วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ : เสียใจต่อชะตากรรมของเพื่อนเสมอ ขอโทษที่ยังทำทุกอย่างได้เท่านี้ แต่เราจะเดินหน้าต่อไป


19 พฤษภาคม 2563

10 ปีแล้วที่การชุมนุมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่ของนปช.จบลงด้วยความตาย หยดเลือด คราบน้ำตายังไม่เหือดหาย

เรา” ถูกจัดวางบนหน้าประวัติศาสตร์ให้เป็นผู้แพ้ ตลอดทศวรรษที่ทุกกลไกอำนาจนิยมทุ่มสรรพกำลังเบียดขับให้พ้นจากพื้นที่ทางการเมืองของสังคมไทย แต่คนเสื้อแดงยังอยู่

เรา” อยู่ในฐานะผู้แพ้จริงหรือ ?

จุดยืนในการต่อสู้ หลักการที่ยึดกุมอย่างมั่นคง ข้อเรียกร้องที่ปรากฏชัดบนเวทีชุมนุม สาระทางการเมืองที่กู่ก้องมายาวนาน ถูกทำลายลงสิ้น ไม่ได้ยินผู้คนพูดถึงในปัจจุบันกระนั้นหรือ ?

เปล่าเลย ...

จุดยืนประชาธิปไตย ต่อต้านรัฐประหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมทั้งที่มา เนื้อหา และการบังคับใช้ ต้องการเลือกตั้งเสรี โปร่งใส ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ไม่ยอมรับยุติธรรมสองมาตรฐาน ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่สยบต่อเผด็จการอำนาจนิยม

สิ่งเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ผู้มีบทบาททางการเมืองกลุ่มใหม่ๆ นิสิต นักศึกษา คนหนุ่มสาว ประชาชนผู้สนใจการเมืองมากมายมหาศาลต่างยังพูดถึงและต่อสู้ในจุดยืนและข้อเรียกร้องเดียวกัน

ต่างกับคนบางกลุ่ม

พวกเขาต้องสถานปาหลักการ ความเชื่อ และข้อเรียกร้องใหม่ตลอดเวลาเพื่อสนองรับวิถีเผด็จการ แม้กระทั่งถอดวางสถานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย สนับสนุนให้คนกลุ่มเดียวรัฐประหาร สร้างกติกาสูงสุดเพื่อสืบทอดอำนาจ นำพาบ้านเมืองไปด้วยกลไกตรวจสอบพิกลพิการเพียงใดก็รับได้

การเมืองใหม่แต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 สภาประชาชน ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต่อต้านเผด็จการรัฐสภา ไม่ยอมรับวุฒิสภาทาส ฯลฯ

วันนี้มีแต่ความว่างเปล่า หลายคนถึงกับอับอายที่จะพูดถึงมันและตีบตันในการอธิบายทั้งในหลักการและรูปธรรม บางเรื่องต้องรับเอาไว้เสียเองทั้งที่เคยแสดงท่าทีเดียดฉันท์ เช่น การมีอยู่และบทบาทของวุฒิสภา 250 คนในปัจจุบัน

เรา” ไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ไม่ได้ชี้วัดด้วยสีเสื้อที่สวมใส่ แต่ “เรา” คือพลังของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ไม่มีอำนาจนอกระบบใด ๆ มาแอบแฝง แอบอ้าง เบียดบัง ทำลายสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของพวกตน

ใครจะเข้าสู่อำนาจต้องผ่านการตัดสินใจของประชาชน ไม่ใช่ด้วยอิทธิพล เล่ห์กล และความอำมหิตโดยเครือข่ายผลประโยชน์ที่กดทับประชาชนโดยเฉพาะคนยากคนจนมายาวนาน

เมื่อ “เรา” คือสิ่งนี้จึงไม่มีวันหายไป การเข่นฆ่า ไล่ล่า จำขัง ไม่ได้ทำให้ “เรา” ลดจำนวนลง เพราะ “เรา” เพิ่มขึ้นตลอดเวลา

เรา” มีทั้งผู้เผชิญสถานการณ์เมื่อสิบปีที่แล้ว และผู้ไม่อยู่ในเหตุการณ์แต่รับรู้ เข้าใจ เห็นใจ หรือกระทั่งมิได้รู้สึกอันใดแต่ประสงค์จะนำพาสังคมไทยไปในทิศทางเดียวกัน

เรา” ต้องแบกรับคำว่าพ่ายแพ้ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยกระบอกปืนของผู้มีอำนาจ โดยมีหยดเลือดของพวกเราเป็นหยาดหมึก

แต่ “เรา” สร้างชัยชนะได้ด้วยอำนาจของตัวเองผ่านการเลือกตั้งตลอดมา

ใช่...

กว่า 10 ปีแล้วที่ “เรา” ชนะในวิถีทางประชาธิปไตยตลอดเวลา
นี่คือสิ่งที่ “เรา” ต่อสู้ และนี่คือชัยชนะที่ได้มา แม้กระทั่งผู้เผด็จการก็ยังซุกตัวอยู่ใต้ความชอบธรรมนี้ โดยอ้างว่าก่อรัฐประหารเพื่อสร้างประชาธิปไตย

เรา” มิเคยต่อสู้เพื่อสร้างเผด็จการ พวกเขาต่างหากที่ต้องบดบังซากร่างที่แท้จริงของตนใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย

แต่ชัยชนะของ “เรา” ไม่ยั่งยืน มิอาจต้านอิทธิฤทธิ์มหาศาลของขบวนการอำนาจนิยม จนกว่าความหมายของคำว่า “เรา” จะขยายตัวและทรงพลังยิ่งกว่านี้

เรา” ต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมด แม้จะคิดแตกต่างหรือกระทั่งเกลียดชังกัน แต่”เรา”ต้องไม่เป็นท่อนฟืนของเปลวไฟเผด็จการ ไม่เป็นสะพานให้อำนาจนิยมเดินข้ามหัวไปแสวงหาผลประโยชน์ของชนชั้นพวกเขา

ผมเป็นแกนนำนปช.ที่ชีวิตยังผูกติดกับเหตุการณ์เมษา - พฤษภา 2553 มิใช่ด้วยความชิงชังคลั่งแค้น แต่เป็นความรับผิดชอบในฐานะแกนนำที่ต้องแสวงหาความจริงและความยุติธรรมให้คนตาย อย่าได้กังวลว่าจะสร้างความแตกแยก เพราะความยุติธรรมเป็นบ่อเกิดแห่งสามัคคี และสามัคคีเท่านั้นที่จะสร้างอนาคตที่งดงามให้ประเทศชาติและประชาชน

10 ปีที่แล้วมีคนเกือบ 100 ชีวิตถูกยิงตายกลางถนน ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ไม่ควรมีใครต้องสูญเสีย เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาตลอดมา ถึงเวลาจะอุทิศความยุติธรรมบ้างหรือยัง ?
ทุกประเทศดำรงอยู่ด้วยความหลากหลาย ไม่มีทางที่แนวคิดฝ่ายใดจะอยู่ลำพัง และไม่มีทางที่คนอีกฝ่ายจะสูญสลายหายไป
ผมพร้อมร่วมมือกับคนทุกกลุ่ม เพราะ “เรา” คือประชาชน

ปล. ถึงเพื่อนผู้เสียชีวิต

เสียใจต่อชะตากรรมของเพื่อนเสมอ ขอโทษที่ยังทำทุกอย่างได้เท่านี้ แต่เราจะเดินหน้าต่อไป

เขาจับคนฆ่า “พี่เตี้ย ม.ช.” ได้แล้ว กำลังดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม