#10ปีพฤษภา53
#10ปีพฤษภาถามหาฆาตกร
ฝากไว้ให้ตราตรึง
พล.อ.อดุล อุบล
ยุทธการ
"รุมยิงนกในกรง" ที่คนไทยต้องอ่าน!!!
จากมติชนสุดสัปดาห์
ฉบับประจำวันที่
7-13 มีนาคม 2557
ผมขออนุญาตอีกครั้งหนึ่งครับ
ด้วยที่ผมคงต้องเขียนอะไรแรงๆ ลงไปในตอนนี้ เนื่องจากความรู้สึกที่อดสูและสมเพชในบุคคลหลายคนที่ไม่ควรจะเป็นได้ถึงตำแหน่งเหล่านั้น
มันเป็นเรื่องที่พวกเราคงทราบดีกันแล้วจากสื่อเป็นเรื่องที่
hot ที่สุดเรื่องหนึ่งในสังคมตอนนี้
และจะเป็นเรื่องที่มีผลในทางคดีความกันไปอีกนาน
และอาจจะเป็นความแตกแยกภายในชาติอีกระดับหนึ่ง ถ้าแก้ไขกันไม่ถูกต้อง
ผมไม่ได้รับหนับสือเสนาธิปัตย์มาเป็นปี
ทั้งๆ ที่จ่ายเงิน (โดนหักโดยอัตโนมัติ) มาตลอด ก็ไม่ทราบเรื่องราวอัปยศเช่นนี้
มาทราบก็ต่อเมื่อมีการออกมาวิจารณ์กันทางสื่อเรียบร้อยแล้ว
และก็มีทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องโทรศัพท์มาถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นด้วย
ทั้งพี่และน้องเหล่านั้นพูดเหมือนกันว่า
"มันเป็นทหารกันหรือเปล่าวะ"
สามารถออกคำสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อาวุธสงครามที่จัดหามาจากภาษีอากรของประชาชน
สังหารประชาชนมือเปล่า
แล้วยังมีหน้ามาวิเคราะห์บทเรียนจากการปฏิบัติการนั้นว่าสำเร็จอย่างเลอเลิศสรรเสริญและชื่นชมกันราวกับ"วีรบุรุษสงคราม"
ผู้พิชิตชัยชนะในสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชน ภายในชาติของตนเองที่มีแต่มือเปล่า
และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง และคนแก่
ผมอยากจะทราบว่า
ถ้าผู้ที่มาร่วมชุมนุมเหล่านั้นถืออาวุธมาจากบ้าน
อย่างน้อยปืนสั้นหรือปืนยาวคนละกระบอกพร้อมกระสุนตามมีตามเกิด
ภาพมันจะเป็นอย่างนี้ไหม
บางคนบอกว่า
การวิเคราะห์ "บทเรียนจากการกระชับวงล้อม" (ในหนังสือเสนาธิปัตย์)
ผู้วิเคราะห์ถูกสั่งให้กระทำเพื่อเป็นการเอาใจ (มันก็ประจบสอพลอนั่นแหละวะ)
ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพ
อย่างไรก็ตาม
ไม่ว่ามันจะถูกกระทำขึ้นเพื่อเป็นการเอาใจ หรือเพื่อการเป็นการนำไปใช้ฝึกและศึกษา
หรือเป็นองค์ความรู้ทางวิชาการ
หรือเพื่อเป็นการอยากจะบอกความจริงของผู้วิเคราะห์ก็ตาม
มันก็เป็นประวัติศาสตร์อัปยศของกองทัพอยู่ดี
ผมอยากจะรู้ว่าเราจะเอาประสบการณ์
องค์ความรู้ หรือ ผลแห่งความสำเร็จนี้ไปอวดใครที่ไหน
อย่าว่าแต่กับประชาชนภายในชาติเลย
ต่อให้ทหารต่างชาติและสังคมโลก เขาคงจะต้องสมเพชกองทัพไทยแน่
ผมมีความภาคภูมิใจมากในอดีตที่เคยดำรงตำแหน่งสำคัญอยู่ทั้ง
2 หน่วยนี้ คือ อาจารย์อำนวยการส่วนวิชายุทธวิธี รร.เสนาธิการทหารบก
และก่อนหน้าที่จะเป็นพลเอกนี้
ผมเป็นเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก เป็นตำแหน่งที่เขาขนานนามกันว่า
"ครูใหญ่ของกองทัพบก"
ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าหน่วยที่ผมภาคภูมิใจจะทำเอกสารทางวิชาการออกมาได้แบบนี้
ผมอยากจะถามว่า
พวกท่านมีความรู้สึกเป็นวีรบุรุษและมีความภาคภูมิใจมากนักหรือกับความเป็นจริงเหล่านี้
1.
ท่านใช้กำลังทหาร 4 กองพล ซึ่งเท่ากับ 1 กองทัพน้อย (corps) ที่กองทัพ
US ใช้เป็น Main effort (ME) ในการขับไล่กองทัพอิรักออกจากการยึดครองประเทศคูเวต
แต่พวกท่านเอามาใช้ล้อมปราบประชาชนที่ไม่มีอาวุธ และเต็มไปด้วยเด็ก ผู้หญิง
และคนแก่
2.
ท่านใช้พลซุ่มยิงทั้งกองทัพ รุมยิงเป้าหมายผู้ชุมนุมที่ถูกล้อมอยู่ ดุจดัง
ยิงนกในกรง
3.
ท่านประกาศว่าเป็นการทำสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชนภายในชาติด้วยกำลังรบผสมเหล่า
ทั้งทหารราบ ทหารม้ายานเกราะ หน่วยบิน พลซุ่มยิง หน่วยรบพิเศษ หน่วยส่งทางอากาศ
ขาดแต่อาวุธปืนใหญ่ นี่ยังไม่นับหน่วยข่าวกรองอีกจำนวนมาก
4.
ท่านมีความภาคภูมิใจว่ามีการวางแผนประณีตมีการซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
5.
ท่านให้ข้อมูลที่ทำให้แน่ใจได้ว่ามีการสมรู้ร่วมคิดกันระหว่างฝ่ายการเมืองและฝ่ายทหารเป็นอย่างดี
เพราะทั้งรัฐบาลและกองทัพมีความเป็นเอกภาพ
มีการสั่งและควบคุมการปฏิบัติการอย่างสมบูรณ์แบบตามลำดับสายการบังคับบัญชา (Chain of Command)
6.
ท่านชี้ให้เห็นถึงการใช้กระสุนจริงเป็นผลดีต่อขวัญและกำลังใจของทหาร
โดยเฉพาะมีการประกาศเขตใช้กระสุนจริงใน down town ของ กทม.
แค่นี้ผมก็อยากจะอ้วกแล้วครับ
ผมคิดว่าท่านกำลังจะทำให้นายทหารรุ่นหลังๆ
เข้าใจผิดไปว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง
เป็นบทบาทและหน้าที่ของทหารของชาติอย่างแท้จริง
หรือก็เพราะไอ้ชัยชนะแบบนี้เองหรือเปล่าที่ทำให้หลงคิดว่ารบเก่งกันทั้งกองทัพอยู่ทุกวันนี้
เคยคิดในมุมมองอื่นกันบ้างหรือไม่ว่าเหตุการณ์นี้ต้องทำบทเรียน
(Lesson
Learn) แน่นอน
แต่ทำอีกด้านหนึ่งคือวิจารณ์ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้อีก
และถ้ามันเริ่มมีอาการเราจะหยุดอาการเหล่านั้นตั้งแต่แรกอย่างไร
จะดับเหตุแห่งความขัดแย้งในสังคมตั้งแต่แรกได้อย่างไร
เมื่อถึงขั้นที่การควบคุมจะเป็นไปไม่ได้แล้วใครจะเป็นฝ่ายเสียสละระหว่างประชาชนส่วนใหญ่หรือรัฐบาล
บทวิเคราะห์ของ
ยศ.ทบ. กรณีนี้ไม่ได้อะไรแก่สังคมนอกจากการขยายช่องว่างของความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคมไทยให้มากขึ้นไปอีก
และได้คิดกันบ้างหรือเปล่าว่าข้อเท็จจริง (Facts) ที่ท่านเอามาเป็นหลักฐานในการวิเคราะห์นั้น
มันจะกลับมาเป็นพยานหลักฐานว่าบรรดาฝ่ายการเมืองและผู้นำทหารกล่าวเท็จกับสาธารณชนไว้อย่างไรบ้าง
แล้วมันจะนำไปฟ้องเป็นคดีความกันได้มากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งคือ
มันเป็นการยอมรับกับผู้ชุมนุมว่ารัฐบาลไม่เคยมีความมุ่งหมายในการเจรจานอกจากการสลายการชุมนุมเท่านั้น
จึงเท่ากับส่งสัญญาณให้ฝ่ายชุมนุมตระหนักว่าในการชุมนุมครั้งต่อไป
ไม่ว่าจะชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธหรือไม่
พวกเขาจะต้องถูกปราบปรามด้วยความรุนแรงและด้วยกำลังทหารแน่นอน
ดังนั้น
จะเป็นอะไรไปถ้าพวกเขาจะนำอาวุธประจำบ้านตามมีตามเกิดติดตัวมาด้วยเพื่อป้องกันตนเอง
แล้วอะไรมันจะเกิดขึ้น
ผมไม่อยากนึกถึงภาพเลย
(เขียนเมื่อ
30 มิถุนายน 2554)