“ศิริกัญญา” นำฝ่ายค้านอภิปรายเปิด ชำแหละร่างงบกลางปี 67 รัฐบาลขอเพิ่ม 1.22 แสนล้านโปะดิจิทัลวอลเล็ต
ชี้เพิ่มความเสี่ยงการคลัง ประเทศเสียหายถึงอนาคต แลกกับการรักษาหน้ารัฐบาล
วันที่
17 กรกฎาคม 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ (งบกลางปี) 2567
วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท
เสนอเป็นวาระด่วนโดยคณะรัฐมนตรี
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของงบประมาณในการนำไปทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
โดย
ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายถึงความสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย
และสิ่งที่ผิดหลักการในการของบกลางปีเพื่อมาทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ตในครั้งนี้
โดยระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนี้
มีการเปลี่ยนแปลงวงเงินและแหล่งที่มาของเงินในการทำโครงการมาโดยตลอด
ล่าสุดนอกจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ที่เพิ่งผ่านวาระ 1 เมื่อไม่นานมานี้ ที่จะมีการกู้เพิ่ม 1.52 แสนล้านบาท
ก็ยังต้องกลับไปบริหารจัดการภายในงบประมาณปี 2568 อีก 1.32
แสนล้านบาท และยังมีส่วนของงบประมาณปี 2567 ที่มาขอสภากู้เพิ่มวันนี้อีก
1.22 แสนล้านบาท และหารายได้อื่นมาโปะเพิ่มอีกประมาณ 1
หมื่นล้านบาท
ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะมาจากเงินสดของบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
ที่อยู่ระหว่างการชำระบัญชี
การกู้เพิ่มอีก
1.22 แสนล้านบาท จะส่งผลเท่ากับว่าในงบประมาณปี 2567 จะมีการกู้เพิ่มเพื่อชดเชยขาดดุลทั้งสิ้น
8.05 แสนล้านบาท ซึ่งก็ยังสูงเป็นประวัติการณ์อยู่ดี
เป็นรองแค่ปี 2568 ทำให้สัดส่วนการกู้ชดเชยขาดดุลสูงถึง 4.34%
ถ้าย้อนกลับไปไม่เคยมีการตั้งงบประมาณเพื่อขาดดุลสูงขนาดนี้
ปกติควรต้องกดลงมาให้เหลือ 3% แต่รัฐบาลน่าจะติดใจกับการที่สามารถเบ่งงบออกไปเรื่อย
ๆ และทำการกู้ชดเชยขาดดุลเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อย ๆ ถึง 4.34% ซึ่งจะเป็นปัญหาในการเพิ่มหนี้สาธารณะและภาระในการชำระดอกเบี้ยชำระหนี้ตามมา
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไปว่า
แต่ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้ามากกว่านั้นคือการกู้จนเต็มเพดานของงบประมาณปี 2567 ซึ่งเพิ่งจะผ่านไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จาก 3.48 ล้านล้านบาทวันนี้จะกลายเป็น 3.6 ล้านล้านบาทแล้ว เท่ากับจะมีการกู้เพิ่มจากเดิม 6.93 แสนล้านบาท เป็น 8.5 แสนล้านบาท
แต่ถ้าไม่ได้มีการขยายเพดานของการกู้ก็จะกู้ได้แค่ 7.9 แสนล้านบาท
ซึ่งไม่เพียงพอต่อการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต
จึงต้องมีการขยายเพดานเงินกู้โดยการขยายงบประมาณรายจ่ายประจำปีออกไปอีก 8.15
แสนล้านบาท แต่ก็ยังเป็นการกู้จนเกือบสุดเพดานเหมือนเดิม
เหลือพื้นที่ให้กู้เพิ่มได้อีกเพียง 1 หมื่นล้านบาท
เหมือนกับว่าถ้ารัฐบาลนึกอะไรไม่ออกก็ใช้วิธีการเบ่งงบ
กู้เพิ่ม เบ่งรายจ่ายให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีรายได้เพิ่ม
และถ้ารายได้ไม่มาตามคาดการณ์ก็จะไม่เหลือพื้นที่ให้กู้เพิ่มได้อีกเลย
ปัญหาคือเมื่อหาเงินไม่ทันก็ต้องไปดูที่ฝั่งรายได้
ว่ารัฐบาลจะสามารถมีงบประมาณเหลือเพียงพอที่จะรองรับความเสี่ยงเวลาจัดเก็บรายได้ไม่เข้าเป้าได้หรือไม่
ถ้าเก็บรายได้ไม่ได้ตามที่คาดไว้ สมมุติว่าหลุดเป้า 5 หมื่นล้านบาท
ก็จะกู้โปะได้อีกแค่ 1 หมื่นล้านบาท
ทำให้งบประมาณที่สภาอนุมัติไป 3.48 ล้านล้านบาท
สุดท้ายอาจจะใช้ได้ไม่ครบ เพราะรายได้ไม่เข้าเป้าและกู้โปะได้ไม่เพียงพอ
แต่ที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ก็คือการไม่สนใจสภาวะความเสี่ยงนี้
เพียงเพื่อได้ทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และทำให้ต้องกู้จนสุดเพดานขนาดนี้
ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อจัดเก็บรายได้ได้ไม่เพียงพอ
จากการประมาณการจีดีพีใหม่ที่เดิมประมาณการไว้เฉลี่ยที่ 2.7% วันนี้มาเหลือ
2.5% และเมื่อดูเอกสารงบประมาณเกี่ยวกับประมาณการรายได้
ก็จะพบว่าไม่มีการประมาณการรายได้ใหม่ มีเพียงบอกว่าจะจัดเก็บรายได้ได้เท่าเดิม
ทั้งที่เศรษฐกิจไม่ได้โตตามคาด และที่เพิ่มมา 1 หมื่นล้านบาทก็เป็นของใหม่ล้วน
ๆ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่มีการประมาณการรายได้ใหม่เลย
และผลการจัดเก็บก็เห็นอยู่ว่าไม่มีทางได้เท่าเดิม
ศิริกัญญากล่าวต่อไป
ว่าเมื่อต้นปีตนได้อภิปรายเอาไว้ว่ารายได้จะจัดเก็บได้ไม่เข้าเป้า
ซึ่งตอนนี้ตัวเลขทางการออกมาของ 8 เดือนแรกก็ต่ำกว่าเป้าไปแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท และผล 9 เดือนก็น่าจะออกเร็วๆ นี้
คาดการณ์ว่ากรมสรรพสามิตน่าจะต่ำกว่าเป้า 5.8 หมื่นล้านบาท,
กฟผ. ก็นำส่งได้ต่ำกว่าเป้า 8 พันล้านบาท,
กรมศุลกากรจัดเก็บได้เกินเป้า 2.8 พันล้านบาท,
กรมสรรพากรจัดเก็บเกินเป้า 1.1 หมื่นล้านบาท,
กองทุนวายุภักษ์นำส่งรายได้เกิน 1.1 หมื่นล้านบาท
แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางที่รัฐบาลจะจัดเก็บภาษีได้ตามเป้า
ด้วยสถานการณ์แบบนี้ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีรายได้เพียงพอใช้สำหรับงบประมาณปี 2567
หรือไม่ แต่รัฐบาลก็ยังจะมาขอกู้สภาแบบเต็มเพดานอีก
ถามว่าจะไม่เหลือพื้นที่ไว้ให้ได้บริหารความเสี่ยงอะไรเลยหรือ
ในส่วนการบริหารรจัดการ
4.3 หมื่นล้านบาทที่นายกรัฐมนตรีมายืนยันกับสภาว่าจะใช้งบกลางเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินจำเป็น
ซึ่งที่ผ่านมาใช้ไปแค่กับมาตรการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน 2 ครั้งเกือบ
4 พันล้านบาท, ช่วยเหลือคนไทยในอิสราเอล,
แก้ฝุ่น pm 2.5, แจกงบให้กลุ่มจังหวัด
และแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ผ่านมา 7 เดือนงบกลางยังใช้ไปไม่ถึงไหน
อนุมัติไปแค่ 1.79 หมื่นล้านบาท
ยังไม่นับว่าการเบิกจ่ายจริงในบางโครงการจะน้อยกว่านี้หรือไม่มีการเบิกจ่ายเลยอีก
“แม้รัฐบาลจะบอกว่าเศรษฐกิจแย่
แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีมาตรการออกมาช่วยเหลือประชาชน
ที่ออกมาล่าสุดก็ไม่ได้มีมาตรการใหม่ที่ช่วยเหลือประชาชนระหว่างรอโครงการดิจิทัลวอลเล็ตเลย
เมื่อเป็นแบบนี้ก็ได้แต่สรุปว่างบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นที่สภาอนุมัติไว้เกือบแสนล้านบาท
ที่ไม่ออกมาเลยก็เพราะรัฐบาลยังไม่รู้ว่าตกลงจะต้องเอามาใช้กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ตกี่บาท
ตอนนี้น่าจะเคาะแล้วว่าจะใช้ 4.3 หมื่นล้านบาท
ก็เท่ากับว่าเงินส่วนนี้จะไม่ได้ถูกเอาไปกระตุ้นหรือสร้างการเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจในช่วงปีงบประมาณนี้ใช่หรือไม่”
ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไป
ว่างบกลางส่วนนี้ถ้าจะต้องเอามาเบิกจ่ายข้ามปีมาในปี 2568 เพื่อแจกดิจิทัลวอลเล็ต
พร้อมกับงบประมาณอีกส่วนหนึ่งที่มาขอสภาวันนี้อีก 1.22 แสนล้านบาท
รวมแล้ว 1.65 แสนล้านบาท จะถูกโยกข้ามมาใช้หลังจบปีงบประมาณ 2567
ในวันที่ 30 กันยายนนี้
เงินที่จะต้องไหลเวียนหลังจากอั้นไว้เพราะงบประมาณปี 2567 ออกล่าช้าก็จะถูกปล่อยออกมาไม่สุด
เพราะต้องถูกกั๊กเอาไว้ใช้กับดิจิทัลวอลเล็ต
ซึ่งสุดท้ายไม่น่าจะทำได้ตามกฎหมาย
เพราะตาม ม.21
ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
ก็บอกไว้ชัดเจนว่างบกลางปีต้องใช้จ่ายระหว่างปีงบประมาณ ใช้ข้ามปีไม่ได้
และไม่สามารถรอใช้พร้อมงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ได้
รัฐบาลอาจบอกว่าใช้ข้ามปีได้ แต่ ม.43 ของ
พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ ก็ระบุว่าต้องก่อหนี้ผูกพันไว้ก่อนสิ้นปี
ซึ่งรัฐบาลน่าจะใช้วิธีการตีความว่าการลงทะเบียนถือว่าเป็นการก่อหนี้ผูกพันแล้ว
ทั้งที่ไม่ใช่
การก่อหนี้ผูกพันต้องเป็นสัญญาที่ทำทั้งสองฝ่าย
การทำฝ่ายเดียวถือว่าเป็นการให้
การลงทะเบียนถือว่าไม่เป็นสัญญาต่างตอบแทนจึงไม่เกิดหนี้
ถ้าถือว่าการลงทะเบียนเป็นการก่อหนี้แล้ว ในอนาคตจะมีการเอาเยี่ยงอย่าง
ใช้งบประมาณประจำปีไม่ทันก็เรียกประชาชนมาลงทะเบียนไว้ก่อนแล้วไปเบิกจ่ายข้ามปี
งบประมาณในแต่ละปีจะใช้ไม่หมด
จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ผิดที่จะทำให้การบริหารงบประมาณผิดพลาด
ศิริกัญญากล่าวต่อไป
ว่าอีกประเด็นที่ทำให้รัฐบาลน่าจะเลือกใช้งบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็น 4.3 หมื่นล้านบาทจากงบประมาณปี
2567 คือถ้างบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นไม่พอเมื่อไหร่
ก็ สามารถเบิกจ่ายทุนสำรองจ่ายได้อีก 5 หมื่นล้านบาท แต่ตาม
ม.45 ของ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ
ระบุว่าจะใช้ได้ก็ต่อเมื่องบกลางเงินสำรองใช้จ่ายฉุกเฉินจำเป็นไม่เพียงพอ
และเมื่อมีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อประโยชน์แก่ราชการแผ่นดินเท่านั้น
ทุนสำรองจ่ายเคยถูกใช้มาก่อนในช่วงโควิดเพื่อใช้แจกเงินเยียวยาในช่วงแรก
แต่รอบนี้ความจำเป็นเร่งด่วนอย่างเดียวที่เห็นคือความจำเป็นที่จะต้องรักษาหน้ารัฐบาล
แต่อย่าลืมว่างบประมาณก้อนนี้ต้องตั้งงบโอนคืนในโอกาสแรก ถ้าใช้ไป 5 หมื่นล้านบาทสุดท้ายก็ต้องมาตั้งงบประมาณคืนในปี
2569 อยู่ดี เรียกว่ายืมเงินข้ามปี
แต่ถ้ารัฐบาลไม่คิดจะใช้ก็ดี
แต่คำถามคือถ้าถึงเวลาลงทะเบียนจริงแล้วประชาชนมาลงทะเบียนเกิน 45 ล้านคนจนงบประมาณไม่พอแจกทุกคน แล้วรัฐบาลจะทำอย่างไรกันต่อ
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไป
ว่าปัญหาต่อมาคือการตีความงบประมาณโครงการนี้เป็นรายจ่ายลงทุนสูงถึง 80% ซึ่งตามนิยามปกติ
งบรายจ่ายลงทุนคืองบประมาณที่ใช้ซื้อสิ่งของ สร้างสิ่งปลูกสร้างอายุเกิน 1 ปี ค่าจ้างใช้ทำของหรือปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างเหล่านั้น
แต่ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ตทุกคนก็ทราบกันดีว่าเป็นการใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคเป็นหลัก
ตาม
ม.20 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง ระบุว่าถ้าจะตั้งงบประมาณแล้ว
งบประมาณรายจ่ายลงทุนต้องไม่น้อยกว่า 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
และต้องไม่น้อยกว่าวงเงินส่วนที่ขาดดุลของงบประมาณรายจ่ายประจำปี
ซึ่งถ้ารวมดิจิทัลวอลเล็ตตามการตีความว่าเป็นรายจ่ายลงทุน 80% เข้าไป ก็จะมีสัดส่วนสูงถึง 22.4% และเกินกว่าการขาดดุลงบประมาณที่
8.76 แสนล้านบาท แต่ถ้าตีความตามที่เป็นจริง
ก็จะไม่ผ่านทั้งเกณฑ์ 20% และเกณฑ์ที่ต้องเกินการขาดดุลงบประมาณ
ศิริกัญญาอภิปรายต่อไป
ว่านอกจากความสุ่มเสี่ยงที่จะทำผิดกฎหมายแล้ว
โครงการดิจิทัลวอลเล็ตยังมีปัญหาในเรื่องความไม่พร้อม อีก 15 วัน
หรือวันที่ 1 สิงหาคม 2567 จะมีการเริ่มลงทะเบียนแล้ว
แต่วันนี้ยังหาเจ้าภาพไม่ได้เลย รัฐบาลยังคงเสนอเป็นภาพรวมไว้ในงบกลาง ซึ่ง ม.22
ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง
ระบุว่าตั้งได้เฉพาะเมื่อไม่สามารถจัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณหรือไม่ควรจัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณเท่านั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องเจ้าภาพเท่านั้น
ระบบลงทะเบียนก็เพิ่งจะได้ผู้ชนะการประมูลมา 2 ราย ในวันที่ 10 กับ 11 กรกฎาคม 2567 ในส่วนของระบบชำระเงินก็ยังไม่ได้ประกาศจัดซื้อจัดจ้าง
มีการระบุแค่ว่าเป็นงานจ้างพัฒนาแพลตฟอร์มการชำระเงิน
ซึ่งเมื่อตนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลล่าสุด
ก็ยังขึ้นแผนเหมือนเดิมว่าคาดว่าจะจัดซื้อจัดจ้างได้ภายในเดือนกรกฎาคม แต่อีก 15
วันจะลงทะเบียนแล้วระบบการชำระเงินจะทันได้อย่างไร
ไม่ต้องพูดถึงว่างบประมาณที่ใช้ก็แปลกประหลาด
ระบบลงทะเบียนที่เป็นการต่อยอดจากแอปพลิเคชันภาครัฐที่มีอยู่แล้ว มีการใช้งบประมาณ
89.5 ล้านบาท ระบบจ่ายเงินที่จะใช้เป็น open-loop system ให้ธนาคารพาณิชย์มี
interface รับชำระเงินดิจิทัลวิลเล็ตได้ ฯลฯ ใช้เงินแค่ 95
ล้านบาท ซึ่ง DGA (สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล)
ชี้แจงว่าเป็นแค่งบประมาณในการพัฒนาระบบ แต่ไม่ได้รับประกันว่าจะเป็นเจ้าของระบบ
ซึ่งอาจตีความได้ว่าผู้เข้ามาช่วยพัฒนาระบบก็จะมาเป็นเจ้าของระบบในที่สุด
นอกจากนี้
เงื่อนไขต่างๆ ยังมีการเปลี่ยนไปมาในส่วนของสินค้าที่เข้าร่วมได้
แต่ที่น่ากังวลที่สุดคือส่วนของร้านค้า อีก 15 วันต้องลงทะเบียนร้านค้าแล้วแต่ยังไม่มีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ร้านค้ารายย่อยเข้าร่วมโครงการได้
ระบบที่ถูกออกแบบมาเอื้อให้ร้านค้าที่มีสายป่านยาว
แต่รายย่อยที่ใช้เงินสดเป็นหลักจะอยู่ไม่ได้
เงินดิจิทัลวอลเล็ตแม้จะใช้ซื้อวัตถุดิบได้ก็จริงแต่ก็ไม่ได้ทุกร้าน หรือไม่ได้มีแค่ต้นทุนค่าวัตถุดิบอย่างเดียว
ยังมีค่าแรง ค่าเช่า ค่าน้ำมัน ฯลฯ เมื่อธุรกิจเงินสดเงินหมุนเข้าร่วมไม่ได้
แล้วจะให้มาลงทะเบียนได้อย่างไร หรือคนที่พร้อมลงทะเบียนแต่ยังไม่อยู่ในฐานภาษี
มีการแจ้งหรือยังว่าต้องเข้าฐานภาษีเมื่อไหร่ จ่ายย้อนหลังได้หรือไม่
หรือถ้ามีเงินสดไม่พอจริงๆ มีสินเชื่อให้เขาเพื่อจูงใจให้เข้าร่วมโครงการหรือไม่
รัฐบาลไม่มีอะไรบอกเลย
ที่ออกแบบมาเอื้อให้ทุนขนาดใหญ่ที่มีเงินสดและสายป่านมากพอนั้นก็แย่มากอยู่แล้ว
แต่รัฐบาลยังไม่ทำอะไรเลยที่จะลดอุปสรรคให้รายย่อยเข้ามาได้ นี่คือการกีดกันรายย่อยกลาย
ๆ
โครงการนี้ที่ตีไว้
5 แสนล้านบาท ลงทุนไปแล้วได้อะไร
คำตอบคือได้รักษาหน้าว่าได้ทำตามที่หาเสียงไว้แล้ว
แม้หน้าตาของนโยบายจะไม่เหมือนกับตอนที่หาเสียงไว้เลยตั้งแต่ต้น
ได้เพิ่มจีดีพีเต็มที่เลยตามประมาณการของกระทรวงการคลัง ก็ยังได้แค่ 3.5 แสนล้านบาท วิญญูชนควรรู้ว่าลงทุน 5 แสนล้านได้คืน 3.5
แสนล้านบาทเรียกว่าคุ้มหรือไม่
แต่สิ่งที่จะเสียก็คือการเพิ่มความเสี่ยงทางการคลังให้แก่ประเทศ
ตอนนี้รัฐบาลไม่มีปัญญาจะรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเลย
แค่ฝ่ายค้านพูดว่าต้องมีมาตรการเฉพาะหน้า วิ่งหาเงินก็ไม่เหลือแล้ว
เพราะต้องเก็บไว้ทำดิจิทัลวอลเล็ต และยังต้องเสี่ยงทำผิดกฎหมายอีกหลายข้อ
ซึ่งถ้าสามารถทำต่อไปได้จะสร้างบรรทัดฐานที่ผิดๆ ในการบริหารจัดการงบประมาณในอนาคต
ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายที่ประเมินไม่ได้
“อุตส่าห์ลงเงินไป 5 แสนล้าน
แต่ก็สร้างเงื่อนไขกลไกโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะเอื้อค้าปลีกรายใหญ่
กีดกันรายย่อยโดยไม่รู้ตัว จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการแก้ไข
เสียโอกาสแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้าให้ประชาชน
เพียงเพราะต้องกั๊กเงินส่วนหนึ่งเอาไว้เพื่อไปทำโครงการนี้ตอนปลายปี และยังมีอีกหลายโอกาสที่จะต้องเสียไปที่จะได้ทำนโยบายอื่นๆ
เพราะภาระที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้จบแค่งบประมาณปี 2567-2568 มันจะตามเราอีกไปถึงปี 2569-2570 และจะไปทำให้พื้นที่ที่จะมีงบประมาณไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่างๆ
ลดน้อยถอยลงไปเรื่อย ๆ นี่จะเป็นกระสุนนัดใหญ่ นัดแรก นัดเดียว
และนัดสุดท้ายของทั้งรัฐบาลที่จะได้มีโครงการขนาดใหญ่ขนาดนี้
ด้วยข้อจำกัดทางงบประมาณที่จะเกิดขึ้นตามมา” ศิริกัญญากล่าว
ศิริกัญญาอภิปรายทิ้งท้าย
ว่าเมื่อครั้งที่แล้วที่มีการพิจารณางบประมาณปี 2567 ตนได้ส่งความห่วงใยไปยังข้าราชการประจำที่ยังซื่อตรงต่อหลักการให้ออกมากล้าท้วงติงกับโครงการนี้ที่มีปัญหา
ไม่ตรงไปตรงมา และไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ
แต่วันนี้ตนขอส่งความห่วงใยไปยังพรรคร่วมรัฐบาล
ว่าจะกลายมาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมายครั้งนี้หรือไม่
ถ้าท่านเองก็ยังพอยึดถือหลักการอะไรอยู่ในหัวใจ ยังถือหลักวิชาการ
มีความรู้เรื่องงบประมาณและการคลัง
ท่านคงรู้ได้โดยไม่ต้องสงสัยว่าทำแบบนี้จะทำให้ประเทศสุ่มเสี่ยงต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างไร