ยูดีดีนิวส์ : 16
พ.ค. 63 วันนี้ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ได้มาสนทนาผ่านทางเฟสบุ๊คแฟนเพจ ซึ่งเป็นวาระครบ 10 ปี เมษา - พฤษภา 2553 ในประเด็น
"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือดประชาชน!!!
อ.ธิดากล่าวว่า การที่มีการเสียชีวิตร่วมร้อยคน เจ้าหน้าที่ประมาณ 10 พลเรือนที่ชัดเจนประมาณ 90 ที่ไม่ชัดเจนแล้วมาเสียชีวิตภายหลังไม่ได้นับ แล้วคนบาดเจ็บร่วมสองพันคน ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันมากมาย ดังนั้นคำว่า "มือเปื้อนเลือด" ก็ยังดีกว่าการไประบุโดยตรงว่าเป็น "ผู้สั่งฆ่าประชาชน"
ซึ่งเราพยายามจะให้โอกาส ให้เรื่องไปถึงศาล แต่ว่า ป.ป.ช. ทำให้เรื่องไม่ไปถึงศาล เพราะเราอยากจะให้กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นผู้ตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด แต่เมื่อเรื่องถูกยับยั้งโดย ป.ป.ช. องค์กรอิสระซึ่งขึ้นต่อวิธีคิดและการนำของฝ่ายจารีตนิยม แปลว่าเรื่องของคุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพไปไม่ถึงศาล
ดังนั้นเราจึงเพียงแต่ใช้คำว่า "มือเปื้อนเลือดประชาชน"
แต่ว่าเลือดที่ท่วมตัวนั้น ท่วมตัว "คนเสื้อแดง"
ในวาระครบ 10 ปี เมื่อเรื่องมันไปไม่ถึงศาล เมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถที่จะทำให้มีความชัดเจนว่าความจริงเป็นอย่างไร และใครเป็นผู้ผิดขั้นตอนไหน? ผ่านมา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการทำรัฐประหารตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา เรื่องต่าง ๆ ชะงักหมด
ดังที่เราได้พูดแล้วว่าความพยายามที่จะเปิดเผยความจริง ความพยายามที่จะตามหาความจริงและความยุติธรรม จึงเป็นกระบวนการและเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ เป็นกระบวนการในการที่เราจะฟ้องร้องสังคม ฟ้องร้องประชาชน ฟ้องร้องสังคมโลก
เพราะกระบวนการยุติธรรมที่มันควรจะเป็น มันไม่ได้เกิดขึ้น!!!
ซึ่งตัวอ.ธิดาเองเข้าใจได้ แต่สังคมภายนอกอาจจะไม่เข้าใจ
ถ้าคุณอยู่ในฐานะนักต่อสู้คุณจะเข้าใจว่า คุณจะไม่มีทางได้รับความยุติธรรม ถ้าหากว่าผู้มีอำนาจและเครือข่ายผู้มีอำนาจทางการเมือง การปกครองและสังคมนั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน หรือพูดง่าย ๆ ว่าเมื่อประชาชนไม่มีอำนาจในทางการเมืองการปกครองในระบอบการเมืองสมัยใหม่
ความยุติธรรมจึงเป็นความยุติธรรมของชนชั้นปกครอง ไม่ใช่ความยุติธรรมของประชาชน
ความมั่นคงก็กลายเป็นความมั่นคงของชนชั้นปกครอง โดยเฉพาะจารีตนิยม อำนาจนิยม ในระบอบที่ประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนจำเป็นจะต้องทำเมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม เมื่อความจริงไม่ได้ถูกปรากฏ ก็ต้องเกิดกระบวนการตามหา ตามล่าความจริงและฟ้องร้องต่อประชาชน
คุณถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาพูด โอเค...คุณก็พูดออกมาซิว่าสิ่งที่คุณพูดมันตรงหรือไม่ตรงกับคำวินิจฉัยและคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายที่เกิดขึ้น 30 กว่าศพ และโดยเฉพาะ 18 ศพ
เอาละค่ะ...ดิฉันเพียงแต่พูดว่าทำไมเราจึงใช้คำว่า "เป็นนายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือดประชาชน" เราก็ให้ความเป็นธรรมในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดิฉันให้ความเป็นธรรมและให้โอกาสเสมอ และไม่ต้องการซ้ำเติม
ปัจจุบันนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำการเมือง หรือในฐานะผู้นำรัฐบาล กระทั่งผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป ซึ่งในทัศนะดิฉันอาจจะสรุปเร็วไปหน่อยก็ได้ ดิฉันมองว่าคุณอภิสิทธิ์นั้นจบชีวิตทางการเมืองหลังจากพฤษภา 53 แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่รู้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่รู้
ดังนั้น ความพยายามที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลจึงล้มเหลว และในที่สุดจนกระทั่งพ้นการเลือกตั้งล่าสุดหลังจากปี 53
ปี 54 คุณอภิสิทธิ์ไปยืนร้องไห้ที่ราชประสงค์ แล้วผลการเลือกตั้งก็พ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง แทนที่คุณอภิสิทธิ์จะได้เกิดในเวทีการเมือง กลายเป็นว่าเป็นการดับพร้อมกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย ดิฉันไม่ได้จะซ้ำเติม แต่นี่เป็นความจริง!!!
เมื่อหันมาดูภูมิหลังและประวัติของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดิฉันมองว่าเขาถูกหยิบมาจากชนชั้นนำจารีตนิยมให้เป็นตัวแทนเในการที่จะต้องมาต่อสู้กับคุณทักษิณ ชินวัตร เหตุเพราะคุณทักษิณ ชินวัตร ดูเป็นนายทุนใหม่ เป็นคนที่สามารถมีวิสัยทัศน์ สามารถที่จะสัมพันธ์กับโลกโลกาภิวัตน์ได้อย่างดี
ดังนั้นคุณอภิสิทธิ์ซึ่งอยู่ในชาติตระกูลดี ความจริงดิฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกันมากมาย แต่ว่าวิธีคิดของจารีตนิยมจะคิดอย่างนั้น คุณพ่อของคุณอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เคยรู้จักดิฉันดี ก็มีความเอื้อเฟื้อกัน ดิฉันไม่มีปัญหาส่วนตัวกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลย
แต่ว่าคุณอภิสิทธิ์ถูกหยิบมาโดยกลุ่มจารีตนิยมชนชั้นนำ การศึกษาดี ชาติตระกูลดี รุ่นหนุ่ม พูดภาษาอังกฤษได้อย่างดี คลาสสิค พูดง่าย ๆ ว่าคุณสมบัติ (เอาการศึกษานะ) แค่นี้ ดีกว่านายกฯ ในโลกตะวันตกหลายคน หรืออาจจะทัดเทียมกัน ตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย ในทัศนะของดิฉัน กลุ่มจารีตนิยมไม่เข้าใจประเทศไทย และไม่เข้าใจคนไทย
มีคุณสมบัติแค่นี้...มันไม่ได้หมายความว่าจะสามารถครองใจประชาชน จะสามารถนำพาประเทศไทยและประชาชนไทย ถ้าเขาคิดให้ถูกนะ คนที่จะมาเป็นตัวแทนของฝั่งจารีตนิยม มันไม่ใช่เพียงแต่การศึกษาที่จะมาต่อสู้ การศึกษาในระบบไม่ได้ทำให้ใครเก่งกว่าใคร ในทัศนะดิฉัน ทำให้คนโง่ด้วยแล้วหลงตัวเองว่า ฉันจบมาจากมหาวิทยาลัยดัง ฉันเรียนมาจากต่างประเทศตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ อะไรประมาณนี้ ... ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็น แต่มีโอกาศเป็น
แต่ว่ากลุ่มชนชั้นนำจารีตนิยมเข้าใจผิดว่าคนที่จะมานำพา เป็นตัวแทน มันต้องเป็นคนที่สามารถทำให้ประเทศชาติและประชาชนก้าวไปข้างหน้าได้ และครองใจประชาชนได้ เพราะท่านบอกว่าคนดี ชาติตระกูลดี การศึกษาดี พอแล้ว ไม่จริง!!! ไม่ใช่เลย!!!
มันไม่สามารถจะทำให้เป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องไปเชิญพระเถระ พระอรหันต์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรี ให้หมดเลย คนดีหมดเลย...ถูกมั้ยคะ
มันไม่ใช่!!! มันต้องเป็นคนที่รู้เท่าทันโลก รู้จักประชาชน รู้จักโลก แล้วก็มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปข้างหน้า มีคณะทำงานที่มีความแข็งแกร่ง มีความรอบรู้ แล้วก็สามารถเดินไปด้วยกัน
เวลาคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประการแรกเลย ถ้าคุณเป็นคนที่มีสปิริตของนักการเมืองตะวันตก รักประชาธิปไตยจริง ๆ คุณจะไม่มารับเป็นนายกฯ ที่มีการจัดการโดยชนชั้นนำและกองทัพ แล้วก็มีงูเห่า (พรรคการเมืองซึ่งออกมาจากพรรคไทยรักไทย)
ถ้าคุณอภิสิทธิ์มีจิตใจเป็นนักประชาธิปไตยจริง ๆ แบบตะวันตก คุณต้องมาเป็นนายกฯ จากผลการเลือกตั้ง แต่เมื่อคุณมาจากการจัดการ แล้วใครเป็นผู้จัดการ? ดังนั้นผู้จัดการก็จะเป็นคนคุม (จริงหรือเปล่า) ไม่ใช่ตัวคุณ ฉะนั้นตั้งแต่แรกเลยว่า คุณไม่ใช่แล้ว คุณไม่ใช่นักนักประชาธิปไตย คือคุณยอมรับการจัดการที่ไม่ถูกต้องให้มาเป็นนายกฯ
ถัดมาเมื่อคุณมาเป็นนายกฯ ที่มีคนอยู่ข้างหลังที่ใหญ่กว่าคุณทั้งนั้นเลย สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณต้องมาแบกรับปัญหาที่เกิดจากอดีตและชนชั้นนำจารีตนิยมและคนรุ่นก่อนได้สร้างเอาไว้ แล้วคุณมาเผชิญกับการต่อสู้ซึ่งคุณหลงผิดในหลายเรื่อง
ความหลงผิดประการแรกเท่าที่ดิฉันสัมผัสและคุณอภิสิทธิ์พูดมาตลอด คุณไม่ให้ค่าประชาชน คุณมองว่าประชาชนถูกซื้อเสียง (พรรคประชาธิปัตย์มองอย่างนั้น) ถูกซื้อเสียง ถูกซื้อด้วยโครงการประชานิยม (แต่ในที่สุดคุณก็มาลอกเขา) คุณไม่ให้ค่าการต่อสู้ของประชาชน คุณมองว่าคนเหล่านี้ทำตามคำสั่งคุณทักษิณ ไปพูดที่ไหนก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้น
แม้กระทั่งมีครั้งหนึ่งที่มีการเจรจาออกทีวี คุณวีระกานต์-คุณจตุพร-คุณหมอเหวง เป็นตัวแทนนปช.ไปเจรจา คือมีความพยายามในการเจรจาในช่วงก่อน 10 เมษา ในครั้งสุดท้ายที่เจรจาผ่านทีวี คุณอภิสิทธิ์ก็อ้างว่าคุณทักษิณโทรไปสั่งให้เลิก
คุณเข้าใจผิด!!!
พูดเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเชื่อเพราะว่ามันฝังอยู่ในหัว ก็คนที่โทรไปหาคุณจตุพรก็คือคุณณัฐวุฒิ ดิฉันนั่งดูอยู่ พบว่าการเจรจาออกทีวีมันคือการแสดงละคร คุณอภิสิทธิ์แสดงตัวเป็นพระเอก แล้วก็ให้แม่ยกเชียร์ มันกลายเป็นการแสดงเพื่อคนดู มันไม่ได้เป็นการจริงใจในการเจรจา อันนี้ยกตัวอย่าง
แล้วไม่ว่าคุณอภิสิทธิ์จะไปพูดที่ไหนเขาก็ยกตัวอย่างครั้งนี้ ซึ่งมันเป็นความเท็จ ความไม่จริง คุณอภิสิทธิ์มีความคิดอยู่ตลอด "ไม่ให้ค่าประชาชน" คำถามว่าคนที่ไม่ให้คุณค่าประชาชน มองว่าประชาชนเป็นสมุนบริวารทำตามคำสั่งคุณทักษิณ ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุหนึ่งจากต้นทุนที่คุณอภิสิทธิ์ไม่มีเลยทางการเมือง ไม่แต่แก๊งค์ไอติม แล้วไม่ให้ค่าการต่อสู้ประชาชน คุณจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีของประชาชนไทยและประเทศไทยได้อย่างไร ถ้าคุณดูถูกประชาชน
คุณอาจจะไม่ชอบคุณทักษิณได้ แต่ทำไมคุณดูถูกประชาชน แล้วคุณดูถูกด้อยค่าการต่อสู้ ดังนั้นแปลว่าออกมาเท่าไหร่ผมก็ไม่สนใจ ถ้าเป็นคนที่มีสปิริต ประชาชนออกมามากเท่านี้มันต้องลาออกแล้ว หรือมิฉะนั้นก็ต้องบอก โอเคผมจะยุบสภาโดยเร็ว มันไม่มีอะไรเพราะคนที่มาเรียกร้องเขาบอกว่าให้คุณยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน แล้วสุดท้ายมาเกิดวันที่ 10 เมษา ไปฆ่าประชาชนจำนวนมาก เขาก็เลยบอกว่าให้ยุบสภาโดยเร็วหรือว่าให้ลาออกโดยเร็ว...ประมาณนี้
คุณอภิสิทธิ์...คุณไม่ได้รักประชาชน คุณไม่ได้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริง แล้วคุณดูถูกการต่อสู้ประชาชน และนี่คือวิธีคิดของจารีตนิยมทั้งหลาย คือมองว่าไม่ว่าจะเป็น นปช. ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง (เขาใช้คำว่า "ควายแดง") ใช้คำว่าเป็นสมุนบริวารทักษิณ
แล้วขอโทษ! คนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ปัญญาชนจำนวนหนึ่งก็คิดแบบเดียวกับคุณอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าไอ้พวกนี้เป็นพวกรักทักษิณ แปลว่าไปด้อยค่าประชาชน มันน่าอนาถที่ปัญญาชนไทย ชนชั้นกลางไทยจำนวนมากไม่ได้ยืนอยู่ข้างประชาชน ดันไปสนับสนุนรัฐประหาร แม้ว่าบางคนบอกว่าไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบรัฐประหาร แต่ว่าเป็นพวก 2 ไม่ (ไม่เอาทักษิณและไม่เอารัฐประหาร) แต่สิ่งที่กลายเป็นก็คือ เขาไม่เอาประชาชน เพราะในที่สุดเขาบอกว่าก็จำเป็นต้องยอมรับรัฐประหารเพราะไม่มีทางเลือก
ทำไม? ถ้าคุณปล่อยให้มีการเลือกตั้งให้ประชาชนเขาตัดสินแล้วคุณยอมรับได้ไหม? ถ้าคุณยอมรับได้...นั่นคือสปิริตของฝ่ายประชาธิปไตย และก็เป็นทิศทางของการก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีปัญหาก็แก้กันไป ข้อมูลที่ถูกต้องก็ออกมา เพื่อจะทำให้ยกระดับ แต่ไม่ใช่ไปเหยียบย่ำดูหมิ่น ดูถูกศักดิ์ศรีประชาชน
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่ให้ค่า ไม่ว่าคนจะออกมาเท่าไหร่ อยู่สั้นก็ไม่สะเทือน (ตอนปี 52) อยู่ยาวก็ไม่ยอม แล้วใช้เครื่องมือของฝ่ายจารีตนิยม กองทัพขึ้นกับใคร ไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาล มาจัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งประชาชน
ก็แปลว่าในโครงสร้างการเมืองการปกครองสายอนุรักษ์นิยม จารีตนิยมนั้นกลายเป็นด้านหลักของโครงสร้าง สายพรรคการเมืองกลายมาเป็นตัวประกอบ เดี๋ยวนี้เขาก็เลย พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนถีบทิ้ง สร้างพรรคใหม่ของเขาเอง อันนี้เป็นส่วนซึ่งดิฉันจำเป็นต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิด แล้วมันก็สนองแล้ว เมื่อคุณไม่รักประชาชน คุณไม่เห็นคุณค่าการต่อสู้ประชาชน เท่ากับคุณไม่เอาระบอบประชาธิปไตยจริง
ครั้งหลังที่คุณมาบอกว่าคุณไม่เอาการสืบทอดอำนาจ...มันสายไปแล้ว
จึงเป็นชะตากรรมซึ่งไม่ได้เกิดจากเรา แต่เกิดจากมือเขาเอง
อีกอันหนึ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องพูดก็คือว่า คุณมีความรู้ คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่คนทุกคนไม่มีใครรู้อะไรจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามหาข้อมูล แล้วข้อมูลมันต้องอัพเดทอยู่เสมอ
คุณอภิสิทธิ์สร้างวาทกรรมชุดแรกก็คือ พวกนี้เป็นควาย รับใช้ดร.ทักษิณ ไม่ให้ค่าประชาชน
ถัดมาก็คือ พวกนี้มีกองกำลังอาวุธ ถ้าไม่มีคำพูดเรื่องชายชุดดำ ไม่มีการพูดเรื่องกองกำลังอาวุธ ก็แปลว่าการฆ่าประชาชนนั้นมันกลายเป็นอาชญากรรม และเป็นอาชญากรรมที่รุนแรง ไม่ได้กระทำต่อบุคคล แต่กระทำต่อระบอบการเมืองด้วยซ้ำ
ความพยายามวาทกรรมของชายชุดดำ, ล้มเจ้า และเผาบ้านเผาเมือง ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนทัศน์ของฝ่ายจารีตนิยม แล้วก็ใส่ลงไปในสมองของคนชั้นกลาง ปัญญาชน ชนชั้นนำในสังคมไทยให้คิดแบบเดียวกับพวกจารีตนิยม มันเป็นการกล่อมเกลาซึ่งสิบปีผ่านมาแล้วก็ยังมีคนคิดอย่างนี้ แต่ก็มีคนเปลี่ยน
สิ่งที่แสดงให้เห็นเลยก็คือว่า คุณอภิสิทธิ์ไม่หาข้อมูล กระทั่งว่าที่ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการตาย 30 กว่าศพ แล้วบอกชัด ๆ อย่างน้อย 16 ศพ ว่าเป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่ ในหลายพื้นที่รู้หน่วย รู้เหล่า กระทั่งรู้คนด้วย แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 10 เมษา 53 ซึ่งเป็นต้นเหตุของความบ้าคลั่งของคุณอภิสิทธิ์นี่แหละ ที่ทำให้เกิด 13 ยิงเสธ.แดง 14-15-16 ฆ่าประชาชนมาเป็นลำดับ
ไม่ใช่ "ปรับ" เพื่อที่จะไม่ปราบประชาชน
แต่ "ปรับ" เพื่อให้ปราบประชาชนอย่างรุนแรง โดยไม่นำพาว่านั่นคือประชาชนของประเทศไทย จิตใจที่รักประชาชนมันไม่มี
เขาไม่หาข้อมูลกระทั่งว่าการเสียชีวิตของทหารตรงนั้นที่หน้า รร.สตรีวิทยา เขาก็ยังพูดถึงการใช้ M79 การใช้ปืนวิถีโค้ง เพราะมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะอธิบายได้ถึงการเสียชีวิตของทหาร การบาดเจ็บ เพราะว่าความเป็นจริงมันมาจากระเบิดขว้าง M67
คอป. ตอนหลังนี่รู้แล้วว่ามาจาก M67 ก็ไม่รู้จะเอาทางไหน ก็บอกว่าไอ้พวกเสื้อแดงมันคงไปอยู่ที่บ้านโบราณที่อยู่ตรงข้าม รร.สตรีวิทยา แต่คุณอภิสิทธิ์แย่ยิ่งกว่า คอป. อีก ยังเอาชุดความคิดเก่าก็คือใช้ M79 ยิง
คนอะไร? มีทหารตาย แทนที่จะพยายามค้นคว้าหาความจริง กลับเอาความเชื่อของตัวเองเข้ามาแทนความจริง พูดแต่เรื่อง M79 อันนี้มันชี้ให้เห็น ซึ่งดิฉันมองแล้วว่าการขาดวุฒิภาวะ การขาดประสบการณ์ในชีวิต การขาดคณะทำงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทำให้คุณอภิสิทธิ์แบกรับความกดดันสูงมาก
แล้วก็เหมือนกับเป็นตัวแสดง ตัวแทนของฝ่ายจารีตนิยม แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่มีความผิด เพราะอย่างไรเขาก็ต้องช่วยกัน...หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือองค์กรอื่นใด คุณไม่มีความผิดในระบบของคุณ แต่ว่า...สำหรับในฝ่ายประชาชนเขามองคุณอย่างไร?
ที่จริงมันไม่มีอะไรที่จะต้องลำบากเลย ถ้าเพียงแต่คุณเป็นคนที่มีจิตใจรักประชาธิปไตย รักประชาชนไทยจริง ๆ การศึกษาทำไมช่วยคุณไม่ได้ คุณไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนหรือว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนแต่ละยุค แต่ละสมัย มีอำนาจทางการเมืองการปกครองแทนผู้ที่ปกครองชุดเดิม ซึ่งอยุติธรรม ซึ่งไม่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งมองเห็นคนไม่เท่ากัน มันเป็นประวัติศาสตร์ธรรมดา คุณไม่ได้เรียนหรืออย่างไร? หรือคุณเรียนแต่ประวัติศาสตร์ของผู้ปกครอง แพ้ชนะของผู้ปกครอง ไม่ได้มองแง่ประชาชน
เพราะฉะนั้นที่ดิฉันใช้คำว่า คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือด เราไม่ได้ประณามถึงกับว่าคุณเป็นฆาตกรนะ เรายังต้องการให้ศาลเข้ามา เราแฟร์พอ แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นชะตากรรม คุณเลือกใช้การทหารมาจัดการกับประชาชนในปี 53 ซึ่งเป็นความบ้าคลั่ง โง่เขลา และผิดพลาด
คุณคิดว่าคุณชนะ หลังปราบปรามคุณก็แพ้การเลือกตั้ง แล้วคุณก็แพ้มาตามลำดับ ประชาชนถูกฆ่าอาจจะบอกว่าแพ้ อ.ธิดาบอกว่าแพ้ทางการทหาร แต่การเมืองไม่ได้แพ้ พรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับคุณก็ได้รับการชนะมาเป็นลำดับ จนสุดท้ายคุณต้องแก้รัฐธรรมนูญ แก้กติกา แก้คนมาคุมกติกา ฝ่ายอำนาจนิยม จารีตนิยม อาจจะขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่น่าชื่นชม
ในทัศนะของดิฉันบทเรียนของคุณอภิสิทธิ์ ภาษาไทยเขาบอกว่ามันต้องเป็นนักเลง มีนักกีฬาและนักเลง คุณไม่ใช่ทั้งนักกีฬา คุณไม่มีสปิริตของนักประชาธิปไตยสากล แม้กระทั่งเป็นนักเลงคุณก็เป็นไม่ได้ ชะตากรรมของคุณ คุณชนะการทหารเมื่อปี 53 แต่ดิฉันคิดว่าทางการเมืองคุณแพ้มาตลอด
ฝ่ายประชาชนดูเหมือนแพ้ ถูกจับกุมคุมขัง ถูกฆ่า จำนวนหนึ่ง แต่ดิฉันก็ขอใช้คำพูดของ เนลสัน แมนเดลา ว่า
"คุณฆ่าประชาชนได้จำนวนหนึ่ง แต่คุณฆ่าประชาชนทั้งหมดประเทศไม่ได้"
เมื่อประชาชนที่ต่อสู้แล้วบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกจับกุมคุมขัง ก็จะต้องมีคนใหม่เข้ามา คนเก่าก็จะต้องพยายามที่จะนำเสนอบทเรียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถที่จะเดินบนถนนเส้นทางที่ประชาชนมีอำนาจต่อไปให้ได้ การต่อสู้ประชาชนนั้นเป็นการต่อสู้ระยะยาวและไม่มีสิ้นสุด (ไม่มีดังที่พูดว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย) มีแต่ชนชั้นนำที่ต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย
ในทัศนะดิฉัน ครั้งสุดท้ายคุณอภิสิทธิ์คือปี 53 แต่ประชาชนไม่มีครั้งสุดท้าย เพราะประชาชนต้องต่อสู้ไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้ประชาชนนั้นสามารถที่จะมีอำนาจจริง มีความยุติธรรม เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วหน้า แล้วก็มีการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศ เพราะประชาชนไม่มีวันต้องการให้ประเทศหายนะแน่นอน อ.ธิดากล่าวในที่สุด
"นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" นายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือดประชาชน!!!
อ.ธิดากล่าวว่า การที่มีการเสียชีวิตร่วมร้อยคน เจ้าหน้าที่ประมาณ 10 พลเรือนที่ชัดเจนประมาณ 90 ที่ไม่ชัดเจนแล้วมาเสียชีวิตภายหลังไม่ได้นับ แล้วคนบาดเจ็บร่วมสองพันคน ความเสียหายที่เกิดขึ้นมันมากมาย ดังนั้นคำว่า "มือเปื้อนเลือด" ก็ยังดีกว่าการไประบุโดยตรงว่าเป็น "ผู้สั่งฆ่าประชาชน"
ซึ่งเราพยายามจะให้โอกาส ให้เรื่องไปถึงศาล แต่ว่า ป.ป.ช. ทำให้เรื่องไม่ไปถึงศาล เพราะเราอยากจะให้กระบวนการยุติธรรมไทยเป็นผู้ตัดสินว่าผิดหรือไม่ผิด แต่เมื่อเรื่องถูกยับยั้งโดย ป.ป.ช. องค์กรอิสระซึ่งขึ้นต่อวิธีคิดและการนำของฝ่ายจารีตนิยม แปลว่าเรื่องของคุณอภิสิทธิ์กับคุณสุเทพไปไม่ถึงศาล
ดังนั้นเราจึงเพียงแต่ใช้คำว่า "มือเปื้อนเลือดประชาชน"
แต่ว่าเลือดที่ท่วมตัวนั้น ท่วมตัว "คนเสื้อแดง"
ในวาระครบ 10 ปี เมื่อเรื่องมันไปไม่ถึงศาล เมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถที่จะทำให้มีความชัดเจนว่าความจริงเป็นอย่างไร และใครเป็นผู้ผิดขั้นตอนไหน? ผ่านมา 10 ปีแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการทำรัฐประหารตั้งแต่ปี 57 เป็นต้นมา เรื่องต่าง ๆ ชะงักหมด
ดังที่เราได้พูดแล้วว่าความพยายามที่จะเปิดเผยความจริง ความพยายามที่จะตามหาความจริงและความยุติธรรม จึงเป็นกระบวนการและเป็นกระบวนท่าของการต่อสู้ เป็นกระบวนการในการที่เราจะฟ้องร้องสังคม ฟ้องร้องประชาชน ฟ้องร้องสังคมโลก
เพราะกระบวนการยุติธรรมที่มันควรจะเป็น มันไม่ได้เกิดขึ้น!!!
ซึ่งตัวอ.ธิดาเองเข้าใจได้ แต่สังคมภายนอกอาจจะไม่เข้าใจ
ถ้าคุณอยู่ในฐานะนักต่อสู้คุณจะเข้าใจว่า คุณจะไม่มีทางได้รับความยุติธรรม ถ้าหากว่าผู้มีอำนาจและเครือข่ายผู้มีอำนาจทางการเมือง การปกครองและสังคมนั้นไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับประชาชน หรือพูดง่าย ๆ ว่าเมื่อประชาชนไม่มีอำนาจในทางการเมืองการปกครองในระบอบการเมืองสมัยใหม่
ความยุติธรรมจึงเป็นความยุติธรรมของชนชั้นปกครอง ไม่ใช่ความยุติธรรมของประชาชน
ความมั่นคงก็กลายเป็นความมั่นคงของชนชั้นปกครอง โดยเฉพาะจารีตนิยม อำนาจนิยม ในระบอบที่ประชาชนไม่ได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนจำเป็นจะต้องทำเมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม เมื่อความจริงไม่ได้ถูกปรากฏ ก็ต้องเกิดกระบวนการตามหา ตามล่าความจริงและฟ้องร้องต่อประชาชน
คุณถวิล เปลี่ยนศรี ออกมาพูด โอเค...คุณก็พูดออกมาซิว่าสิ่งที่คุณพูดมันตรงหรือไม่ตรงกับคำวินิจฉัยและคำสั่งศาลในการไต่สวนการตายที่เกิดขึ้น 30 กว่าศพ และโดยเฉพาะ 18 ศพ
เอาละค่ะ...ดิฉันเพียงแต่พูดว่าทำไมเราจึงใช้คำว่า "เป็นนายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือดประชาชน" เราก็ให้ความเป็นธรรมในฐานะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ดิฉันให้ความเป็นธรรมและให้โอกาสเสมอ และไม่ต้องการซ้ำเติม
ปัจจุบันนี้ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำการเมือง หรือในฐานะผู้นำรัฐบาล กระทั่งผู้นำพรรคประชาธิปัตย์อีกต่อไป ซึ่งในทัศนะดิฉันอาจจะสรุปเร็วไปหน่อยก็ได้ ดิฉันมองว่าคุณอภิสิทธิ์นั้นจบชีวิตทางการเมืองหลังจากพฤษภา 53 แต่คุณอภิสิทธิ์ไม่รู้ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่รู้
ดังนั้น ความพยายามที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลจึงล้มเหลว และในที่สุดจนกระทั่งพ้นการเลือกตั้งล่าสุดหลังจากปี 53
ปี 54 คุณอภิสิทธิ์ไปยืนร้องไห้ที่ราชประสงค์ แล้วผลการเลือกตั้งก็พ่ายแพ้ แต่ก็ยังมีพื้นที่ของพรรคประชาธิปัตย์ แต่เมื่อเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง แทนที่คุณอภิสิทธิ์จะได้เกิดในเวทีการเมือง กลายเป็นว่าเป็นการดับพร้อมกับพรรคประชาธิปัตย์ไปด้วย ดิฉันไม่ได้จะซ้ำเติม แต่นี่เป็นความจริง!!!
เมื่อหันมาดูภูมิหลังและประวัติของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดิฉันมองว่าเขาถูกหยิบมาจากชนชั้นนำจารีตนิยมให้เป็นตัวแทนเในการที่จะต้องมาต่อสู้กับคุณทักษิณ ชินวัตร เหตุเพราะคุณทักษิณ ชินวัตร ดูเป็นนายทุนใหม่ เป็นคนที่สามารถมีวิสัยทัศน์ สามารถที่จะสัมพันธ์กับโลกโลกาภิวัตน์ได้อย่างดี
ดังนั้นคุณอภิสิทธิ์ซึ่งอยู่ในชาติตระกูลดี ความจริงดิฉันไม่ได้คิดว่ามันจะเกี่ยวข้องกันมากมาย แต่ว่าวิธีคิดของจารีตนิยมจะคิดอย่างนั้น คุณพ่อของคุณอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล ก็เคยรู้จักดิฉันดี ก็มีความเอื้อเฟื้อกัน ดิฉันไม่มีปัญหาส่วนตัวกับคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลย
แต่ว่าคุณอภิสิทธิ์ถูกหยิบมาโดยกลุ่มจารีตนิยมชนชั้นนำ การศึกษาดี ชาติตระกูลดี รุ่นหนุ่ม พูดภาษาอังกฤษได้อย่างดี คลาสสิค พูดง่าย ๆ ว่าคุณสมบัติ (เอาการศึกษานะ) แค่นี้ ดีกว่านายกฯ ในโลกตะวันตกหลายคน หรืออาจจะทัดเทียมกัน ตั้งแต่เรียนมัธยมจนกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย ในทัศนะของดิฉัน กลุ่มจารีตนิยมไม่เข้าใจประเทศไทย และไม่เข้าใจคนไทย
มีคุณสมบัติแค่นี้...มันไม่ได้หมายความว่าจะสามารถครองใจประชาชน จะสามารถนำพาประเทศไทยและประชาชนไทย ถ้าเขาคิดให้ถูกนะ คนที่จะมาเป็นตัวแทนของฝั่งจารีตนิยม มันไม่ใช่เพียงแต่การศึกษาที่จะมาต่อสู้ การศึกษาในระบบไม่ได้ทำให้ใครเก่งกว่าใคร ในทัศนะดิฉัน ทำให้คนโง่ด้วยแล้วหลงตัวเองว่า ฉันจบมาจากมหาวิทยาลัยดัง ฉันเรียนมาจากต่างประเทศตั้งแต่ตัวเล็ก ๆ อะไรประมาณนี้ ... ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็น แต่มีโอกาศเป็น
แต่ว่ากลุ่มชนชั้นนำจารีตนิยมเข้าใจผิดว่าคนที่จะมานำพา เป็นตัวแทน มันต้องเป็นคนที่สามารถทำให้ประเทศชาติและประชาชนก้าวไปข้างหน้าได้ และครองใจประชาชนได้ เพราะท่านบอกว่าคนดี ชาติตระกูลดี การศึกษาดี พอแล้ว ไม่จริง!!! ไม่ใช่เลย!!!
มันไม่สามารถจะทำให้เป็นผู้นำที่ดีได้ ไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องไปเชิญพระเถระ พระอรหันต์ มาเป็นนายกรัฐมนตรี มาเป็นรัฐมนตรี ให้หมดเลย คนดีหมดเลย...ถูกมั้ยคะ
มันไม่ใช่!!! มันต้องเป็นคนที่รู้เท่าทันโลก รู้จักประชาชน รู้จักโลก แล้วก็มีวิสัยทัศน์ที่จะก้าวไปข้างหน้า มีคณะทำงานที่มีความแข็งแกร่ง มีความรอบรู้ แล้วก็สามารถเดินไปด้วยกัน
เวลาคุณอภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรี
ประการแรกเลย ถ้าคุณเป็นคนที่มีสปิริตของนักการเมืองตะวันตก รักประชาธิปไตยจริง ๆ คุณจะไม่มารับเป็นนายกฯ ที่มีการจัดการโดยชนชั้นนำและกองทัพ แล้วก็มีงูเห่า (พรรคการเมืองซึ่งออกมาจากพรรคไทยรักไทย)
ถ้าคุณอภิสิทธิ์มีจิตใจเป็นนักประชาธิปไตยจริง ๆ แบบตะวันตก คุณต้องมาเป็นนายกฯ จากผลการเลือกตั้ง แต่เมื่อคุณมาจากการจัดการ แล้วใครเป็นผู้จัดการ? ดังนั้นผู้จัดการก็จะเป็นคนคุม (จริงหรือเปล่า) ไม่ใช่ตัวคุณ ฉะนั้นตั้งแต่แรกเลยว่า คุณไม่ใช่แล้ว คุณไม่ใช่นักนักประชาธิปไตย คือคุณยอมรับการจัดการที่ไม่ถูกต้องให้มาเป็นนายกฯ
ถัดมาเมื่อคุณมาเป็นนายกฯ ที่มีคนอยู่ข้างหลังที่ใหญ่กว่าคุณทั้งนั้นเลย สถานการณ์ที่เกิดขึ้น คุณต้องมาแบกรับปัญหาที่เกิดจากอดีตและชนชั้นนำจารีตนิยมและคนรุ่นก่อนได้สร้างเอาไว้ แล้วคุณมาเผชิญกับการต่อสู้ซึ่งคุณหลงผิดในหลายเรื่อง
ความหลงผิดประการแรกเท่าที่ดิฉันสัมผัสและคุณอภิสิทธิ์พูดมาตลอด คุณไม่ให้ค่าประชาชน คุณมองว่าประชาชนถูกซื้อเสียง (พรรคประชาธิปัตย์มองอย่างนั้น) ถูกซื้อเสียง ถูกซื้อด้วยโครงการประชานิยม (แต่ในที่สุดคุณก็มาลอกเขา) คุณไม่ให้ค่าการต่อสู้ของประชาชน คุณมองว่าคนเหล่านี้ทำตามคำสั่งคุณทักษิณ ไปพูดที่ไหนก็พูดอย่างนี้ทั้งนั้น
การเจรจาของสองฝ่ายเมื่อ 30 มี.ค. 53 |
คุณเข้าใจผิด!!!
พูดเท่าไหร่ก็ไม่มีทางเชื่อเพราะว่ามันฝังอยู่ในหัว ก็คนที่โทรไปหาคุณจตุพรก็คือคุณณัฐวุฒิ ดิฉันนั่งดูอยู่ พบว่าการเจรจาออกทีวีมันคือการแสดงละคร คุณอภิสิทธิ์แสดงตัวเป็นพระเอก แล้วก็ให้แม่ยกเชียร์ มันกลายเป็นการแสดงเพื่อคนดู มันไม่ได้เป็นการจริงใจในการเจรจา อันนี้ยกตัวอย่าง
แล้วไม่ว่าคุณอภิสิทธิ์จะไปพูดที่ไหนเขาก็ยกตัวอย่างครั้งนี้ ซึ่งมันเป็นความเท็จ ความไม่จริง คุณอภิสิทธิ์มีความคิดอยู่ตลอด "ไม่ให้ค่าประชาชน" คำถามว่าคนที่ไม่ให้คุณค่าประชาชน มองว่าประชาชนเป็นสมุนบริวารทำตามคำสั่งคุณทักษิณ ดังนั้นมันจึงเป็นสาเหตุหนึ่งจากต้นทุนที่คุณอภิสิทธิ์ไม่มีเลยทางการเมือง ไม่แต่แก๊งค์ไอติม แล้วไม่ให้ค่าการต่อสู้ประชาชน คุณจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีของประชาชนไทยและประเทศไทยได้อย่างไร ถ้าคุณดูถูกประชาชน
คุณอาจจะไม่ชอบคุณทักษิณได้ แต่ทำไมคุณดูถูกประชาชน แล้วคุณดูถูกด้อยค่าการต่อสู้ ดังนั้นแปลว่าออกมาเท่าไหร่ผมก็ไม่สนใจ ถ้าเป็นคนที่มีสปิริต ประชาชนออกมามากเท่านี้มันต้องลาออกแล้ว หรือมิฉะนั้นก็ต้องบอก โอเคผมจะยุบสภาโดยเร็ว มันไม่มีอะไรเพราะคนที่มาเรียกร้องเขาบอกว่าให้คุณยุบสภา คืนอำนาจให้กับประชาชน แล้วสุดท้ายมาเกิดวันที่ 10 เมษา ไปฆ่าประชาชนจำนวนมาก เขาก็เลยบอกว่าให้ยุบสภาโดยเร็วหรือว่าให้ลาออกโดยเร็ว...ประมาณนี้
คุณอภิสิทธิ์...คุณไม่ได้รักประชาชน คุณไม่ได้เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริง แล้วคุณดูถูกการต่อสู้ประชาชน และนี่คือวิธีคิดของจารีตนิยมทั้งหลาย คือมองว่าไม่ว่าจะเป็น นปช. ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดง (เขาใช้คำว่า "ควายแดง") ใช้คำว่าเป็นสมุนบริวารทักษิณ
แล้วขอโทษ! คนชั้นกลางจำนวนหนึ่ง ปัญญาชนจำนวนหนึ่งก็คิดแบบเดียวกับคุณอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าไอ้พวกนี้เป็นพวกรักทักษิณ แปลว่าไปด้อยค่าประชาชน มันน่าอนาถที่ปัญญาชนไทย ชนชั้นกลางไทยจำนวนมากไม่ได้ยืนอยู่ข้างประชาชน ดันไปสนับสนุนรัฐประหาร แม้ว่าบางคนบอกว่าไม่ชอบประชาธิปัตย์ ไม่ชอบรัฐประหาร แต่ว่าเป็นพวก 2 ไม่ (ไม่เอาทักษิณและไม่เอารัฐประหาร) แต่สิ่งที่กลายเป็นก็คือ เขาไม่เอาประชาชน เพราะในที่สุดเขาบอกว่าก็จำเป็นต้องยอมรับรัฐประหารเพราะไม่มีทางเลือก
ทำไม? ถ้าคุณปล่อยให้มีการเลือกตั้งให้ประชาชนเขาตัดสินแล้วคุณยอมรับได้ไหม? ถ้าคุณยอมรับได้...นั่นคือสปิริตของฝ่ายประชาธิปไตย และก็เป็นทิศทางของการก้าวไปข้างหน้า ประชาชนมีปัญหาก็แก้กันไป ข้อมูลที่ถูกต้องก็ออกมา เพื่อจะทำให้ยกระดับ แต่ไม่ใช่ไปเหยียบย่ำดูหมิ่น ดูถูกศักดิ์ศรีประชาชน
ดังนั้นคนเหล่านี้จึงไม่ให้ค่า ไม่ว่าคนจะออกมาเท่าไหร่ อยู่สั้นก็ไม่สะเทือน (ตอนปี 52) อยู่ยาวก็ไม่ยอม แล้วใช้เครื่องมือของฝ่ายจารีตนิยม กองทัพขึ้นกับใคร ไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาล มาจัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งประชาชน
ก็แปลว่าในโครงสร้างการเมืองการปกครองสายอนุรักษ์นิยม จารีตนิยมนั้นกลายเป็นด้านหลักของโครงสร้าง สายพรรคการเมืองกลายมาเป็นตัวประกอบ เดี๋ยวนี้เขาก็เลย พูดง่าย ๆ ว่าเหมือนถีบทิ้ง สร้างพรรคใหม่ของเขาเอง อันนี้เป็นส่วนซึ่งดิฉันจำเป็นต้องบอกว่าเป็นสิ่งที่ผิด แล้วมันก็สนองแล้ว เมื่อคุณไม่รักประชาชน คุณไม่เห็นคุณค่าการต่อสู้ประชาชน เท่ากับคุณไม่เอาระบอบประชาธิปไตยจริง
ครั้งหลังที่คุณมาบอกว่าคุณไม่เอาการสืบทอดอำนาจ...มันสายไปแล้ว
จึงเป็นชะตากรรมซึ่งไม่ได้เกิดจากเรา แต่เกิดจากมือเขาเอง
อีกอันหนึ่งที่ดิฉันจำเป็นต้องพูดก็คือว่า คุณมีความรู้ คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง แต่คนทุกคนไม่มีใครรู้อะไรจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องพยายามหาข้อมูล แล้วข้อมูลมันต้องอัพเดทอยู่เสมอ
คุณอภิสิทธิ์สร้างวาทกรรมชุดแรกก็คือ พวกนี้เป็นควาย รับใช้ดร.ทักษิณ ไม่ให้ค่าประชาชน
ถัดมาก็คือ พวกนี้มีกองกำลังอาวุธ ถ้าไม่มีคำพูดเรื่องชายชุดดำ ไม่มีการพูดเรื่องกองกำลังอาวุธ ก็แปลว่าการฆ่าประชาชนนั้นมันกลายเป็นอาชญากรรม และเป็นอาชญากรรมที่รุนแรง ไม่ได้กระทำต่อบุคคล แต่กระทำต่อระบอบการเมืองด้วยซ้ำ
ความพยายามวาทกรรมของชายชุดดำ, ล้มเจ้า และเผาบ้านเผาเมือง ทั้งหมดนี้เป็นกระบวนทัศน์ของฝ่ายจารีตนิยม แล้วก็ใส่ลงไปในสมองของคนชั้นกลาง ปัญญาชน ชนชั้นนำในสังคมไทยให้คิดแบบเดียวกับพวกจารีตนิยม มันเป็นการกล่อมเกลาซึ่งสิบปีผ่านมาแล้วก็ยังมีคนคิดอย่างนี้ แต่ก็มีคนเปลี่ยน
สิ่งที่แสดงให้เห็นเลยก็คือว่า คุณอภิสิทธิ์ไม่หาข้อมูล กระทั่งว่าที่ศาลมีคำสั่งในการไต่สวนการตาย 30 กว่าศพ แล้วบอกชัด ๆ อย่างน้อย 16 ศพ ว่าเป็นการตายโดยเจ้าหน้าที่ ในหลายพื้นที่รู้หน่วย รู้เหล่า กระทั่งรู้คนด้วย แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 10 เมษา 53 ซึ่งเป็นต้นเหตุของความบ้าคลั่งของคุณอภิสิทธิ์นี่แหละ ที่ทำให้เกิด 13 ยิงเสธ.แดง 14-15-16 ฆ่าประชาชนมาเป็นลำดับ
ไม่ใช่ "ปรับ" เพื่อที่จะไม่ปราบประชาชน
แต่ "ปรับ" เพื่อให้ปราบประชาชนอย่างรุนแรง โดยไม่นำพาว่านั่นคือประชาชนของประเทศไทย จิตใจที่รักประชาชนมันไม่มี
เขาไม่หาข้อมูลกระทั่งว่าการเสียชีวิตของทหารตรงนั้นที่หน้า รร.สตรีวิทยา เขาก็ยังพูดถึงการใช้ M79 การใช้ปืนวิถีโค้ง เพราะมันไม่มีคำอธิบายใด ๆ ที่จะอธิบายได้ถึงการเสียชีวิตของทหาร การบาดเจ็บ เพราะว่าความเป็นจริงมันมาจากระเบิดขว้าง M67
คอป. ตอนหลังนี่รู้แล้วว่ามาจาก M67 ก็ไม่รู้จะเอาทางไหน ก็บอกว่าไอ้พวกเสื้อแดงมันคงไปอยู่ที่บ้านโบราณที่อยู่ตรงข้าม รร.สตรีวิทยา แต่คุณอภิสิทธิ์แย่ยิ่งกว่า คอป. อีก ยังเอาชุดความคิดเก่าก็คือใช้ M79 ยิง
คนอะไร? มีทหารตาย แทนที่จะพยายามค้นคว้าหาความจริง กลับเอาความเชื่อของตัวเองเข้ามาแทนความจริง พูดแต่เรื่อง M79 อันนี้มันชี้ให้เห็น ซึ่งดิฉันมองแล้วว่าการขาดวุฒิภาวะ การขาดประสบการณ์ในชีวิต การขาดคณะทำงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย ทำให้คุณอภิสิทธิ์แบกรับความกดดันสูงมาก
แล้วก็เหมือนกับเป็นตัวแสดง ตัวแทนของฝ่ายจารีตนิยม แน่นอนว่าคุณอาจจะไม่มีความผิด เพราะอย่างไรเขาก็ต้องช่วยกัน...หรือเปล่า? ไม่ว่าจะเป็นองค์กรอิสระหรือองค์กรอื่นใด คุณไม่มีความผิดในระบบของคุณ แต่ว่า...สำหรับในฝ่ายประชาชนเขามองคุณอย่างไร?
ที่จริงมันไม่มีอะไรที่จะต้องลำบากเลย ถ้าเพียงแต่คุณเป็นคนที่มีจิตใจรักประชาธิปไตย รักประชาชนไทยจริง ๆ การศึกษาทำไมช่วยคุณไม่ได้ คุณไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์การต่อสู้ของประชาชนหรือว่าเขาต้องการเปลี่ยนแปลงให้ประชาชนแต่ละยุค แต่ละสมัย มีอำนาจทางการเมืองการปกครองแทนผู้ที่ปกครองชุดเดิม ซึ่งอยุติธรรม ซึ่งไม่ให้ความเป็นธรรม ซึ่งมองเห็นคนไม่เท่ากัน มันเป็นประวัติศาสตร์ธรรมดา คุณไม่ได้เรียนหรืออย่างไร? หรือคุณเรียนแต่ประวัติศาสตร์ของผู้ปกครอง แพ้ชนะของผู้ปกครอง ไม่ได้มองแง่ประชาชน
เพราะฉะนั้นที่ดิฉันใช้คำว่า คุณอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีที่มือเปื้อนเลือด เราไม่ได้ประณามถึงกับว่าคุณเป็นฆาตกรนะ เรายังต้องการให้ศาลเข้ามา เราแฟร์พอ แต่ทั้งหมดนี้มันเป็นชะตากรรม คุณเลือกใช้การทหารมาจัดการกับประชาชนในปี 53 ซึ่งเป็นความบ้าคลั่ง โง่เขลา และผิดพลาด
คุณคิดว่าคุณชนะ หลังปราบปรามคุณก็แพ้การเลือกตั้ง แล้วคุณก็แพ้มาตามลำดับ ประชาชนถูกฆ่าอาจจะบอกว่าแพ้ อ.ธิดาบอกว่าแพ้ทางการทหาร แต่การเมืองไม่ได้แพ้ พรรคการเมืองที่อยู่ตรงข้ามกับคุณก็ได้รับการชนะมาเป็นลำดับ จนสุดท้ายคุณต้องแก้รัฐธรรมนูญ แก้กติกา แก้คนมาคุมกติกา ฝ่ายอำนาจนิยม จารีตนิยม อาจจะขึ้นมาได้จำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะใช้วิธีการไหนซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่น่าชื่นชม
ในทัศนะของดิฉันบทเรียนของคุณอภิสิทธิ์ ภาษาไทยเขาบอกว่ามันต้องเป็นนักเลง มีนักกีฬาและนักเลง คุณไม่ใช่ทั้งนักกีฬา คุณไม่มีสปิริตของนักประชาธิปไตยสากล แม้กระทั่งเป็นนักเลงคุณก็เป็นไม่ได้ ชะตากรรมของคุณ คุณชนะการทหารเมื่อปี 53 แต่ดิฉันคิดว่าทางการเมืองคุณแพ้มาตลอด
ฝ่ายประชาชนดูเหมือนแพ้ ถูกจับกุมคุมขัง ถูกฆ่า จำนวนหนึ่ง แต่ดิฉันก็ขอใช้คำพูดของ เนลสัน แมนเดลา ว่า
"คุณฆ่าประชาชนได้จำนวนหนึ่ง แต่คุณฆ่าประชาชนทั้งหมดประเทศไม่ได้"
เมื่อประชาชนที่ต่อสู้แล้วบาดเจ็บ ล้มตาย ถูกจับกุมคุมขัง ก็จะต้องมีคนใหม่เข้ามา คนเก่าก็จะต้องพยายามที่จะนำเสนอบทเรียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถที่จะเดินบนถนนเส้นทางที่ประชาชนมีอำนาจต่อไปให้ได้ การต่อสู้ประชาชนนั้นเป็นการต่อสู้ระยะยาวและไม่มีสิ้นสุด (ไม่มีดังที่พูดว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้าย) มีแต่ชนชั้นนำที่ต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย
ในทัศนะดิฉัน ครั้งสุดท้ายคุณอภิสิทธิ์คือปี 53 แต่ประชาชนไม่มีครั้งสุดท้าย เพราะประชาชนต้องต่อสู้ไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะให้ประชาชนนั้นสามารถที่จะมีอำนาจจริง มีความยุติธรรม เกิดขึ้นกับประชาชนทั่วหน้า แล้วก็มีการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศ เพราะประชาชนไม่มีวันต้องการให้ประเทศหายนะแน่นอน อ.ธิดากล่าวในที่สุด