ในพื้นที่ปลอดภัยเมื่อไหร่จะเปิดโรงเรียน ?
นายณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ กล่าวในรายการ ‘หัวใจไม่หยุด‘เต้น’’ เมื่อวันที่ 25 พ.ค.63
ว่า
‘ตลอดเวลาที่ผ่านมา
คนไทยทั้งประเทศเข้าใจตรงกันหมดว่าการเรียนออนไลน์ที่พูดถึง หมายความว่าต่อไปนี้เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นเด็กเล็กจนถึงมหาวิทยาลัยจะต้องเข้าสู่ระบบการเรียนการสอนแบบใหม่
นิวนอร์มัลเรียนออนไลน์
รัฐบาลไม่เคยส่งสัญญาณเป็นอย่างอื่น
พ่อแม่ผู้ปกครองมีความวิตกกังวล หลายคนไม่มีเงินซื้ออุปกรณ์ให้ลูกเรียน
เทคโนโลยีต่างๆ ขาดความพร้อม กลายเป็นคำถามข้อใหญ่ขึ้นทั้งสังคมไทยว่า
ถ้าเรียนออนไลน์แล้วลูกหลานจำนวนมากตกขบวนเข้าถึงระบบไม่ได้
ใครจะรับผิดชอบแล้วจะแก้ไขกันยังไง
ผู้ปกครองหลายคนกู้หนี้ยืมสิน
ซื้อโทรศัพท์ให้ลูก
โรงจำนำหัวกระไดไม่แห้งเพราะพ่อแม่ต้องมีเงินให้ลูกเตรียมเรียนออนไลน์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตระเวนเยี่ยมบ้านนักเรียนในช่วงทดลองการเรียนออนไลน์
ภาพที่ปรากฏมีแต่เด็กชั้นประถมมีแต่เด็กเล็กทั้งนั้น
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจะให้คนเข้าใจว่ายังไง
เมื่อมีเสียงวิจารณ์มากขึ้น
เกิดคำถามมากเข้า จู่ๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการประกาศว่า อย่าได้เข้าใจผิด
นักเรียนชั้นอื่นไม่เกี่ยว ที่จะเรียนออนไลน์เป็นเด็กชั้น ม.ปลายเท่านั้น
เฮ๊ย!
ทำอย่างนี้ก็ได้เหรอ
ในสถานการณ์โรคระบาดซึ่งเกิดผลกระทบเป็นวิกฤตทุกด้าน
คุณทำงานสุกเอาเผากิน พูดไว้อย่างหนึ่ง พอเกิดปัญหาก็เปลี่ยนไปพูดอีกอย่าง
เกิดความสับสนผู้คนตึงเครียด แล้วทุกคนก็เฉยๆ ไม่มีใครรับผิดชอบอะไร
ทำท่าจะกลายเป็นความผิดของประชาชนที่คิดกันไปเอง เข้าใจกันไปเอง
รัฐมนตรีจะเล่นเกมการเมืองภายในพรรคพลังประชารัฐก็ว่าไป
แต่ประชาชนไม่ใช่เพื่อนเล่น นี่ยังเดาไม่ออกว่า ถ้าในระดับมัธยมปลายมีปัญหา
รัฐมนตรีจะว่าไปยังไงทางไหนอีก
เหล่าคณะผู้บริหารในกระทรวงศึกษาธิการช่วยกันเป็นหลักให้ความหวังกับประชาชนเถอะครับ
อย่าพากันเดินงงเข้ารกเข้าพงกันไปหมด
ถ้ายังเป็นแบบนี้สรุปได้เลยว่า
การเรียนออนไลน์ที่พูดไว้จะกลายเป็นเรื่องลักลั่น เหลื่อมล้ำ ล้มเหลว
เยาวชนของชาติลูกหลานของประชาชนจะเป็นผู้เสียหาย
-นานาชาติก่อน นาดอนทีหลัง
ส่วนเรื่องวันเปิดเทอม
เห็นข่าวว่าจะมีการพิจารณาให้โรงเรียนนานาชาติ 216 โรงเรียนทั่วประเทศเปิดทำการเรียนการสอนก่อนในวันที่
1 มิถุนายน
ผมไม่ขัดข้องครับ
ถ้าพิจารณาโดยรอบคอบแล้วว่าทำได้ก็เดินหน้าเลย
เพราะต้องยอมรับความจริงว่าโรงเรียนนานาชาติส่วนใหญ่น่าจะมีระบบบริหารจัดการหรือสิ่งแวดล้อมทั้งในห้องเรียนและในโรงเรียนพร้อมกับสถานการณ์โควิด
พร้อมกับการคัดกรองป้องกันการแพร่ระบาดของโรคได้มากกว่าโรงเรียนทั่วๆ ไป
แต่ถ้าจะเริ่มเปิดโรงเรียนนานาชาติกันแล้วซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
คำถามก็คือ แล้วโรงเรียนในจังหวัดที่ปลอดโรคมาตั้งแต่ต้น
เป็นพื้นที่สีเขียวมาโดยตลอดจะให้รอถึงพ.ศ.ไหน
หลักคิดเรื่องนี้
จึงไม่น่าจะอยู่ที่ นานาชาติหรือไม่นานาชาติ แต่ต้องเริ่มต้นที่คำว่า
เด็กต้องได้รับโอกาสทางการศึกษาและสิ่งแวดล้อมของสถานศึกษามีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อพัฒนาการของเยาวชน
ไม่ต้องไปยกสถานการณ์ที่เกาหลีใต้มาอ้างนะครับว่าที่เมืองอินชอนหลังจากมีการเปิดโรงเรียนเพียงไม่กี่ชั่วโมงต้องสั่งปิดแล้วเอาเด็กนักเรียนกลับบ้านทันที
เพราะพบนักเรียนติดเชื้อ
นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองอินชอน
ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการแพร่ระบาดของโรคมาก่อน แต่ที่ผมพูดหมายถึงเมืองพิจิตร
เมืองสิงห์บุรี เมืองชัยนาท
เมืองอ่างทองและอีกหลายเมืองที่เขาไม่เคยมีแม้แต่คนเดียวเป็นผู้ติดเชื้อ
แทบทั้งหมดของนักเรียนเป็นเด็กในพื้นที่
น้อยยิ่งกว่าน้อยที่จะมีเด็กเดินทางข้ามจังหวัดไปเรียนในจังหวัดปลอดเชื้อดังกล่าว
ทำไมไม่พิจารณาอย่างจริงจังในมิตินี้บ้าง
โรงเรียนนานาชาติทำได้ก็ว่าไป แต่ลูกหลานชาวบ้านในต่างจังหวัด
การไปโรงเรียนหมายถึงมีคนดูแล มีอาหารกลางวัน มีนมโรงเรียนกิน
กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาโดยละเอียดเถอะครับ
อย่าให้กลายเป็นภาพของความเหลื่อมล้ำว่าโรงเรียนนานาชาติพิจารณาก่อน
โรงเรียนนาลุ่มนาดอนพิจารณาหลัง
-จะจัดมวยต้อง 'สอบมวย' ด้วยนะ
มีข่าวกรรมการที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาจะอนุญาตให้จัดการแข่งขันชกมวยได้ตั้งแต่
15 มิถุนายนเป็นต้นไป
ส่วนตัวผมไม่คัดค้านนะครับ
เพราะโดยหลักการ ต้องช่วยให้ทุกประเภทกิจการทุกวงจรชีวิตของประชาชน
กลับคืนมาสู่ปกติโดยเร็ววัน
สำคัญก็คือจะป้องกันการแพร่ระบาดของโรคจากการเปิดกิจกรรมหรือกิจการต่างๆ
ได้อย่างไร
เรื่องมวย
ผมว่าที่คนกังวล ไม่ได้อยู่ที่ชกกันล่ะครับ
แต่อยู่ที่การเข้าไปเชียร์กันในสนามเป็นจำนวนมากๆ ในพื้นที่จำกัด
แล้วคนเชียร์มวยไปเฮกันอยู่ที่เดียวกันคราวละ 2-3 ชั่วโมง
ประสบการณ์ตรงที่ผ่านมา
ก็คือ กลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดเชื้อไปทั่วประเทศ
ในสนามมวยถ้าตัดเรื่องกองเชียร์ออกจะเหลือคนจริงๆ ไม่เท่าไหร่ครับ ชกกันเสร็จ
แต่ละฝ่ายกักตัว 14
วัน
ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร เพราะโดยทั่วไปนักมวยชกเสร็จ
ต้องมีเวลาพักหลายวันอยู่แล้ว แฟนมวยก็ติดตามทางการถ่ายทอดเอา สำคัญก็คือ
กองเชียร์มวยตู้ทั้งหลายที่นั่งดูหน้าจอหลายสิบคน บางที่เป็นร้อยคน
ตรงนี้เป็นอีกมุมหนึ่งที่ต้องพิจารณา
แต่พูดก็พูดเถอะ
ถ้าจะจัดชกมวยกันจริงๆ อยากรู้ผลสอบเวทีมวยซึ่งรัฐบาลออกคำสั่งห้ามจัดแล้ว
แต่ยังเปิดให้จัดชกจนกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อ
เห็นกองทัพตั้งกรรมการสอบเดือนกว่าแล้ว
มีคำตอบหรือยังจ๊ะ
-ผับ บาร์ ไม่ใช่ส่วนเกินของสังคม
ไม่ใช่แค่เรื่องมวย
ผมว่าส่วนที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาทุกวิชาชีพที่กำลังได้รับผลกระทบและต้องยุติการดำเนินกิจการ
ผับ บาร์ พวกรับจ้างจัดคอนเสิร์ต รับจ้างจัดงานกิจกรรมงานอีเวนท์ทั้งหลาย
ถึงวันนี้อย่าบอกแค่ให้รอก่อน
แต่ต้องช่วยกันคิดหาคำตอบว่าจะกลับมาเปิดได้อีกเมื่อไหร่ แน่นอนล่ะครับว่าอาชีพเหล่านี้
ต้องนิวนอร์มัล แต่ถ้าให้รอต่อไปนานๆ
คนเป็นแสนเป็นล้านในวงจรธุรกิจนี้ซึ่งไม่มีงานไม่มีเงินจะยิ่งไม่มีกิน
พวกเขาไม่ใช่ส่วนเกิน แต่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม มือของรัฐต้องเอื้อมไปให้ถึง
มีหน่วยงานเข้าไปจับมือ ร่วมกันคิดร่วมกันออกแบบ
นิวนอร์มัลที่จะทำให้กิจการกลับมาเดินได้
อย่าไปพูดง่ายๆ ให้เค้าเปลี่ยนอาชีพนะครับ
เพราะสำหรับหลายคนที่เกิดและเติบโตในอาชีพเหล่านี้
การบอกให้เปลี่ยนอาชีพเท่ากับไล่ให้ไปตาย
โควิดมีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงโลกก็จริง
แต่วันหนึ่งไอ้โรคระบาดนี้มันต้องหายไป และเมื่อถึงวันนั้น ทุกคนทุกอาชีพสุจริต
ต้องยังยืนอยู่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายอะครับ แต่รัฐบาลมีปัญญาทำไหมล่ะ
-6 ปีรัฐประหาร?
มีหลายคนบอกผมให้รำลึกครบรอบ
6 ปี รัฐประหาร ที่ผ่านมาทุกปีมีทั้งโพสต์บทความในสื่อออนไลน์
ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน มาปีนี้จะรำลึก 6 ปีรัฐประหารผ่านรายการนี้ล่ะครับ
บางคนบอกว่า
ณ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบหรือประชาธิปไตยครึ่งเสี้ยว
ผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะการเป็นประชาธิปไตย ต้องเป็นโดยหลักการ
ไม่ใช่เป็นโดยเผด็จการ
พล.อ.ประยุทธ์
ยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับเก่า แล้วพล.อ.ประยุทธ์ตั้งคนมาร่างขึ้นใหม่
หลังจากนั้น แม่น้ำ 5
สายซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ตั้ง โหวตคว่ำ
จึงต้องตั้งกรรมการขึ้นมาร่างอีกที
เมื่อผ่านความเห็นชอบ
พล.อ.ประยุทธ์ก็ให้มีการทำประชามติตามกติกาที่พล.อ.ประยุทธ์กำหนด
ใครเคลื่อนไหวคัดค้านกลไกรัฐใต้อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ ก็จะจับกุมดำเนินคดี
เมื่อรัฐธรรมนูญผ่านประชามติมีผลบังคับใช้
ก็ชัดเจนว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นมาเพื่อพล.อ.ประยุทธ์และพวกเท่านั้น มีส.ว. 250 คน
ซึ่งตั้งโดยพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งหมดยกมือโหวตพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี
พรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามของพล.อ.ประยุทธ์ถูกมัดมือมัดเท้าด้วยกติกา
พรรคใหญ่สุดไม่มีปาร์ตี้ลิสต์
พรรคอื่นๆ พลาดเก้าอี้เพราะสูตรการนับคะแนนพิสดารที่ไม่เคยมีที่ไหนในโลก
มีเพียงในกติกาที่ร่างขึ้นมาเพื่อพล.อ.ประยุทธ์เท่านั้น
ด้วยตัวอย่างที่พูดมา
จึงชี้ชัดได้ว่า เรายังเป็นเผด็จการอยู่นั่นเอง
ประชาธิปไตยไม่มีครึ่งใบครึ่งเสี้ยว ประชาธิปไตยคืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศเป็นของประชาชน
แต่วันนี้อำนาจประชาชนไม่สามารถกำหนดทิศทางและอนาคตประเทศได้
พรรคการเมืองที่ได้คะแนนเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งไม่มีทางเป็นรัฐบาล
ถ้านายกฯ ไม่ชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถ้าจะเป็นประชาธิปไตย
ต้องเป็นเต็มใบและถ้าวันนี้ยังไม่เป็น ก็ต้องสู้กันต่อไป แต่สิ่งที่เกิดขึ้น
ก็ได้สร้างนิวนอร์มัล หรือความเป็นปกติใหม่ในสังคมไทย
เพราะระบบอำนาจภายใต้พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้คนกลุ่มหนึ่งที่เคยต่อต้านระบอบทักษิณ
ต่อต้านนักการเมืองโกง ต่อต้านวุฒิสภาทาส ต่อต้านอำนาจรัฐที่ไร้การตรวจสอบ
กลายเป็นกลุ่มที่ยอมรับสิ่งเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ยอมรับระบอบทักษิณ แต่ยอมรับนักการเมืองที่เคยเป็นลูกพรรคทักษิณ
ย้ายไปอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ ลองนับดูสิครับในพรรคพลังประชารัฐ
ในครม.ชุดนี้มีลูกพรรคทักษิณกี่คน แล้วแต่ละคนน้ำดีใจซื่อมือสะอาดทั้งนั้นใช่ไหมครับ
ไม่ยอมรับวุฒิสภาจากการเลือกตั้ง
แต่ยอมรับวุฒิสภาจากพล.อ.ประยุทธ์ตั้ง
ไม่ยอมรับอำนาจรัฐที่ไร้การตรวจสอบ
แต่ยอมรับคำตอบว่านาฬิกาทั้งหมดเป็นของเพื่อน
บอกว่านักการเมืองเป็นพวกทำลายชาติ
ไว้วางใจไม่ได้ แล้ววันนี้ใครจะปฏิเสธไหมครับว่า ‘3 ป.’ ไม่ใช่นักการเมือง
ไม่ยอมรับการแก่งแย่งชิงอำนาจกันของนักการเมือง
แต่ยอมรับเกมชิงอำนาจในพรรคพลังประชารัฐ
นี่ล่ะครับนิวนอร์มัล ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
ได้อย่างไอ้ที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี่แหละ’นายณัฐวุฒิกล่าว
(ทีมงาน)