกที่แท้จริง ที่เราจะเห็นร่วมกันในการมีฉันทามติของพี่น้องประชาชน ดังนั้น ข้อเสนอของประชาชน จำเป็นต้องได้รับการพิจารณา หากการทำประชามตินี้ สามารถแก้ไขได้ในคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จะเกิดขึ้น
นายกัณวีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า การทำประชามติ อย่าใช้เกณฑ์ง่ายดาย ความรวดเร็ว และการล็อกเป้า การล็อกสเปคของคำตอบ เราต้องยอมรับอย่างกว้างขวางที่จะฟื้นความชอบธรรมของอำนาจการปกครองในประเทศนี้ขึ้นมาใหม่ให้ได้ บนพื้นฐานของความพยายามแสวงหาฉันทามติของสังคมการเมืองให้มากที่สุด
