รายงาน
คอป. แสดงออกถึง
การบิดเบือนความจริงเพื่อนำไปสู่การแตกร้าวยิ่งขึ้นในสังคมไทยอย่างสมบูรณ์แบบ
หลังจากออกหนังสือโต้รายงาน
คอป. ไป 2 ฉบับ อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช. (ในขณะนั้น) ได้มีจดหมายเรียนไปยัง
ฯพณฯ เอกอัครราชทูต,
องค์กรระหว่างประเทศ และผู้สื่อข่าว แสดงความเห็นต่อรายงาน คอป.
เพื่อเป็นการฟ้องสังคมโลกอีกทางหนึ่ง โดยรายละเอียดมีใจความว่า
วันที่ 6 ตุลาคม
2555
เรื่อง รายงานคอป.ในทัศนะของประชาชนผู้ถูกปราบปราม
เรียน ฯพณฯ
เอกอัครราชทูต
องค์กรระหว่างประเทศและผู้สื่อข่าว
เราเห็นว่ารายงานคอป. ฉบับนี้
หลังจากใช้เวลา 2 ปีด้วยการสนับสนุนจากรัฐบาลที่สั่งการปราบปรามประชาชนเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อส่งเสริมให้เกิดความปรองดองแห่งชาติที่มี
นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ได้นำเสนอรายงานที่ก่อให้เกิดความวิตก ความขัดแย้ง
แตกร้าวในหมู่สังคมไทยยิ่งขึ้น
เพราะคนจำนวนมากแม้แต่คณะอาจารย์มหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ได้ร่วมกันค้นหาความเป็นจริงของเหตุการณ์การเสียชีวิต บาดเจ็บ
และถูกจับกุมคุมขังที่ได้ร่วมกันพิมพ์รายงานเป็นหนังสือพันกว่าหน้าก็ได้แสดงความเห็นแตกต่างจากรายงานของคอป.
ในเรื่องการรายงานการค้นหาความเป็นจริง
ประชาชนและคนเสื้อแดงจำนวนนับแสนคนที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง ด้วยที่รัฐให้ใช้กระสุนจริง ด้วยกำลังทหารติดอาวุธจริงกว่า 60,000 คน และใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ รถเกราะ
สไนเปอร์
ประหนึ่งสงครามเต็มรูปแบบกับประชาชนที่มาประท้วงเพียงเรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ด้วยมือเปล่า
มีหนังสติ๊ก พลุ ตะไล
มีความเห็นว่ารายงานนี้ต้องการทำลายความชอบธรรมของการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติวิธีของคนเสื้อแดงโดยเน้นในรายงานว่าเป็นขบวนการที่มีกองกำลังอาวุธเป็นชายชุดดำที่ปรากฏตัวในคืนวันที่
10 เมษายน
รายงานนี้มุ่งแสดงเรื่องราวชายชุดดำอย่างเลื่อนลอย ไม่สมเหตุสมผล
ค้านกับผลการสืบสวนสอบสวนของตำรวจและคำตัดสินในการไต่สวนเบื้องต้นของศาลและประจักษ์พยาน วัตถุพยานเป็นจำนวนมาก
ทำให้ดูประหนึ่งว่ามีชายชุดดำจำนวนมากอยู่ทุกหนทุกแห่งพร้อมอาวุธ M79 และ AK47
ทั้ง ๆ ที่ผู้เสียชีวิตทั้งหมดจากกระสุน M16
ของทหารและระเบิด M67
ในกรณีทหารเสียชีวิตที่บริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยา ในเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนพฤษภาปี 2553 นี้ คอป.รายงานว่ามีผู้เสียชีวิต 9 ศพจากชายชุดดำ บรรยายเป็นส่วนสำคัญในส่วนที่ 2 การค้นหาความจริงว่า
การขับเคลื่อนขบวนโดยสันติของประชาชนมีกองกำลังอาวุธใช้ความรุนแรงและกล่าวถึงคำปราศรัยที่ตัดตอนมาเฉพาะส่วนที่ดูเป็นคำพูดรุนแรง โดยละเลยด้วยความจงใจ
ไม่ให้ความสำคัญที่เป็นด้านหลักที่กลไกรัฐปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง
คอป.
มองเห็นและนำเสนอภาพชายชุดดำที่เลื่อนลอยในขณะที่เรามีหลักฐานภาพถ่ายแสดงว่ารัฐไทยมีกำลังติดอาวุธที่อยู่นอกเครื่องแบบชัดเจน และบางคนใส่เสื้อแดงเป็นการปลอมตัวชัดเจน ดังนั้นการที่คอป.
ไม่เริ่มต้นจากความจริงที่มีการตาย
บาดเจ็บ
แต่เริ่มต้นจากสมมุติฐานความเชื่อว่าผู้ชุมนุมมีผู้ใช้อาวุธใช้ความรุนแรง โดยละเลยกองกำลัง 60,000 คน การใช้อาวุธจริง กระสุนจริงนับแสนนัดตลอดจนการใช้พลซุ่มยิง
การใช้สไนเปอร์ประจำตามที่สูง
ละเลยภาพถ่ายและคลิปวีดีโอที่มีอยู่ทั่วไป
ที่เห็นทหารลั่นกระสุนใส่ประชาชนมือเปล่า
เจ้าหน้าที่ พยาบาล ผู้สื่อข่าวทั้งผู้สื่อข่าวไทยและต่างประเทศ
เมื่อรายงานฉบับนี้ในส่วนสำคัญคือการค้นหาความจริงเพื่อปูทางไปสู่การปรองดองได้เริ่มต้นจากการแต่งตั้งคณะคอป.
โดยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ซึ่งเป็นผู้สั่งการปราบปราม
ประชาชนด้วยกองทหารกำลังรบเต็มรูปแบบในการทำสงครามในเมือง
การแต่งตั้งประธานคอป.และประธานอนุกรรมการค้นหาความจริง
จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งตั้งผู้ที่ไม่ใช่พวกของตน การตั้งคอป. ในเงื่อนไขเวลาที่ผู้กระทำเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งจึงผิดหลักการแห่งการก่อตั้งคณะคอป.
ในทางสากลที่จะยอมรับได้
ดังนั้นความผิดพลาดแรกที่ทำให้คณะกรรมการนี้ไม่อาจบรรลุเป้าหมายที่ดีได้มาจากจุดเริ่มต้นของคณะกรรมการ
1. การก่อตั้งคอป.
ในเวลาที่ผู้ปราบปรามประชาชนเป็นรัฐบาล เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งเอง นี่ไม่ชอบด้วยหลักการแห่งการก่อตั้ง TRC ของสากล
เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปราบปรามประชาชนจะตั้งคณะกรรมการที่จะมาลงโทษตนเอง
คณิต
ณ นคร มีประวัติออกจากพรรคไทยรักไทยในระยะเริ่มต้น แน่นอนต้องไม่แยกจากไปด้วยความรักแน่นอน ต่อมายังเป็นประธานคตน. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบศึกษาและวิเคราะห์ การกำหนดนโยบายปราบปรามยาเสพติดให้โทษและการนำนโยบายไปปฏิบัติจนเกิดความเสียหายต่อชีวิตร่างกายชื่อเสียงและทรัพย์สินของประชาชน) ที่ตั้งขึ้นในยุครัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ (ที่เป็นรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร) และคตน.
ก็ได้ชี้ไว้ในรายงานการศึกษาเบื้องต้นว่า น่าเชื่อว่ารัฐบาลทักษิณมีความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
(Crime against Humanity) ได้เกิดขึ้น เผยแพร่ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ อ.คณิต
ณ นครได้อาศัยรายงานคอป. แสดงทัศนะโต้แย้งดร.เฉลิม อยู่บำรุงที่ออกรายการเมื่อ 30 มิถุนายน 2555
และอ้างว่าชี้แจงความจริงในหนังสือคอป. 385/2555 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2555
และชี้แจงไปยังนายกรัฐมนตรีด้วยตามหนังสือคอป.386/2555 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2555
นี่แม้แต่รายงานคอป.ฉบับนี้ยังบันทึกข้อโต้แย้งลงไป แสดงถึงทัศนคติด้านลบต่ออดีตนายกทักษิณ ชินวัตร
และแสดงถึงการนำความคิดส่วนตนมาผสมในรายงานคอป.ฉบับนี้ นอกจากนั้นยังอ้างความคิดเห็นส่วนตนที่ได้ให้สัมภาษณ์มาหลายครั้งเกี่ยวกับปัญหาที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญละเมิดหลักนิติธรรม ในกรณีคดีที่พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ถูกกล่าวหาทำผิดมาตรา 295 ในรัฐธรรมนูญ 2540
คดีที่เรียกกันว่า “ซุกหุ้น” ว่าเป็นสาเหตุแห่งปัญหาประเทศที่ไม่ลงโทษพ.ต.ท.
ดร.ทักษิณว่าเป็นผู้ผิด และได้เคยระบุไว้ว่าดร.ทักษิณต้องเสียสละไม่กลับประเทศ
เพียงเท่านี้ก็แสดงถึงทัศนคติด้านลบและเลือกข้างชัดเจน ไม่สมควรที่จะอยู่ในฐานะประธานคอป.
เมื่อพูดถึงประธานคอป.
ก็จำเป็นต้องพูดถึงประธานอนุกรรมการตรวจสอบค้นหาความจริง สมชาย
หอมลออ เป็นที่ชัดเจนว่าได้แสดงความเห็นอยู่ในกลุ่มของผู้ไม่คัดค้านรัฐประหาร อาจมีเครดิตดีในฐานะทำงาน NGO ระหว่างประเทศซึ่งก็มีความคล้ายคลึงกับ
NGO ทั่วไป
และปัญญาชนทั่วไปจำนวนมากในประเทศไทยที่มีความเกลียดชังคุณทักษิณและสนับสนุนการรัฐประหาร นอกจากนี้ในคณะอนุกรรมการตรวจสอบค้นหาความจริงยังมีการแต่งตั้งคนที่ร่วมอยู่กับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเช่นนายเมธา มาสขาว
(เคยทำงานในคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ที่อยู่ฝั่งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและใกล้ชิดนายสุริยะใส กตะศิลา อดีตผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย)
นายชัยวัฒน์ ตรีวิทยา เป็นหัวหน้าการ์ดกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเกิดขึ้นของคอป.
ในยุคผู้ปราบปรามประชาชนมีอำนาจและเป็นผู้แต่งตั้ง ว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ผิดพลาด
เพราะโดยทั่วไปคณะคอป.หรือ
TRC
ในโลกนี้ล้วนเกิดขึ้นในระยะเวลาที่ฝ่ายประชาชนผู้ถูกกระทำได้อำนาจรัฐแท้จริง จึงจะเกิดคอป.หรือ TRC
ที่สามารถค้นคว้าความจริงเพื่อ
ประชาชนได้ หาไม่ก็จะเป็นคอป. ที่บิดเบือนความจริง
ทำให้ความจริงพร่ามัวหรือสร้างความชอบธรรมในการปราบปรามประชาชน
นี่แสดงว่าการแต่งตั้งคณะบุคคลที่เป็นกรรมการคอป. ละเมิดหลักการพื้นฐานการไม่มีส่วนได้เสีย
การมีประวัติสนับสนุนหรือเกลียดชังข้างหนึ่งข้างใด
2. ไม่ได้เริ่มต้นจากความเป็นจริงทางภาวะวิสัย ไม่ได้เริ่มจากการตาย การบาดเจ็บของประชาชน แต่เริ่มด้วยความเชื่อว่าการชุมนุมของประชาชนไม่ชอบธรรม มีความรุนแรง
มีการใช้อาวุธ มีชายชุดดำ ข้อมูลที่นำมาอ้างถึงจึงเป็นไปเพื่อสนับสนุนความเชื่อนี้เพราะความจริงทางภาวะวิสัยมีหนึ่งเดียว แต่คอป.พยายามทำความเชื่อของตนและศอฉ.ให้กลายเป็นความจริง
3. กระบวนการในการค้นหาความจริงเราเห็นว่าสอบไม่ผ่าน ไม่มีหลักการในกระบวนการค้นหาความจริงเพื่อการปรองดอง น่าตำหนิที่สุด
โดยเน้นความเชื่อว่าผู้ชุมนุมมีการใช้อาวุธและมีชายชุดดำ ใช้ข้อมูลลอย ๆ ที่ไม่อาจอ้างที่มา และอ้างผู้สังเกตการณ์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศและเจ้าหน้าที่ทหารเป็นด้านหลัก ไม่มีหลักการ (Methodology) แบ่งประเภทที่มาของข้อมูล
ให้ข้อมูลรอบด้าน
ไม่มีการวางลำดับชั้นความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น ฝ่ายทหารและฝ่ายผู้ชุมนุมในแต่ละเหตุการณ์ จำนวนมากใช้ข้อมูลศอฉ. และเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะขัดแย้งกับการสืบสวนสอบสวน ประจักษ์พยานวัตถุพยานที่แสดงให้เห็นชัดดังตัวอย่างในคำวินิจฉัยศาลที่ไต่สวนกรณีนายพัน คำกอง
ซึ่งชัดเจนว่ามีการยิงจากทหารโดยไม่มีชายชุดดำ ไม่มีการต่อสู้ของผู้ชุมนุม (ไม่มีผู้ชุมนุมด้วยซ้ำในจุดนั้น) ในวันที่ 14 บริเวณราชปรารภที่ประชาชนเสียชีวิตจำนวนมาก
กระบวนการค้นหาความจริงในกระบวนการจัดทำชุดความจริงไม่โปร่งใส ไม่มีการรายงานปฏิบัติการเป็นกำหนดเวลา ตรงไปตรงมา
และด้วยวิธีการที่ได้รับการยอมรับ
จึงนำมาซึ่งผลสรุปที่บิดเบี้ยวเป็นไปตามธงที่ตั้งไว้และไม่ได้เริ่มต้นจากความจริง มีการเลือกนำเสนอความจริงบางส่วนที่ไม่ครบถ้วน
เลือกนำเสนอเฉพาะด้านที่ส่งผลลบต่อนปช.และพ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร
ละเลยการนำเสนอองค์ประกอบแห่งความรุนแรงและการตัดสินใจปราบปรามประชาชนของภาครัฐ
และการนำเสนอความรุนแรงภาคประชาชนล้วนเป็นข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ และเป็นข้อมูลจาก ศอฉ. จากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีส่วนปราบปรามประชาชน ข่าวกรองของทหารและจากพรรคประชาธิปัตย์
แม้ต้องรอข้อมูลจนถึง 27 มิถุนายน 2555 ในประเด็นชายชุดดำนั้น พบว่ามีภาพจำนวนมากมายที่แสดงว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าออกด้านทหารสะดวกสบาย ไม่ได้นำเสนอในประเด็นนี้แม้แต่น้อย กลับปรักปรำว่าการตาย 9
รายมาจากชายชุดดำที่ได้รับความร่วมมือกับการ์ดนปช. และอ้างว่าเป็นคนของพลตรี ขัตติยะ สวัสดิผล ดังนั้นการพิสูจน์ตัวตนของชายชุดดำที่หมายถึงกองกำลังอาวุธไม่ทราบฝ่ายและผลจากการกระทำจึงต้องพิสูจน์อย่างเป็นที่น่าเชื่อถือ
4. อคติแห่งเนื้อหา ในรายงานเสนอด้านลบของผู้ชุมนุมทั้งสิ้น ไม่มีการนำเสนอด้านบวก ด้านการตั้งองค์กรนปช.
แนวทางนโยบายเป็นสันติวิธี
และการขอโทษเมื่อมีความผิดพลาด การคืนอาวุธให้เจ้าหน้าที่ การตรวจสอบจับกุมผู้ติดอาวุธเข้าในที่ชุมนุมเป็นประจำทุกวัน การปฏิบัติผ่อนปรนให้กับข้อเรียกร้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกี่ยวกับพื้นที่การชุมนุมและการจราจร ยอมถอยจากหน้าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ หลายอย่างถูกบิดเบือน เอาคำปราศรัยในเวลาต่าง ๆ
กันมานำเสนอในความรุนแรง แต่ที่พูด 99% เรื่องดี ๆ ไม่นำเสนอ
การละเลยความขัดแย้งที่เกิดจากฝั่งประชาชนของระบอบอำมาตย์คือ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ที่ใช้ความรุนแรงทั้งโดยการปราศรัยปลุกระดมประชาชนด้วยความรุนแรง การโกหกใส่ร้ายป้ายสีและการก่อความรุนแรงต่าง ๆ
ถึงขั้นปิดสนามบินนานาชาติ
ยึดสถานีโทรทัศน์ ยึดทำเนียบรัฐบาลนับเดือนจนนายกรัฐมนตรีขณะนั้นคือคุณสมชาย วงศ์สวัสดิ์ไม่อาจเข้าทำงานในทำเนียบได้ การใช้อาวุธทำร้ายคนเสื้อแดงถึงแก่
ชีวิตคือคุณณรงค์ศักดิ์
กอบไธสงค์ เหล่านี้ล้วนพูดผิวเผินเบาบาง ทำให้มีผู้ร้ายเพียงเฉพาะคุณทักษิณ ชินวัตร, แกนนำนปช. คนเสื้อแดงเท่านั้น นี่หรือความเป็นกลาง!
5. ในการพูดถึงรากเหง้าความขัดแย้งที่เกี่ยวข้องกับตุลาการ ความเสียหายจากการก่อรัฐประหารและการที่ตุลาการรับเอาอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ของคณะรัฐประหารนั้นให้น้ำหนักน้อยมาก ทั้งที่นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุด และเป็นปัญหาหลักในการทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมไทย แต่ไปเน้นว่ารากเหง้าความขัดแย้งมาจากการที่ปัญหาตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินผิดพลาดไม่ลงโทษ
พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร โดยละเลยปัญหากระบวนการยุติธรรมอื่น ๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยอมรับอำนาจรัฐประหาร
แสดงถึงอคติชัดเจนของประธานคอป.และประธานกรรมการค้นหาความจริงและรากเหง้าความขัดแย้ง
สุดท้ายนี้ในความเห็นฉบับนี้ สรุปรายงานฉบับนี้ได้แสดงออกถึง
การบิดเบือนความจริงเพื่อนำไปสู่การแตกร้าวยิ่งขึ้นในสังคมไทยอย่างสมบูรณ์แบบ
อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ
ประธานนปช.(แดงทั้งแผ่นดิน)
6 ตุลาคม 2555