ศาลยืนคุก
6 ปี “อนุรักษ์” ปมเรียกรับสินบนอธิบดีกรมน้ำบาดาล 5
ล้าน ทนายเดชา รับ “อนุรักษ์” ทำใจไว้แล้ว เตือนกรรมาธิการ
จะตรวจสอบใครต้องร้องผ่านสภาเท่านั้น
วันนี้
(9 กรกฎาคม 2567) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง นายอนุรักษ์
ตั้งปณิธานนท์ ประธานมูลนิธิ "ตั้งปณิธานนท์" อดีต สส. จังหวัดมุกดาหาร
พรรคเพื่อไทย จำเลยในเรียกรับสินบน 5
ล้านบาทจากอดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลพร้อมทนายเดชา กิตติวิทยานันท์
ได้เดินทางมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ คดี อม.อธ.7/2566
ระหว่างอัยการสูงสุด เป็นโจทก์ กับนายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต สส.
จังหวัดมุกดาหาร พรรคเพื่อไทย เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ คดีเรียกรับสินบน
5 ล้านบาทจากอดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาลสำหรับคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 เมษายน
2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษาให้จำคุกอนุรักษ์
6 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมสั่งเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้งตลอดไป
และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี ห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น
โดยนายอนุรักษ์
กล่าวว่า ตนสบายใจ คดีนี้ตนทำหน้าที่กรรมาธิการงบประมาณ เป็นฝ่ายค้าน
หน้าที่คือทำให้งบประมาณเหมาะสมกับราคา ไม่ว่าจะเป็นกรมหรือกระทรวงไหน ๆ
ก็ต้องมาขอ เรามีหน้าที่ซักถาม ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
แต่กรมทรัพยากรน้ำบาดาลไม่ส่งแบบแปลนประมาณการให้ ไม่รู้ว่าจะหวงไปทำไม
เพราะเราได้ตรวจสอบแล้วว่ามีการทำผิดแบบทั่วประเทศ
“สำนวนคดีไม่มีพยานหลักฐาน
ไม่มีวัตถุพยานหรือประจักษ์พยานในคดีก็ไม่มี คดีนี้โทษสูงสุดคือประหารชีวิต
การที่จะลงโทษพนักงานสอบสวนต้องล่อซื้อ เพื่อจะต้องได้หลักฐานมั่นคง
เพราะอัตราโทษสูง แต่คดีตนไม่มีอะไรเลย มีคนกล่าวหาคือ นายศักดาเท่านั้น
เขามีความโกรธเคืองอาฆาตตน และพยานปากเดียวที่ศาลเชื่อลงโทษตน เพราะนายศักดา
เป็นข้าราชการระดับสูง”
ส่วนตัวมองว่า
ไม่ถูกต้อง นายศักดาก็ให้การไม่อยู่กับร่องกับรอย ให้การขัดแย้งกับพยานปากอื่น
บอกพยานที่มี 16-17 ปาก ก็เป็นพยานบอกเล่าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์
พยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ป.ป.ช. ก็ไม่สอบปากคำ
ตนส่งให้คณะกรรมการวินิจฉัยอุทรณ์หมดแล้ว และเชื่อว่าท่านจะพิพากษาคดีถึงที่สุด
จะต้องเชื่อโดยปราศจากความสงสัยถึงจะลงโทษตนได้
ตนมั่นใจว่าศาลฎีกาจะให้ความเป็นธรรมกับตน
เมื่อถามว่า
ถ้าผลไม่ได้เป็นบวกอย่างที่คิดจะทำอย่างไร นายอนุรักษ์ เผยว่า สุดแล้วแต่ศาล
ถ้าศาลตัดสินยังไงก็ต้องเป็นเป็นไปตามนั้น
“ตนขอให้คดีนี้เป็นคดีแรกและคดีสุดท้ายที่กล่าวหา
สส. รับเงินจากหน่วยงานต่าง ๆ
คำกล่าวหาตนว่าเรียกรับเงินเพื่อแลกกับการปรับลดงบประมาณ ตนเป็นหนึ่งใน 500 เสียง
พรรคเพื่อไทยทั้งพรรคก็ไม่สามารถต่อรองเรียกเงินใครได้ เพราะเป็นฝ่ายค้าน สส.
ที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์
ตรงไปตรงมากับการปรับลดงบประมาณให้เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง คณะกรรมการ ป.ป.ช.
ไม่เข้าใจกฎหมายดังกล่าว คำกล่าวหาก็ไม่สมเหตุสมผล ตนเป็นหนึ่งใน 500
เสียงเท่านั้น นายศักดา จะกลัวทำไม จะเอาเงินมาให้ตนทำไม ยืนยันว่าไม่มี”
เมื่อถามว่าถ้าผลออกมาเป็นบวกจะดำเนินคดีกลับ
นายศักดา หรือไม่ นายอนุรักษ์ ย้ำว่า อย่าพึ่งพูดค่อยว่ากันทีหลัง
เพราะยังไม่ถึงขั้นนั้น วันนี้ตนขอมาฟังคำพิพากษาเท่านั้น
สำหรับคดีดังกล่าว
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า นายอนุรักษ์ กระทำผิดตามฟ้องจริง ตาม พ.ร.ป.
ว่าด้วยการป้องกันและปรับปรามการทุจริตฯ พ.ศ. 2561 มาตรา 173 และประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 149 องค์คณะผู้พิพากษามีมติเสียงข้างมากลงโทษจำคุก 6 ปี ให้พ้นจากตำแหน่ง สส.
ตั้งแต่วันที่ 19 เม.ย. 65 เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดไป
ไม่มีสิทธิดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ
ตามที่ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาคดีจริยธรรมร้ายแรงก่อนหน้านี้
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่าเมื่อเวลา
09.20 น.นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมืองในรัฐบาลเศรษฐา
ทวีสิน และสมาชิกมูลนิธิตั้งปณิธานนท์ 100 คน ได้เดินทางมาให้กำลังใจ-พูดคุย
พร้อมมอบดอกกุหลาบสีขาว นายอนุรักษ์ ก่อนจะเข้ารับฟังคำวินิจฉัยของศาล
ต่อมาเมื่อเวลา
12.50 น. นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์
ในฐานะทนายความของ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ อดีต สส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย
ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหลังจากที่ ศาลฎีกาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ พิพากษายืนจำคุก
นายอนุรักษ์ 6 ปีไม่รอลงอาญา ว่า ศาลพิพากษา 3-4 ประเด็น คือ เจ้าพนักงานมีอำนาจหน้าที่ในการแสดงความคิดเห็น
เสนอแนะเกี่ยวกับการปรับลดงบประมาณ ส่วนประเด็นที่สอง การเรียกรับเงิน
ศาลเชื่อพยานปากเดียวคือ นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ อดีตอธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล
ถึงแม้จะไม่มีเส้นทางเงินหรือหลักฐานใด ๆ อีกทั้งยังมีพยานแวดล้อมที่ นายศักดา
ได้ไปพูดกับบุคคลอื่น และเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ จึงเชื่อว่าสิ่งที่ นายศักดา
พูดเป็นเรื่องจริง
สำหรับประเด็นที่
3 ส่วนการซักถามงบประมาณในคณะกรรมาธิการ
เป็นการซักถามที่ศาลมองว่าไม่มีพยานหลักฐานที่จะซักถาม
ไม่ใช่การตรวจสอบแต่เป็นการสร้างความกังวลใจให้กับอธิบดี ส่วนเรื่องที่นายศักดา
บอกว่ามีเทปมีคลิป แต่ไม่มี
ทนายเดชา
กล่าวอีกว่า ศาลพิพากษาจำคุก 6 ปี ตามศาลฎีกาเดิม
คดีถึงที่สุดแล้วทำอะไรไม่ได้
“คดีนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับนักการเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้งบประมาณ
ต้องระวังเวลาซักถามในชั้นกรรมาธิการ ต้องถามตามปกติ
ถ้าชักวนไปวนมาอาจจะมองว่าเรามีเจตนาทุจริตและตบทรัพย์”
ส่วนการจะตรวจสอบการใช้งบประมาณของกระทรวง ทบวง กรม จะต้องมีหลักฐานประกอบ
ถ้าเราไปซักถามโดยไม่มีหลักฐาน
ศาลจะมองว่าไม่ใช่การตรวจสอบแต่เป็นการสร้างความกังวลให้กับอธิบดีแต่ละกลุ่มว่าจะโดนตัดงบประมาณ
ส่อไปในทางทุจริต
ส่วนเรื่องการต่อสู้คดี
ถ้าต้องการนำพยานหลักฐานมาสู้ ตนฝากถึงนักการเมือง
พอโดนแจ้งข้อกล่าวหาคำพิพากษาของศาล ต้องนำพยานมาให้ ป.ป.ช. ไต่สวนภายใน 30 วัน
ถ้าเกินกำหนดจะทำให้เสียโอกาสในการเรียกพยานบุคคลมาสู้คดี
สำหรับการขอเอกสารหลักฐานจากอธิบดีต่าง
ๆ กรรมาธิการจะโทรศัพท์ไปคุยเองไม่ได้ ต้องผ่านเจ้าหน้าที่ของรัฐสภา
นี่คือบทเรียนที่จะต้องระมัดระวังในการทำหน้าที่กรรมาธิการ
นอกจากนี้
ศาลก็เชื่อคำพูดของอธิบดีในการให้ปากคำ ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน
เมื่อถามถึงสภาพจิตใจของนายอนุรักษ์
ทนายเดชา เผยสั้น ๆ ว่า นายอนุรักษ์ ทำใจได้ทำใจตั้งแต่ก่อนมา ไม่มีอะไรต้องกังวล
มีเพียงโรคส่วนตัวที่จะต้องกินยา