ผลสอบจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย
ส่อทุจริต 25
ราย ลาออก 1 ราย
กทม.เตรียมตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง พร้อมชดใช้ทางแพ่งภายใน 180 วัน
วันนี้
(30 กรกฎาคม 2567) ที่ศาลาว่าการกทม. นายณัฐพงศ์
ดิษยบุตร รองปลัดกรุงเทพมหานคร ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการติดตามการต่อต้านการทุจริตของกรุงเทพมหานคร
(ศตท.กทม.) พร้อมด้วย นางสาวเต็มศิริ เนตรทัศน์
ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานข้าราชการกรุงเทพมหานคร และนายเอกวรัญญู อัมระปาล
ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการ กรุงเทพมหานคร และโฆษกกรุงเทพมหานคร แถลงผลสืบสวนข้อเท็จจริงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา
กทม. หลังครบเวลาสอบสวน 30 วัน
โดยนายณัฐพงศ์
กล่าวว่า เมื่อวันที่ 4
มิ.ย. ที่ผ่านมา กทม.
ได้รับการร้องเรียนผ่านสื่อว่าการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายของศูนย์กีฬา กทม.
แพงเกินจริง จากนั้น ศตท.กทม รับเรื่องร้องเรียน ตรวจสอบข้อเท็จจริง
โดยให้สำนักงานตรวจสอบภายใน สำนักงานปลัด กรุงเทพมหานคร ร่วมตรวจสอบด้วย
จากนั้นวันที่ 11 มิ.ย. คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ได้รายงานผล พร้อมข้อเสนอ 2 ทาง ทางแรก คือ
การสอบสวนพบว่ามีมูลต่อการทุจริตอาจผิดกฎหมาย
เรื่องของการเสนอราคาต่อหน่วยงานภาครัฐซึ่งเรื่องนี้
ศตท.กทมได้รวบรวมข้อมูลเบื้องต้นส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) ดำเนินการทางกฎหมายต่อไป เนื่องจากเป็นเรื่องของความผิดเกี่ยวกับความผิดการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐทาง
ป.ป.ช.มีอำนาจในการดำเนินการ
ส่วนอีก
ศตท.กทม. นำรายงานผลการสอบสวนเบื้องต้นส่งให้ปลัดกรุงเทพมหานคร
เพื่อดำเนินการทางวินัยกับผู้ที่เกี่ยวข้อง
จนนำไปสู่การตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงโดยผู้ว่าฯกทม.
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง เมื่อ 17 มิ.ย.67 โดยให้ระยะเวลาสอบสวน 30 วัน และให้รายงานผลทุก 7
วัน
ทั้งนี้คณะกรรมการ
ดำเนินการสืบสวนและตรวจสอบข้อเท็จจริง จำนวน 7 โครงการ ช่วงปีงบประมาณปัจจุบัน
ได้แก่ 1.โครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย 21
รายการสำหรับศูนย์กีฬาอ่อนนุช 15.69 ล้านบาท 2.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬาเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา 12.11
ล้านบาท 3.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬามิตรไมตรี 11.01
ล้านบาท 4.โครงการประกวดราคาซื้อครุภัณฑ์เสริมสร้างสมรรถภาพทางกาย
11 รายการ ของศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ วงเงินงบประมาณ 4.99
ล้านบาท 5.โครงการฯ สำหรับศูนย์กีฬาวารีภิรมย์
4.99 ล้านบาท 6. โครงการฯ
สำหรับศูนย์นันทนาการ สังกัดส่วนนันทนาการ 17.9 ล้านบาท และ 7.โครงการฯ สำหรับศูนย์นันทนาการวัดดอกไม้ 11.52 ล้านบาท
และนำเสนอผลสอบข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา
จากการสอบสวนพยานบุคคลและเอกสาร พบว่าข้อเท็จจริงมีมูลราคาแพงเกินจริง
สูงกว่าราคาท้องตลาดและราคาสูงกว่าการจัดซื้อในปีก่อน ๆ
หากเปรียบเทียบราคาต้นทุนกับค่าดำเนินการแล้ว
ยังสูงกว่าราคาต้นทุนและค่าดำเนินการเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้มีรายละเอียดสินค้าเกินความจำเป็น
คุณลักษณะจำเพาะหรือสเปคของเครื่องออกกำลังกายมีการปรับสเปคให้สูงขึ้นจากเดิมกว่าที่เคยจัดซื้อ
เช่นเพิ่มกำลังแรงม้า เพิ่มโปรแกรมออกกำลังกาย เพื่อรองรับน้ำหนัก
และปรับจอแสดงผลระบบสัมผัส เป็นต้น โดยวิธีการจะมีการสืบราคาจากผู้ประกอบการ 3 ราย
ให้ราคาต่ำสุดเป็นราคากลาง โดยไม่คำนึงถึงความจำเป็นและการใช้งานจริง
ส่งผลให้การกำหนดราคาสูงเกินความจำเป็น
ขณะเดียวกันยังพบว่ามีการกำหนดรายละเอียดบริษัทผู้ร่วมประมูลเกินความจำเป็น
มีข้อกำหนดที่ไม่เปิดกว้างให้เสนอราคาอย่างเท่าเทียม เช่น
การกำหนดให้แนบหนังสือรับรองผลงานและสำเนาสัญญาซื้อขายที่ทำกับภาครัฐไม่น้อยกว่า 40 สัญญาในวันเสนอราคา
โดยมี ระยะเวลานับย้อนหลังไม่เกิน 2 ปี
การกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวเพิ่มเติมเกินกว่าแนวทางที่คณะกรรมการการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารภาครัฐของ
เกินกว่าแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด
อาจมีผลทำให้ราคาการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายมีราคาแพงเกินควร
นายณัฐพงศ์
กล่าวอีกว่า
จากการสืบสวนพบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำโครงการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย
และเกี่ยวข้องกับการพิจารณางบประมาณ
รวมทั้งการดำเนินการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกายทั้งหมด 25 ราย
และมี 1 ราย ลาออกจากราชการไปแล้ว
โดยไม่มีข้อมูลยืนยันชัดเจนว่าผู้ที่เกี่ยวข้อง จัดทำโครงการและพิจารณางบประมาณ
โดยคำนึงถึงหลักความคุ้มค่าที่จะต้องมีคุณภาพหรือสเปคตอบสนองต่อวัตถุประสงค์การใช้งาน
และต้องมีราคาที่เหมาะสม และขั้นตอนในการกลั่นกรองงบประมาณ ไม่ได้ทักท้วงเกี่ยวกับประเด็นเรื่องราคาดังกล่าวแต่อย่างใด
ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา
คณะกรรมการรายงานผลมายังปลัดกรุงเทพมหานคร ปลัดกทม.
จึงมีคำสั่งย้ายผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการจัดซื้อ ทั้ง 7 โครงการไปปฏิบัติหน้าที่ประจำสำนักงานปลัดกรุงเทพมหานคร
เพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับหลักฐานการดำเนินการทางวินัย
พร้อมทั้งเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยอย่างร้ายแรง ตามกฎ
ก.ก.ว่าด้วยการดำเนินการทางวินัย พ.ศ.2565 โดยเมื่อแต่งตั้งคณะกรรมการแล้วเสร็จ
จะต้องดำเนินการสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน
สามารถขยายเพิ่มได้ 60 วัน
และจะพิจารณาลงโทษต่อไปกระบวนการดังกล่าวเป็นไปตามมาตรการ
ในการปฏิบัติราชการและแนวทางปฏิบัติที่ ศตท. กทม. ได้วางแนวทางไว้
เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และเกิดการดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบและเที่ยงธรรม
นางสาวเต็มศิริ
เนตรทัศน์ ผู้ช่วยหัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.)
กล่าวว่า
กทม.ได้ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
(ป.ป.ช.) เพื่อดำเนินการต่อตามความผิดทางอาญา ตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ
พ.ศ. 2542
ส่วนของ
กทม.จะตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง
กำหนดให้คณะกรรมการสอบสวนนับจากวันที่ประธานได้เรียกประชุมครั้งแรก โดยมีกำหนด 120 วัน
และสามารถขยายได้ไม่เกิน 60 วัน
รวมถึงการตั้งคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดเจ้าหน้าที่ของรัฐ
เพื่อให้มีการชดเชยทางแพ่ง โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน
ด้าน
นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกกรุงเทพมหานคร กล่าว ยืนยันว่า
กทม.ไม่นิ่งเฉยกับการทุจริต เป็นนโยบายหลักของผู้บริหารชุดนี้ที่ยอมรับไม่ได้
ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ผู้ว่าฯชัชชาติเข้ามารับตำแหน่ง มีการไล่ออกข้าราชการ
กทม.ไปแล้ว 29
ราย เป็นเรื่องความผิดฐานทุจริตโดยตรง 12 ราย
แบ่งเป็นเรียกรับสินบน 6 ราย จัดซื้อจัดจ้าง 3 ราย เอาเงิน กทม.ไปใช้ 3 ราย ส่วนอีก 17 รายเป็นเรื่องอื่น ๆ