"รำลึกคนเสื้อแดง" โดย พริษฐ์
ชิวารักษ์ (เพนกวิน)
คนเสื้อแดงคือวีรบุรุษของผม และการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือแรงบันดาลใจของผม
จะไม่ให้ผมพูดเช่นนี้ก็คงจะไม่ได้ ในเมื่อเรื่องราวทางการเมืองเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้รู้จักในชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของคนเสื้อแดง รายการวิเคราะห์การเมืองรายการแรกที่ผมเคยฟังคือวิทยุเสื้อแดงแถวบ้าน ช่องข่าวการเมืองช่องแรกที่ผมเคยดูคือความจริงวันนี้ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผมได้ยินชื่อเป็นคนแรกก็คือพี่ดา ตอร์ปิโดผู้ล่วงลับ ซึ่งคงกล่าวได้ไม่ผิดว่าเป็นคนเสื้อแดง และม็อบแรกที่ผมเคยร่วมเดินขบวนก็คือม็อบเสื้อแดงหน้าราบ 11 ฯ สีแดงจึงเป็นสีแรกที่ผมรู้จักสำหรับคำว่าการเมืองและประชาธิปไตย
ผมรู้จักคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม ผมแน่ใจดีว่าตัวเองไม่ใช่เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือใด ๆ ก็ตามเหล่านั้นแน่ ยิ่งได้ยินวาทะเรื่องเสียงคุณภาพที่ใช้ในม็อบ กปปส. ยิ่งแน่ใจว่าไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็น “คนเสื้อแดง” หรือไม่ เพราะถึงแม้ผมจะเห็นด้วยและสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่ลึก ๆ แล้ว ในตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าหลักการและอุดมคติเหล่านั้นมันสูงค่ามากพอที่คนเสื้อแดงออกมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายต่อสู้กระนั้นหรือ
ผมเองและเพื่อน ๆ หลายคนก็เคยตั้งคำถามเดียวกันในระหว่างการเคลื่อนไหวของพวกเรา เพื่อไม่ให้ท้อใจไปกลางทาง เราจึงพยายามหาคำตอบโดยการพูดคุยกับนักสู้ที่เคยต่อสู้มาก่อนเวลาของพวกผม ไม่ว่าจะเป็นนักสู้รุ่นเดือนตุลาก็ดี นักสู้รุ่นพฤษภาทมิฬก็ดี และที่สำคัญ นักสู้คนเสื้อแดง ผมและเพื่อน ๆ ได้ข้อสรุปประการหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ:
“เราไม่ได้สู้แค่เพื่อยืนยันหลักการและอุดมคติสวยหรู แต่เพื่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจริง”
คนเสื้อแดงไม่ได้ออกมาสู้เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนดีมีอุดมการณ์ คนเสื้อแดงไม่ได้ออกมาสู้เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนกล้าคนเท่ คนเสื้อแดงออกมาสู้เพราะเขาเห็นความทุกข์ยากของผู้คน (ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย) และต้องการเปลี่ยนโลกจริง ๆ และการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันวันสองวัน หรือทำกิจกรรมกันครั้งสองครั้งแล้วจะเสร็จสิ้น แต่ต้องอาศัยการต่อสู้ที่ต่อเนื่อง จริงจัง และยึดถือขบวนการมวลชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึง ได้มีตัวอย่างให้ผมได้เรียนรู้จากการต่อสู้ของคนรุ่นก่อน ๆ โดยเฉพาะการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
ทุกครั้งที่ผมหรือใครเหนื่อยล้าในการเคลื่อนไหว เราจะนึกถึงความยินหยัดของพี่น้องเสื้อแดงที่สู้มาตั้งแต่ปี 2549
ทุกครั้งที่ผมหรือใครหวาดกลัว เราจะนึกถึงความกล้าหาญของพี่น้องเสื้อแดงในปี 2553
และเรามักจะบอกกันในกลุ่มเสมอว่าการต่อสู้ของประชาชนที่น่าเกรงขามที่สุดในรอบสิบปีคือการต่อสู้ของคนเสื้อแดง การกระทำของคนเสื้อแดงนั้น แม้ใครหลายคนจะเหยียดหยามว่าเป็นการต่อสู้ของไพร่ แต่ในสายตาของพวกผม ถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า การเคลื่อนไหวที่มีพลังนั้นเป็นอย่างไร
ผมมักจะขอบคุณนักเคลื่อนไหวรุ่นก่อน ๆ ที่ปูทางการเคลื่อนไหวให้พวกเราในวันนี้ และผมขอคารวะการต่อสู้ของพี่น้องคนเสื้อแดงทุกท่านที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่คืนวันที่มืดหม่นในยุคที่ต่างความคิดก็อาจผิดถึงตาย หากไม่มีการต่อสู้ของพวกท่าน การเคลื่อนไหวของเราย่อมไม่อาจจะทำได้เหมือนในวันนี้
ขอขอบคุณที่ส่งไม้ต่อให้พวกเรา ขอบคุณครับ
คนเสื้อแดงคือวีรบุรุษของผม และการต่อสู้ของคนเสื้อแดงคือแรงบันดาลใจของผม
จะไม่ให้ผมพูดเช่นนี้ก็คงจะไม่ได้ ในเมื่อเรื่องราวทางการเมืองเรื่องแรก ๆ ที่ผมได้รู้จักในชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของคนเสื้อแดง รายการวิเคราะห์การเมืองรายการแรกที่ผมเคยฟังคือวิทยุเสื้อแดงแถวบ้าน ช่องข่าวการเมืองช่องแรกที่ผมเคยดูคือความจริงวันนี้ นักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ผมได้ยินชื่อเป็นคนแรกก็คือพี่ดา ตอร์ปิโดผู้ล่วงลับ ซึ่งคงกล่าวได้ไม่ผิดว่าเป็นคนเสื้อแดง และม็อบแรกที่ผมเคยร่วมเดินขบวนก็คือม็อบเสื้อแดงหน้าราบ 11 ฯ สีแดงจึงเป็นสีแรกที่ผมรู้จักสำหรับคำว่าการเมืองและประชาธิปไตย
ผมรู้จักคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถม ผมแน่ใจดีว่าตัวเองไม่ใช่เสื้อเหลือง เสื้อหลากสี หรือใด ๆ ก็ตามเหล่านั้นแน่ ยิ่งได้ยินวาทะเรื่องเสียงคุณภาพที่ใช้ในม็อบ กปปส. ยิ่งแน่ใจว่าไม่ใช่ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็น “คนเสื้อแดง” หรือไม่ เพราะถึงแม้ผมจะเห็นด้วยและสนับสนุนการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แต่ลึก ๆ แล้ว ในตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าหลักการและอุดมคติเหล่านั้นมันสูงค่ามากพอที่คนเสื้อแดงออกมาเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายต่อสู้กระนั้นหรือ
ผมเองและเพื่อน ๆ หลายคนก็เคยตั้งคำถามเดียวกันในระหว่างการเคลื่อนไหวของพวกเรา เพื่อไม่ให้ท้อใจไปกลางทาง เราจึงพยายามหาคำตอบโดยการพูดคุยกับนักสู้ที่เคยต่อสู้มาก่อนเวลาของพวกผม ไม่ว่าจะเป็นนักสู้รุ่นเดือนตุลาก็ดี นักสู้รุ่นพฤษภาทมิฬก็ดี และที่สำคัญ นักสู้คนเสื้อแดง ผมและเพื่อน ๆ ได้ข้อสรุปประการหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ:
“เราไม่ได้สู้แค่เพื่อยืนยันหลักการและอุดมคติสวยหรู แต่เพื่อความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจริง”
คนเสื้อแดงไม่ได้ออกมาสู้เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนดีมีอุดมการณ์ คนเสื้อแดงไม่ได้ออกมาสู้เพื่อให้ตัวเองดูเป็นคนกล้าคนเท่ คนเสื้อแดงออกมาสู้เพราะเขาเห็นความทุกข์ยากของผู้คน (ซึ่งรวมถึงตัวเองด้วย) และต้องการเปลี่ยนโลกจริง ๆ และการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำกันวันสองวัน หรือทำกิจกรรมกันครั้งสองครั้งแล้วจะเสร็จสิ้น แต่ต้องอาศัยการต่อสู้ที่ต่อเนื่อง จริงจัง และยึดถือขบวนการมวลชนเป็นที่ตั้ง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึง ได้มีตัวอย่างให้ผมได้เรียนรู้จากการต่อสู้ของคนรุ่นก่อน ๆ โดยเฉพาะการต่อสู้ของคนเสื้อแดง
ทุกครั้งที่ผมหรือใครเหนื่อยล้าในการเคลื่อนไหว เราจะนึกถึงความยินหยัดของพี่น้องเสื้อแดงที่สู้มาตั้งแต่ปี 2549
ทุกครั้งที่ผมหรือใครหวาดกลัว เราจะนึกถึงความกล้าหาญของพี่น้องเสื้อแดงในปี 2553
และเรามักจะบอกกันในกลุ่มเสมอว่าการต่อสู้ของประชาชนที่น่าเกรงขามที่สุดในรอบสิบปีคือการต่อสู้ของคนเสื้อแดง การกระทำของคนเสื้อแดงนั้น แม้ใครหลายคนจะเหยียดหยามว่าเป็นการต่อสู้ของไพร่ แต่ในสายตาของพวกผม ถือเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมว่า การเคลื่อนไหวที่มีพลังนั้นเป็นอย่างไร
ผมมักจะขอบคุณนักเคลื่อนไหวรุ่นก่อน ๆ ที่ปูทางการเคลื่อนไหวให้พวกเราในวันนี้ และผมขอคารวะการต่อสู้ของพี่น้องคนเสื้อแดงทุกท่านที่ต่อสู้กันมาตั้งแต่คืนวันที่มืดหม่นในยุคที่ต่างความคิดก็อาจผิดถึงตาย หากไม่มีการต่อสู้ของพวกท่าน การเคลื่อนไหวของเราย่อมไม่อาจจะทำได้เหมือนในวันนี้
ขอขอบคุณที่ส่งไม้ต่อให้พวกเรา ขอบคุณครับ