วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ : ครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ เมษา - พฤษภา 2553


ยูดีดีนิวส์ : 21 พ.ค. 63 ในวาระ 10 ปี เหตุการณ์ เมษา - พฤษภา 2553 ได้มีการจัดงานทำบุญ (ทำสังฆทาน) อุทิศส่วนกุศลให้แก่วีรชนเหล่านั้น และมีการกล่าวรำลึก 10 ปี ของเหตุการณ์ที่นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการต่อสู้ของประชาชน และถูกฆ่าล้่อมปราบอย่างโหดเหี้ยมป่าเถื่อนที่สุด ดังนั้น อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ในฐานะอดีตประธานนปช. ได้กล่าวรำลึกและให้กำลังใจ ความว่า

สวัสดีค่ะพี่น้องที่นี่และทางบ้านทุกท่าน ในวันนี้เป็นวาระพิเศษ เพราะบรรยากาศอย่างนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ แต่ว่าเราไม่ได้นัดใครมาชุมนุม อันนี้เป็นการพบปะในสถานการณ์โควิด เป็นการกล่าวรำลึกหอมปากหอมคอเล็กน้อย และหลายท่านก็ได้ทวนอดีตไปไกล

เมื่อเช้านี้เราได้ดูภาพยนตร์ซึ่งก็ถือว่าเป็นการย้อนรอยประวัติศาสตร์ ความจริงเรื่องราวของการรำลึกเหตุการณ์เราได้ทำมาเป็นลำดับ ตั้งแต่ครบ 1 เดือน, 3 เดือน เป็นปี ก่อนหน้านั้นเรามีการขึ้นรถในขณะที่แกนนำทั้งหลายังอยู่ในเรือนจำ มีการนั่งรถมาอนุสาวรีย์ หรือว่าเดินเท้าแล้วก็ไปราชประสงค์ ก็ทำอย่างนี้ทุกเดือน จนกระทั่งในคอ ในจมูก อาจารย์มีเสมหะลึก ๆ เป็นสีดำ เพราะว่าขี้ฝุ่นมันเยอะ แล้วก็มีการจัดเวทีปราศรัยมาเป็นลำดับ เพราะว่าหลังจากนั้นมีรัฐบาลคั่นอยู่ คือได้รัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ดังนั้นเราสามารถจัดงานรำลึกได้ค่อนข้างบ่อย สารคดีวีดีทัศน์ “รุมยิงนกในกรง” ก็ทำขึ้นในปีที่สามที่มีการชุมนุมที่ราชประสงค์ ในปีที่ 1 ก็มี (ในปี 54) แล้วก็มีบางคนซึ่งมีการเปลี่ยนข้างไปอยู่อีกข้างหนึ่ง เนื่องจากเวทีของเราไม่สะดวกที่จะให้แกนนำขึ้นมาพูดเพราะว่ามันอยู่ในระหว่างพระราชกฤษฎีกา อาจารย์เป็นประธานนปช.ในช่วงนั้น ก็ได้รับคำขอร้องจากสถานีเอเชียอัพเดทตอนนั้น (คุณวรุฒก็มาอยู่ที่นี่ด้วย) ห้ามไม่ให้แกนนำขึ้นเวที ก็มี อ.ธิดากับคุณวีระเท่านั้น ก็ทำให้แกนนำบางท่านโกรธเคือง นี่ยกตัวอย่าง เพราะว่าพอมีการเปลี่ยนข้างความทรงจำเราก็ย้อนกลับมาว่าบางครั้งคนมันก็พิสูจน์ให้เห็นมานานแล้ว เพียงแต่จะเห็นหรือเปล่าเท่านั้น

นั่นก็คือเราได้มีการจัดรำลึกมาตลอด และพี่น้องทุกครั้งอุ่นหนาฝาคั่ง อย่างวันนี้เราไม่ได้นัดเลย ไม่มีการนัดเลย ก็ใช้วิธีว่าพี่น้องเราที่จะมารับถุงยังชีพก็เป็นตัวแทนของพี่น้องอยู่จำนวนหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับเหตุการณ์โควิด จึงเป็นการจัดงานครบรอบ 10 ปีที่เล็ก ๆ มาก แต่เราเชื่อว่าการถ่ายทอดออกไปในยูดีดีนิวส์และบทความน่าจะมีพลังพอสมควร

ก่อนหน้านี้เราก็มีการปูพื้น (ในส่วนของเราและคนส่วนอื่น) ก็ทำให้เกิดกระแสของสังคมในการตามหาความจริง ในการหาความยุติธรรม สำหรับเรา เราอยู่กับความเป็นจริง เราไม่ต้องตาม แต่เรามีหน้าที่ที่จะต้องเปิดเผยความจริง ดังนั้นแฮชแท็กของพวกเราก็ควรจะเป็นว่า “ทวงความยุติธรรม เปิดเผยความจริง”

แต่คำถามว่า...เราทวงมาเป็นสิบปี หลายคนบอกว่ามันเหลวไหล เพราะว่าทวงอย่างไรก็ไม่ได้ คุณณัฐวุฒิก็ไปแบกอะไรต่อมิอะไรแล้วก็ตามกันจนถึงที่สุด สุดท้ายนี้คดีเมื่อคนออกคำสั่งเรื่องไมไปถึงศาล เพราะ ป.ป.ช. ทำตัวเป็นศาลเอง แม้นว่าเราจะมีคำไต่สวน คำพิพากษาอยู่จำนวนมาก ซึ่งมัดให้เห็นว่ามันมีการกระทำที่ไม่ถูกต้องและจำเป็นที่เรื่องจะต้องถึงศาล แต่ ป.ป.ช. ก็ทำตัวเป็นศาล

ในขณะที่อีกคดีหนึ่ง เขาไม่ฟ้องแต่ ป.ป.ช. ก็จ้างทนายฟ้องเอง ก็จะเอาคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แต่เผอิญชุดนั้นก็มีบางบุคคลอยู่ในนั้น ซึ่งก็เป็นน้องชาย ป.ปลาคนหนึ่งที่มีอิทธิพล (หรือเปล่าก็ไม่รู้) แต่ว่าโดยคดีก็ไม่ควรที่จะต้องเข้าสู่กระบวนการถึงศาล ไม่มีการใช้อาวุธจริง ไม่มีการใช้กำลังทหาร

ในขณะที่ของเราใช้กำลังทหารจากรายงาน 67,000 มีตำรวจอีก 20,000 ใช้งบประมาณ 3,000 ล้าน ใช้กระสุนที่เอาของ ศปช. มานั้น อ.ธิดา อัพเดทแล้วไม่ใช่ 110,000 นะ 191,000 หลายร้อยกว่านัด ร่วม 200,000 นัด มีกระสุนสไนเปอร์ 500 กระสุนสำหรับพลซุ่มยิง (คนละอย่างกันนะ) สไนเปอร์ก็เป็นปืนสไนเปอร์ พลซุ่มยิงก็จะเป็นปืนติดลำกล้องใช้พวก M16 พวกนี้ แล้วก็การรบเต็มรูปแบบ เขาเขียนอย่างภาคภูมิใจ ไม่ใช่เป็นการปราบจลาจล ไม่ใช่เป็นการต่อสู้กับก่อการร้ายในเมือง แต่เป็น “การรบในเมือง” ใช้กำลังอาวุธยุทโธปกรณ์และคนเต็มรูปแบบ แล้วเขาก็ชื่นชมว่านี่จะเป็นแบบอย่างของการสู้รบในเมืองที่ประเทศอื่น ๆ ต้องมาเรียนจากประเทศไทย

ถามว่าอย่างนี้ ป.ป.ช. ยังบอกว่าเขาทำตามสากล  สากลที่ไหนที่มีพลซุ่มยิง ยิงคนที่ไม่มีอาวุธ มือเปล่า แล้วก็ภาพคนซุ่มยิงนั้นมันเห็นทั่วไปทั้งหมด

ป.ป.ช. บอกว่าการที่มีการปรับปรุง แทนที่จะมีการเดินเผชิญหน้า ความจริงเดินเผชิญหน้าแล้วมันเกิดปัญหาที่วันที่ 10 เมษา ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่ามีความเสียหายเกิดขึ้น ก็ต้องไปหามาว่าใครเป็นคนขว้างระเบิด ระเบิดขว้างรัศมี 40 เมตร คนขว้างต้องอยู่ใกล้ 40 เมตร แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่เคยทำการบ้าน พูดทีไรก็ M79 ทุกที เพราะว่า M79 มันยิงได้ไกล มันจะต้องเป็นชายชุดดำคนเสื้อแดง แล้วมันจะต้องอยู่ไกลเป็นร้อย ๆ เมตร ดังนั้นก็ต้องเป็นอาวุธเป็นกระสุนวิถีโค้ง ตอนนี้ไปสัมภาษณ์  Thai Enquirer ก็ยังใช้คำพูดแบบเดิม

คือคนเหล่านี้เหมือนกับที่ในคลิปที่เป็น Viral อยู่ (ของเนชั่น) คนเหล่านี้มีความเชื่อใส่อยู่ในหัว แต่ไม่ค้นคว้าความจริง ดังนั้นพอเวลาเจอคนที่เขารู้ข้อมูล พวกเราทุกคนก็เหมือนกัน ควรจะต้องรู้ข้อมูลและสามารถตอบโต้ เพราะเรามีหน้าที่เปิดเผยความจริง

ทั้งหมดเหล่านี้ อภิสิทธิ์ก็ไม่เคยที่จะหาความรู้เพิ่ม ยังพูดแบบเดิม ตายด้วย M79 แต่ว่า สมชาย หอมลออ ก็ขยับไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะเขารู้ว่าตายด้วย M67 ก็เลยหาที่ว่ามันจะไปขว้างที่ไหน มันเหลือที่เดียว ก็เลยบอกที่บ้านไม้ ทั้ง ๆ ที่รถเกราะที่อยู่เป็นแถวเลยบนถนนตรงนั้น เขามองเห็นหมด ใครจะไปซ่อนตัวอยู่ตรงนั้นได้ แล้วก็ทหารและร่มเกล้าอยู่ลับตามาอีกข้างหนึ่ง มีรถกั้น 2 แถว นี่ยกตัวอย่าง

เพราะฉะนั้นจากที่พูดนี่ก็คือ คุณไปหาความจริงมาว่านายพลของคุณตายเพราะอะไร แต่มันก็คือระเบิดขว้าง เพราะว่าในการชันสูตรพลิกศพทหารทุกคน สะเก็ดระเบิด M67 แต่มีศพเดียวที่ไม่ได้เข้าสู่การชันสูตรพลิกศพของคณะใหญ่ อาจารย์ก็ทราบมาจากหมอหวาย เพราะหมอหวายเข้าไปเป็นเลขาในการชันสูตรพลิกศพในเวลานั้นด้วย ก็เป็นผู้ช่วย ไม่ใช่เป็นหมอใหญ่

อันนี้ทั้งหมดที่เราพูดก็คือว่า ชุดความจริงมันไม่ได้มีหลายชุด ชุดความจริงมีชุดเดียว แต่ชุดความเชื่อมีหลายชุด และความเชื่อเหล่านั้นไม่พยายามที่จะค้นคว้าความจริง ความจริงต้องมีหนึ่งเดียวเป็นความจริง เขาเรียกว่า “ทางภววิสัย” ไม่ใช่ความเชื่อ แต่ว่าสมองคนจำนวนหนึ่งถูกใส่เอาไว้ด้วยความเชื่อที่ไม่ต้องการเปลี่ยน เพราะถ้าเปลี่ยนแล้วเรา (ผู้ถูกกระทำ) เป็นฝ่ายถูก เขาก็ต้องเป็นฝ่ายผิด (ใช่หรือเปล่า?)

ดังนั้น ถ้าความจริงชุดที่ทำให้ประชาชนคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายถูก แล้วผู้กระทำเป็นฝ่ายผิด เขาจะเอาหรือความจริงอันนั้น เราจึงมีหน้าที่ต้องเปิดเผยความจริง แล้วการเปิดเผยความจริงและทวงความยุติธรรม มันจะไม่ได้ผลในยุคที่ประชาชนไม่มีอำนาจ ตัวอย่างในประเทศต่าง ๆ เห็นได้เลย บางประเทศอย่างอาร์เจนตินาร่วมเป็นสิบ ๆ ปี กว่าเขาจะรื้อฟื้นคดีออกมา และอาจารย์ก็เคยไปพูดกับคุณคณิต “คุณทำให้ดีนะ” (ตอนนั้นเขาถูกแต่งตั้งให้เป็น) เพราะว่าในภาษาอังกฤษเขาตั้งชื่อ TRC ภาษาไทยเรียก คอป. ที่มีชื่อเสียงทำงานได้ผล รายงานของเขาขายได้เลย ขายได้เป็นจำนวนมาก แต่ของเรา คอป.ประเทศไทย ใครจะซื้อ เอามาฉีกได้เพราะข้อมูลเหล่านั้นเป็นข้อมูลด้านเดียวที่มาจากกองทัพแล้วก็มาจากหน่วยงานซึ่งให้ผลด้านลบกับเรา

ก็มาถึงจุดที่เราต้องสรุปว่า แม้น...อย่างที่อาจารย์ยืนยัน ความจริงมีอย่างเดียวแต่ความเชื่อมีหลายอย่าง แล้ววาทกรรมของเขาทำให้ความเชื่ออยู่เหนือความจริง จำเป็นต้องกระทืบความจริง จำเป็นต้องจัดการกับผู้ที่ตาย เพื่อมิให้ความจริงนั้นโผล่ออกมาได้ เพราะความจริงที่โผล่ออกมามันจะประจานความชั่วร้าย ถ้าการเมืองการปกครองไม่อยู่ในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจจริง ไม่มีทางเลยที่ความจริงชุดที่ประชาชนถูกกระทำจะสามารถโผล่ออกมาได้

ปัจจุบันนี้เป็นระบอบอะไร? ในทัศนะของอาจารย์คือ ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เราต่อสู้ให้ได้ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข แต่ถ้ามันยังอยู่ในระบอบอำมาตย์แบบนี้...คุณไม่มีทาง แต่ถามว่าแล้วมันเหลวไหลไหม? อย่างนั้นก็ไม่ต้องสู้...อยู่เฉย ๆ อาจารย์ได้พูดไปแล้วว่า การเปิดเผยความจริงคือการต่อสู้ ดังนั้นถ้าเราอยู่ในกระบวนการต่อสู้ ปากของเราต้องมีหน้าที่พูด เราฟ้องศาลไม่ได้ เราฟ้องประชาชนได้ เราฟ้องสังคมได้

เราแบกหน้าไป ป.ป.ช. กี่รอบ อ.ธิดาไปพูดอย่างดีที่สุดตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพูดดีอย่างนั้นเลย มาฟังทีไรยังบอก..เออ เราพูดดี มันไม่มีประโยชน์สำหรับเขา เพราะเขาไม่สน แต่ว่าเราก็ต้องทำเพราะนี่คือท่าทางหรือกระบวนท่าในการต่อสู้ ถ้าเราไม่พูด เราไม่ต่อสู้ ความจริงและวีรชนก็ยิ่งถูกกระทืบจมดิน เพราะว่าเขาไม่ได้เพียงแต่ฆ่าด้วยอาวุธ แต่เขาฆ่าด้วยวาทกรรมกับความเท็จ

จาก “วีรชน” กลายเป็น “ทรชน” กลายเป็น “ผู้ก่อการร้าย”

แล้วเรา...จะปล่อยให้เขาถูกฆ่าไปแล้วครั้งหนึ่ง...แล้วจะถูกฆ่าไปอีกกี่ครั้ง

แล้วกระบวนการของพวกเราเช่น...ต้องไม่ท้อถอย ก็คือ ต้องอยู่ในท่ารุก ต้องพูด ต้องเปิดเผยความจริง เพราะว่าคนที่ตายไปแล้วเขามาพูดไม่ได้ อย่าง “สายชล แพบัว” ยังออกมาพูดได้ แต่คนที่ตายไปแล้วพูดไม่ได้ แล้วถ้าเราไม่พูดเขาก็ต้องถาม เพื่อนเราที่ตายไปแล้วบอกว่า...อ้าว แล้วยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า

เพราะฉะนั้นหลายคนพวกเราแก่แล้ว อายุมากแล้ว แต่ว่าตราบใดที่ยังมีชีวิต มีลมหายใจ ที่คุณวีระบอกให้หายใจทุกวัน เสียงเรายังพูดออกมาได้ มีปากเราก็จะพูด พูดไม่ได้เราก็จะเขียน เหมือนบางคนบอก วิ่งไม่ได้ก็จะเดิน เดินไม่ได้ก็จะคลาน แต่ต้องก้าวไปข้างหน้า ดังนั้น ไม่ไร้สาระ ไม่ท้อถอย เพราะนี่คือกระบวนท่าของการต่อสู้ แต่ไม่หวังว่าระยะสั้นมันจะเกิดสัมฤทธิ์ผล มันจะสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร เมื่อกี้ใครบอกรัฐบาล 3ป. แต่ในทัศนะอาจารย์ นี่เป็นรัฐบาลในระบอบอำมาตยาธิปไตย 3ป. ก็เป็นตัวแทนทั้งอำนาจนิยม แล้วก็อนุรักษ์นิยม หรือจารีตนิยมนั่นแหละ พูดฟังดูให้มันดูดี แต่จริง ๆ ก็คือเป็นชนชั้นนำที่ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับประชาชน

สุดท้ายที่อาจารย์อยากจะเตือนพวกเราก็คือว่า ในประวัติศาสตร์ต่อสู้ของเรานั้น ความรุนแรงในปี 53 เป็นความรุนแรงที่เราคิดว่ามาก แต่ว่าอาจารย์อยากจะเทียบให้ฟังว่า ในปี 19 เรามักจะไปเทียบกับ 6 ตุลา 19 แต่ว่าก่อน 6 ตุลา 19 มันมีการตายของประชาชนจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครพูดถึง คือ “ถีบลงเขา เผาลงถัง” และ “เผาหมู่บ้านนาทราย” เขาเป็นคนชนบท คนในพัทลุง เพียงแค่สงสัยว่ามีทหารป่าเคยเดินมา คือฆ่าทั้งเป็น ๆ อนุสาวรีย์ถังแดงก็เป็นส่วนหนึ่ง แล้วคนพัทลุงเขาเข้าป่ามากมาย หมู่บ้านนาทรายที่เผา

ดังนั้น 6 ตุลา ก็เป็นโศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ถัดมาจากการจัดการประชาชนที่สงสัยว่าเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์ ความรุนแรงที่เกิดขึ้น เมื่อกลุ่มเสื้อแดง นปช. ในปี 53 เทียบเคียงเท่ากับการปราบในยุคคอมมิวนิสต์ พูดง่าย ๆ ว่าฝ่ายจารีตรบกับคอมมิวนิสต์แล้วฆ่าประชาชน เพราะว่าถ้าฝ่ายกำลังกองทัพของคอมมิวนิสต์ต่างคนต่างมีอาวุธ คนละเรื่อง แต่ฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน

แล้วมาในปี 52 และ 53 ก็ฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน แปลว่ากลัวนายทุนใหญ่เท่ากับกลัวคอมมิวนิสต์

คอมมิวนิสต์ กลัวจะมีการเปลี่ยนแปลงประเทศ แต่ว่าพอมาในยุคของไทยรักไทยก็เกรงว่าชัยชนะของพรรคไทยรักไทยที่ชนะตลอดนั้น ทำให้ระบอบประชาธิปไตยจะไม่สามารถดำรงอยู่ในประเทศไทยได้ ในทัศนะอาจารย์นะ ก็คือต้องจัดการ ดังนั้นการจัดการกับ ดร.ทักษิณและคณะ สำหรับคนเสื้อแดง นปช. วาทกรรมที่ทำลายเรามากที่สุด และเกียรติภูมิของเราในต่างประเทศด้วยก็คือวาทกรรมที่ว่า

เราเป็นพวก...เขาใช้ภาษาประมาณว่า “ขี้ข้า” “รับจ้าง” เพราะฉะนั้นแกนนำนปช.ก็ถูกเหยียดหยาม ขบวนการของเราก่อนที่จะไปถึง “เผาบ้านเผาเมือง” ก็ถูกเหยียดหยามว่าทำตามนายทุน แต่เนื้อแท้ของมันก็คือว่า ไม่ว่าจะเป็นขบวนการของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือว่าพรรคการเมืองของนายทุน ล้วนเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อกลุ่มจารีตนิยม และใช้ความรุนแรงทัดเทียมกันเลย เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยที่จะเกิดขึ้นนั้น ถ้าหากว่าพรรคไทยรักไทยและดร.ทักษิณนั้นยังอยู่ในสนามการเลือกตั้ง หมายความว่ากลุ่มจารีตนิยมไม่สามารถจะขึ้นมาได้

ดังนั้นเราจะต้องไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงยิงคนมือเปล่าได้ หัวใจทำด้วยอะไร เพราะความโหดเหี้ยมเช่นนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้น มันจะเกิดขึ้นเมื่อเขากลัวมาก ถ้าเราจะทวงถามความยุติธรรม ถ้าเราต้องการให้ความเป็นจริงเกิดขึ้น อาจารย์อยากให้เรานึกถึงความกลัวของเขา และคุณจะทำนายได้ว่าชะตากรรม ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง แกนนำ และรวมทั้งพรรคที่เชื่อว่าเป็นของดร.ทักษิณก็จะเผชิญชะตากรรมอย่างหนัก เพราะว่าวิธีคิดก็คือจะต้องเป็นศูนย์ และนายทุนคนใหม่ก็คล้าย ๆ เสือตัวใหม่ก็กำลังจะถูกกระทำเช่นกัน

อาจารย์ไม่ได้มองแค่ (เพราะว่าอายุก็น่าจะมากที่สุด) ผ่านมาตั้งแต่ 14 ตุลา แล้วก็ผ่าน 6 ตุลา แต่ 6 ตุลา ตอนหลังเงียบเพราะว่าคนไปหาทางออกโดยการเข้าป่าจับอาวุธ เรื่องราว 6 ตุลาก็เลยเงียบมานานเพราะคนไปหาทางออกทางอื่น จนกระทั่งคืนเมือง เมื่อคืนเมืองจึงเกิดสถานการณ์ใหม่ เกิดความหวาดกลัวครั้งใหม่

เพราะฉะนั้นความหวาดกลัวครั้งที่ 1 คือ หวาดกลัวคณะราษฎร
ความหวาดกลัวครั้งที่ 2 คือ หวาดกลัวพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ความหวาดกลัวครั้งที่ 3 คือ หวาดกลัวนายทุน แล้วก็มีนายทุนเบอร์ 1 เบอร์ 2 อีกหรือเปล่า ซึ่งในทัศนะอาจารย์คิดว่าถ้าคุณกลัวนายทุนในยุคทุนนิยมโลกาภิวัตน์นะ ไม่รู้คุณจะอยู่อย่างไร

อนาคตของการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตย อย่างไรเสียมันก็ถูกต้องสดใส แต่อยากให้เข้าใจว่า “การเรียกร้อง” เป็น “การต่อสู้” อย่าหวังผลและก็อย่าเหน็ดเหนื่อย เพราะว่าเรายังมีลมหายใจ แต่คนอื่นลมหายใจไม่มี ก็เป็นภารกิจที่ต้องทำต่อไป คนที่ผ่านสมรภูมิมาหลายสมรภูมิแบบอาจารย์ อยากให้กำลังพวกเราว่า คนเสื้อแดงและการต่อสู้จากปี 53 เป็นต้นมา เป็นขบวนการประชาชนที่ยิ่งใหญ่ และแนวหน้าก็คือชาวบ้าน พวกเราธรรมดา เพราะว่าปัญญาชนและชนชั้นกลางถูกถึงไปอยู่กับฝ่ายจารีตนิยม ไปเกือบหมด รวมทั้งเอ็นจีโอ มันยากลำบาก ถึงแม้ว่าชัยชนะจะมาช้า แต่ว่าหัวใจของพี่น้องเรามันแน่นอน มันไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเราอยู่กับความยากลำบาก

และนี่เป็นขบวนการที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจารย์ก็อยากจะขอบคุณและให้กำลังใจพวกเราทุกคน และก็ให้ส่งไม้ต่อไปให้กับคนรุ่นใหม่อย่างดี แต่ถนนของการต่อสู้ในรุ่นของเรา เราก็ต้องปูพื้นให้ดีที่สุด เพราะว่าความจริงจะเป็นอาวุธที่สำคัญที่สุดของการต่อสู้ของผู้ถูกกระทำค่ะ ขอบคุณมากค่ะ อ.ธิดากล่าวในที่สุด