๑๐ ปี ๑๐ เมษา ของผม
ผมยังจำวันนี้เมื่อสิบปีที่แล้วได้เป็นอย่างดี
นึกถึงวันที่ ๑๐ เมษายนเมื่อใด แผลที่แขนข้างซ้ายก็แสบร้อนขึ้นมาเมื่อนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันนั้นเป็นวันที่มีอิทธิพลกับชีวิตผมมากที่สุดวันหนึ่ง
วันที่ ๑๐ เมษาปีนั้น
ไม่ได้ทำให้เกิดแผลบนแขนข้างซ้ายของผมเพียงอย่างเดียว
แต่ยังทำให้เกิดแผลที่บาดลึกในสังคมไทยที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาจนถึงทุกวันนี้
หลายคนอาจลืมไปแล้วว่าวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ.
๒๕๕๓ เกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจจะจำเป็นที่เราจะทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้วอีกครั้งเพื่อตระหนักถึงวัฒนธรรมการเมืองที่ล้มเหลวในปัจจุบัน
การปราบปรามประชาชนในเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤษภาคม
พ.ศ. ๒๕๕๓ เกิดจากการที่ชนชั้นนำอนุรักษ์นิยมไม่ยอมรับในผลการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่พรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งและเป็นแกนนำการจัดตั้งรัฐบาลที่มีนายสมัคร
สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี
กลุ่มพลังอนุรักษ์นิยมใช้การเมืองในสภา, การเมืองบนถนน และองค์กรอิสระ
เป็นเครื่องมือเพื่อล้มรัฐบาลของพรรคพลังประชาชน
เริ่มจากการใช้มวลชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล – ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายสมัคร
พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี - สมชาย วงศ์สวัสดิ์
นายกรัฐมนตรีคนถัดไปถูกขัดขวางไม่ให้เข้าไปแถลงนโยบายในรัฐสภา -
สถานที่ราชการและสนามบินถูกยึด – ศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคพลังประชาชน –
พรรคการเมืองบางพรรค/ส.ส. บางกลุ่ม ถูกบังคับให้เปลี่ยนขั้วการเมืองด้วยอำนาจพิเศษ
และจบด้วยการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ในเดือนธันวาคม ปีพ.ศ. ๒๕๕๑
หลังจากการเลือกตั้งพ.ศ. ๒๕๕๐ จนถึงการยุบพรรคพลังประชาชนและการเปลี่ยนขั้วอำนาจ
ประชาชนที่สนับสนุนพรรคพลังประชาชนไม่ได้นั่งดูการดำเนินไปอย่างนิ่งดูดาย พวกเขากระตือรือร้นและต้องการปกป้องรัฐบาลที่พวกเขาเลือกมา
พวกเขาเลือกสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของเคลื่อนไหว
พวกเขาชุมนุมและแสดงตนอย่างเปิดเผยและอย่างมีพลัง
พวกเขาเข้าร่วมชุมนุมอย่างแข็งขันในนามรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร”
หลังจากการเปลี่ยนขั้วรัฐบาล รายการความจริงวันนี้
เปิดโปงการแทรกแซงการเมืองของ “อำมาตย์” -
ซึ่งขัดกับหลักการประชาธิปไตยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน - อย่างต่อเนื่อง
และนำไปสู่ข้อเรียกร้องให้นำรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ กลับมาใช้, ดำเนินคดีกับแกนนำที่ปิดสถานที่ราชการ, และยุบสภา
เมษายน ๒๕๕๓ ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาถูกปราบปราม
เดือนเดียวกันในปีพ.ศ. ๒๕๕๒ พวกเขาชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์
ที่พักของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และบริเวณใกล้เคียง
เพื่อกดดันและเรียกร้องให้พลเอกเปรมแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง
พวกเขาถูกปราบปรามอย่างหนักและถูกสลายการชุมนุมในที่สุด การปราบปรามครั้งนั้น
นอกจากจะเพิ่มความโกรธให้กับพวกเขาแล้ว
ยังแสดงให้เห็นถึงความสองมาตรฐานในการจัดการกับกลุ่มคนสองกลุ่มอีกด้วย
พวกเขาไม่ได้ยอมแพ้หลังโดนปราบปรามมาหนึ่งครั้ง
ในเดือนมีนาคมปีถัดมา พวกเขากลับมาใหม่พร้อมกับการจัดตั้งที่เข้มแข็งขึ้น
พวกเขาชุมนุมใหญ่ยืดเยื้อที่ถนนราชดำเนิน ด้วยข้อเรียกร้องให้มีการตรวจสอบอำมาตย์
(กรณีเขายายเที่ยงและกรณีเขาสอยดาว) และให้มีการยุบสภา, เลือกตั้งใหม่อีกครั้งเพื่อให้เสียงประชาชนเป็นผู้ตัดสินทิศทางอนาคตของประเทศ
และนั่นนำเรามาสู่วันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓
ในวันนั้น
ผมไม่ได้เป็นผู้ที่มีบทบาททางการเมืองเช่นวันนี้
ผมเป็นเพียงนักธุรกิจธรรมดาที่มีความเห็นอกเห็นใจคนเสื้อแดง รักความเป็นธรรม
และรักประชาธิปไตย เนื่องจากบ้านและที่ทำงานของผมอยู่นอกเมือง
ผมไม่มีโอกาสเข้าเมืองเพื่อร่วมชุมนุมที่ราชดำเนินทุกวัน วันไหนเลิกงานเร็ว
ไม่เหนื่อยนักก็จะเข้ามาที่ชุมนุม
สังเกตการณ์และให้กำลังใจเพื่อนๆและชาวบ้านที่ชุมนุมอยู่เป็นระยะๆ
หากมีอะไรที่ผมพอทำได้ ก็พร้อมหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่ที่ชุมนุมอยู่เสมอ
แม้จะไม่รู้จักแกนนำบนเวทีเลยก็ตาม
บ่ายวันนั้น
ผมและเพื่อนกลุ่มหนึ่งตระหนักถึงความแหลมคมของสถานการณ์
และหวังว่าพวกเราในฐานะประชาชนธรรมดาจะสามารถทำอะไรได้บ้างในสถานการณ์เช่นนั้น
เราเห็นว่าการแสดงพลัง, การต่อสู้และการยืนหยัดร่วมกันในวันนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
เราจึงตัดสินใจเดินทางไปราชดำเนินในช่วงบ่าย
ราชดำเนินร้อนระอุ ไม่ใช่แค่จากไอร้อนแรกของปี
แต่จากสถานการณ์อันวุ่นวายบนถนนและจิตใจของผู้ชุมนุม
เมื่อเราไปถึงตอนประมาณช่วงบ่ายต้นๆ ทหารได้ล้อมที่ชุมนุมไว้หลายทางแล้ว
เสียงเฮลิคอปเตอร์จากด้านบนสร้างความกังวลให้ผู้ชุมนุมเป็นระยะ
การปะทะกันระหว่างฝ่ายทหารและผู้ชุมนุมเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ
ฝ่ายทหารใช้โล่กระบองและแก๊สน้ำตา ส่วนฝ่ายผู้ชุมนุมมีก้อนหิน, ท่อนไม้, ขวดน้ำ และข้าวของอื่นๆที่พอจะหาได้
เนื่องจากไม่มีการสื่อสารจากเวทีใหญ่ จึงทำให้เราไม่รู้สถานการณ์ใดๆ
ประกอบกับในวันนั้น เทคโนโลยียังไม่เหมือนวันนี้ ไม่มีการรายงานสดจากประชาชน ณ
แนวปะทะต่างๆ ผมและเพื่อนจึงเดินสำรวจจุดต่างๆ
พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือผู้ชุมนุมตามทรัพยากรที่มี
ควันโขมงจากแก๊สน้ำตาทำให้ตาผมระคายเคือง
ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของผู้ชุมนุม
มีการหยิบยื่นผ้าชุบน้ำเพื่อป้องกันแก๊สน้ำตาให้แก่กัน
ผมรับมาจากชายแปลกหน้าผืนหนึ่ง และยังเก็บไว้ถึงวันนี้
ช่วงบ่ายแก่ๆ การปะทะเงียบลง -
อย่างน้อยที่สุดตามความเข้าใจของผมในตอนนั้น -
แต่นั่นไม่ได้หมายถึงค่ำคืนจะจบลงที่ตรงนั้น เราพอรู้ว่าความพยายามสลายการชุมนุมของจริงกำลังจะเริ่มขึ้นเมื่ออาทิตย์ลับฟ้า
ผมและเพื่อนอีกสามคนรวมตัวกันอยู่ที่สามแยกถนนตะนาวและถนนข้าวสาร เมื่อฟ้ามืดลง
ทหารกลุ่มแรกก็เดินเข้ามาทางถนนตะนาว
ผมยังจำความน่ากลัวของค่ำคืนนั้นได้เป็นอย่างดี
ผมอยู่ประมาณ ๓ เมตรจากคนที่อยู่หน้าสุดของแนวปะทะถนนตะนาว
ทหารเอาไม้กระบองเคาะรั้วประตูเหล็กของร้านรวงที่อยู่สองข้างทางระหว่างเดินเข้ามา
ส่งเสียงกังวานก้องในถนนแคบๆ ผู้ชุมนุมเองขวัญกำลังใจดีไม่แพ้กัน
พวกที่อยู่แนวหน้าไม่มีใครกลัว ตะโกนโหวกเหวกให้กำลังใจกันเป็นระยะๆ
เมื่อทหารเดินถึงแนวปะทะก็เกิดการตะลุมบอนกันขึ้น ดันกันไปดันกันมา
ทหารมาพร้อมโล่และไม้กระบอง ผู้ชุมนุมมีธง, ก้อนหิน,
มือเปล่า และหมามุ่ย
(มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่งท่ามกลางความโกลาหลนี้
เนื่องจากความอัตคัตของผู้ชุมนุม บางกลุ่มจึงเอาหมามุ่ยมาเป็นอาวุธ
ผมซึ่งอยู่เกือบแถวหน้าสุด เมื่อคนข้างหลังปาหมามุ่ยไม่แรงพอ ก็ตกใส่หลังผม
ทำเอาผมดันไปก็เกาหลังไป และรู้ถึงพิษสงของหมามุ่ยก็วันนั้นเอง)
ผู้ชุมนุมสู้ยิบตาด้วยอุปกรณ์บ้านๆที่พวกเขามี
ตรึงแนวทหารที่พยายามรุกผ่าเข้ามาได้ ทหารบางคนที่ล้มลงถูกผู้ชุมนุมกระทืบซ้ำ
ผมต้องพยายามไปแยกพวกเขาออก เมื่อยกแรกไม่สำเร็จ ทหารถอยออกไปแนวใหม่
ระยะห่างระหว่างทหารกับผู้ชุมนุมประมาณจากการคาดคะเนของผมอยู่ที่ ๓๐ เมตร
ในระหว่างที่รอยกถัดไปนี้เอง
เพื่อนผมคนหนึ่งเดินออกไปอยู่ด้านหน้าของแนว
พร้อมกับโบกธงที่ผมไม่รู้เขาไปเอามาจากไหน ทหารเริ่มยิงกระสุนยางในแนวราบใส่ผู้ชุมนุม
ผมเห็นว่าเขาอยู่เลยแถวหน้าถือธง กลางถนน น่าจะเป็นเป้า ท่าจะไม่ดี
จึงวิ่งเข้าไปหาเขา จังหวะที่มือซ้ายของผมจับเสื้อของเขาเพื่อดึงเขาออกมานั้น
กระสุนยางนัดหนึ่งกระแทกเข้ากับแขนซ้ายของผม
ความร้อนและความแรงของมันทำให้ผมทรุดตัวลงกับพื้น ทหารเริ่มเดินเข้ามา
ผมปวดแขนลุกไม่ไหว ผู้ชุมนุมยกผมขึ้นท้ายรถกระบะคันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ที่ถนนข้าวสาร
(ซึ่งกลายเป็นภาพซึ่งกระจายอยู่แพร่หลาย)
รถกระบะคันนั้นพยายามถอยออกไปถนนราชดำเนิน
แต่ติดผู้ชุมนุมทำให้รถถอยไปไม่ได้ ความโกลาหลเกิดขึ้นรอบรถ
แนวที่ผู้ชุมนุมตรึงไว้เสียไปเพราะกระสุนยาง
ทหารรุกกินพื้นที่เข้ามาเกือบจะถึงถนนราชดำเนิน
รอบๆรถผมได้ยินเสียงคนวิ่งหนีตะโกนโหวกเหวก เสียงปะทะกัน เสียงประชาชนถูกทหารตี
ถ้าจำไม่ผิดกระจกรถถูกตีแตกด้วย แรงผมยังพอมีอยู่แม้จะเจ็บแขน แต่สติคิดไม่ทัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก จะให้กระโดดลงจากหลังรถไปตะลุมบอนกับเขาด้วยก็กะไรอยู่
ผมคิดในใจ “กูโดนแน่คืนนี้”
คนขับรถมีสติพอ เมื่อถอยหลังไม่ได้
จึงบึ่งรถเลี้ยวซ้ายที่ถนนข้าวสาร แล้วขับออกจากแนวปะทะ เมื่อออกจากความวุ่นวาย
เขานำผมมาส่งที่หน่วยพยาบาลซึ่งอยู่รอบนอกของที่ชุมนุม แขนซ้ายผมบวมตุ่ยและกลายเป็นสีม่วง
มีรอยไหม้ผิวหนังกลมๆอยู่ตรงจุดกระแทก เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ผม
และบอกให้ผมไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจว่ากระดูกมีผลกระทบหรือไม่
ผมออกจากหน่วยพยาบาลคนเดียว
โชคยังดีวันนั้นมีเงินสดติดตัวอยู่บ้างจึงจับแท็กซี่กลับไปที่ชุมนุม
เมื่อกลับไปถึง เพื่อนๆของผมเข้ามาหลบอันตรายอยู่ที่บันไดที่นั่งของอนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ผมจึงไปนั่งกับพวกเขาและผู้ชุมนุมอีกประมาณหนึ่ง
สี่แยกคอกวัวเวลานั้นกลายเป็นเหมือนสมรภูมิสงคราม
เมื่อผมกลับไปถึงทหารใช้กระสุนจริงแล้ว เสียงปืนและเสียงระเบิดดังลั่นกลางมหานคร
พวกเราเป็นปัญญาชนเกินไป
ไม่มีใครกล้าไปที่สี่แยกคอกวัวหลังจากที่มีการใช้กระสุนจริง
พวกเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก ได้แต่นั่งกันเงียบๆจนเสียงปืนสงบลงประมาณสามทุ่ม
ผมเดินกลับไปที่แนวปะทะอีกครั้ง
ผมเห็นกองเลือดสดๆของผู้เสียชีวิตอยู่บนถนนเป็นหย่อมๆ บางกองมีเนื้อหรือมีเศษสมองปนอยู่ด้วย
วันที่ ๑๐ เมษา ปีนั้นจบลงด้วยผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น ๒๗ คน เป็นทหาร ๕ คน
และเป็นพลเรือน ๒๒ คน ในจำนวนพลเรือนที่เสียชีวิต ๒๒ คนนั้น มีอยู่ ๙
คนที่เสียชีวิตที่ถนนตะนาว-สี่แยกคอกวัวที่ผมอยู่ กองเลือดที่ผมเห็นเป็นของคนทั้ง
๙ คนที่น่าจะเสียชีวิตหลังจากที่ผมถูกนำขึ้นรถกระบะออกนอกที่เกิดเหตุไม่นาน
หากผมไม่โดนกระสุนยางเสียก่อน ผมอาจเป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับผม
ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าการสลายการชุมนุมด้วยกระสุนจริงในวันนี้เมื่อสิบปีที่แล้ว
เป็นการกระทำที่วางแผนมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นระดมกำลังทหารมากว่า ๗๐ กองร้อย, การจงใจสลายการชุมนุมในตอนมืด, การใช้กระสุนจริง,
การที่ผู้เสียชีวิตถูกกระสุนยิงเข้าที่บริเวณตัวหรือหัว, การใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อปิดเบือนหรือปกปิดความจริงทั้งก่อน,
ระหว่าง และหลังเหตุการณ์, และ
กระบวนการยุติธรรม (ที่ไม่ยุติธรรม)
หลังจากนั้น ๑๐ เมษาเวียนมาทีใด
ผมอดคิดถึงรอยแผลที่แขนข้างซ้ายไม่ได้ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมษา-พฤษภา ๕๓ รวมกัน ๙๔ รายและผู้บาดเจ็บอีก ๑,๔๐๐ คน ความจริงในวันนั้นยังถูกปกปิด
ไม่มีใครต้องรับผิดชอบกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทั้งทหารและชายชุดดำ เราถูกหลอกให้ให้ความสำคัญกับความปรองดองกันแบบฉาบฉวย
ซึ่งแท้จริงแล้วคือประกาศิตที่สั่งให้เราลืม, เงียบ
และยอมจำนน
๑๐ ปีผ่านมา เราอาจหลงลืมไปว่า
เมื่อไม่มีความจริง ก็ไม่มีความยุติธรรม เมื่อไม่มีความยุติธรรมก็ไม่มีความสงบสุข
วัฒนธรรมที่ผู้กระทำผิดลอยนวล ไม่ต้องรับผิดชอบใดๆคือวัฒนธรรมอันน่ารังเกียจของกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ครอบงำสังคมไทย
เป็นหน้าที่ของคนรุ่นเราที่จะทำลายวัฒนธรรมเช่นนี้
เพราะความยุติธรรมเป็นส่วนประกอบที่สำคัญต่อการสร้างสังคมใหม่
สังคมที่เราอยากเห็นและอยากให้ลูกหลานเราได้เติบโตขึ้นมา สังคมที่คุณค่าและศักดิ์ศรีของคนทุกชนชั้นได้รับการเคารพอย่างเท่าเทียมกัน
รอยแผลที่แขนข้างซ้าย
ปัจจุบันจางหายไปจนแทบมองไม่เห็น วันนี้ผมรู้สึกถึงมันอีกครั้ง
พร้อมกับความเชื่อมั่นที่ไม่เคยคลอนแคลนว่าประวัติศาสตร์ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๓ จะต้องถูกชำระในสักวัน
ธ.จ.
๑๐ เมษา ๖๓