19 พฤษภาคม 2563
10 ปีแล้วที่การชุมนุมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเรียกร้องการเลือกตั้งใหม่ของนปช.จบลงด้วยความตาย
หยดเลือด คราบน้ำตายังไม่เหือดหาย
“เรา”
ถูกจัดวางบนหน้าประวัติศาสตร์ให้เป็นผู้แพ้
ตลอดทศวรรษที่ทุกกลไกอำนาจนิยมทุ่มสรรพกำลังเบียดขับให้พ้นจากพื้นที่ทางการเมืองของสังคมไทย
แต่คนเสื้อแดงยังอยู่
“เรา”
อยู่ในฐานะผู้แพ้จริงหรือ ?
จุดยืนในการต่อสู้
หลักการที่ยึดกุมอย่างมั่นคง ข้อเรียกร้องที่ปรากฏชัดบนเวทีชุมนุม
สาระทางการเมืองที่กู่ก้องมายาวนาน ถูกทำลายลงสิ้น
ไม่ได้ยินผู้คนพูดถึงในปัจจุบันกระนั้นหรือ ?
เปล่าเลย ...
จุดยืนประชาธิปไตย
ต่อต้านรัฐประหาร เรียกร้องรัฐธรรมนูญที่ชอบธรรมทั้งที่มา เนื้อหา และการบังคับใช้
ต้องการเลือกตั้งเสรี โปร่งใส ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม ไม่ยอมรับยุติธรรมสองมาตรฐาน
ปฏิเสธอำนาจนอกระบบ ไม่สยบต่อเผด็จการอำนาจนิยม
สิ่งเหล่านี้ยังดำรงอยู่
ผู้มีบทบาททางการเมืองกลุ่มใหม่ๆ นิสิต นักศึกษา คนหนุ่มสาว
ประชาชนผู้สนใจการเมืองมากมายมหาศาลต่างยังพูดถึงและต่อสู้ในจุดยืนและข้อเรียกร้องเดียวกัน
ต่างกับคนบางกลุ่ม
พวกเขาต้องสถานปาหลักการ
ความเชื่อ และข้อเรียกร้องใหม่ตลอดเวลาเพื่อสนองรับวิถีเผด็จการ
แม้กระทั่งถอดวางสถานะเจ้าของอำนาจอธิปไตย สนับสนุนให้คนกลุ่มเดียวรัฐประหาร
สร้างกติกาสูงสุดเพื่อสืบทอดอำนาจ
นำพาบ้านเมืองไปด้วยกลไกตรวจสอบพิกลพิการเพียงใดก็รับได้
การเมืองใหม่แต่งตั้ง 70 เลือกตั้ง 30 สภาประชาชน ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ต่อต้านเผด็จการรัฐสภา
ไม่ยอมรับวุฒิสภาทาส ฯลฯ
วันนี้มีแต่ความว่างเปล่า หลายคนถึงกับอับอายที่จะพูดถึงมันและตีบตันในการอธิบายทั้งในหลักการและรูปธรรม
บางเรื่องต้องรับเอาไว้เสียเองทั้งที่เคยแสดงท่าทีเดียดฉันท์ เช่น
การมีอยู่และบทบาทของวุฒิสภา 250 คนในปัจจุบัน
“เรา”
ไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ไม่ได้ชี้วัดด้วยสีเสื้อที่สวมใส่ แต่ “เรา”
คือพลังของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่ต้องการระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
ไม่มีอำนาจนอกระบบใด ๆ มาแอบแฝง แอบอ้าง เบียดบัง
ทำลายสิ่งที่ถูกต้องเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ของพวกตน
ใครจะเข้าสู่อำนาจต้องผ่านการตัดสินใจของประชาชน
ไม่ใช่ด้วยอิทธิพล เล่ห์กล
และความอำมหิตโดยเครือข่ายผลประโยชน์ที่กดทับประชาชนโดยเฉพาะคนยากคนจนมายาวนาน
เมื่อ “เรา”
คือสิ่งนี้จึงไม่มีวันหายไป การเข่นฆ่า ไล่ล่า จำขัง ไม่ได้ทำให้ “เรา” ลดจำนวนลง
เพราะ “เรา” เพิ่มขึ้นตลอดเวลา
“เรา”
มีทั้งผู้เผชิญสถานการณ์เมื่อสิบปีที่แล้ว และผู้ไม่อยู่ในเหตุการณ์แต่รับรู้
เข้าใจ เห็นใจ
หรือกระทั่งมิได้รู้สึกอันใดแต่ประสงค์จะนำพาสังคมไทยไปในทิศทางเดียวกัน
“เรา”
ต้องแบกรับคำว่าพ่ายแพ้ที่ถูกเขียนขึ้นด้วยกระบอกปืนของผู้มีอำนาจ
โดยมีหยดเลือดของพวกเราเป็นหยาดหมึก
แต่ “เรา” สร้างชัยชนะได้ด้วยอำนาจของตัวเองผ่านการเลือกตั้งตลอดมา
ใช่...
กว่า 10 ปีแล้วที่ “เรา” ชนะในวิถีทางประชาธิปไตยตลอดเวลา
นี่คือสิ่งที่ “เรา” ต่อสู้
และนี่คือชัยชนะที่ได้มา แม้กระทั่งผู้เผด็จการก็ยังซุกตัวอยู่ใต้ความชอบธรรมนี้
โดยอ้างว่าก่อรัฐประหารเพื่อสร้างประชาธิปไตย
“เรา”
มิเคยต่อสู้เพื่อสร้างเผด็จการ
พวกเขาต่างหากที่ต้องบดบังซากร่างที่แท้จริงของตนใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย
แต่ชัยชนะของ “เรา” ไม่ยั่งยืน
มิอาจต้านอิทธิฤทธิ์มหาศาลของขบวนการอำนาจนิยม จนกว่าความหมายของคำว่า “เรา”
จะขยายตัวและทรงพลังยิ่งกว่านี้
“เรา”
ต้องหมายถึงประชาชนทั้งหมด แม้จะคิดแตกต่างหรือกระทั่งเกลียดชังกัน
แต่”เรา”ต้องไม่เป็นท่อนฟืนของเปลวไฟเผด็จการ ไม่เป็นสะพานให้อำนาจนิยมเดินข้ามหัวไปแสวงหาผลประโยชน์ของชนชั้นพวกเขา
ผมเป็นแกนนำนปช.ที่ชีวิตยังผูกติดกับเหตุการณ์เมษา
- พฤษภา 2553 มิใช่ด้วยความชิงชังคลั่งแค้น
แต่เป็นความรับผิดชอบในฐานะแกนนำที่ต้องแสวงหาความจริงและความยุติธรรมให้คนตาย
อย่าได้กังวลว่าจะสร้างความแตกแยก เพราะความยุติธรรมเป็นบ่อเกิดแห่งสามัคคี
และสามัคคีเท่านั้นที่จะสร้างอนาคตที่งดงามให้ประเทศชาติและประชาชน
10 ปีที่แล้วมีคนเกือบ 100 ชีวิตถูกยิงตายกลางถนน
ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ไม่ควรมีใครต้องสูญเสีย
เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาตลอดมา ถึงเวลาจะอุทิศความยุติธรรมบ้างหรือยัง ?
ทุกประเทศดำรงอยู่ด้วยความหลากหลาย
ไม่มีทางที่แนวคิดฝ่ายใดจะอยู่ลำพัง และไม่มีทางที่คนอีกฝ่ายจะสูญสลายหายไป
ผมพร้อมร่วมมือกับคนทุกกลุ่ม
เพราะ “เรา” คือประชาชน
ปล. ถึงเพื่อนผู้เสียชีวิต
เสียใจต่อชะตากรรมของเพื่อนเสมอ
ขอโทษที่ยังทำทุกอย่างได้เท่านี้ แต่เราจะเดินหน้าต่อไป
เขาจับคนฆ่า “พี่เตี้ย ม.ช.”
ได้แล้ว กำลังดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม