วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

"จ่านิว" สิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ : ครบรอบ 10 ปี เหตุการณ์ เมษา - พฤษภา 2553


ยูดีดีนิวส์ : 21 พ.ค. 63 ในการกล่าวรำลึก 10 ปี เหตุการณ์การสลายการชุมนุมเมื่อเดือน เมษา - พฤษภา 53 ที่ห้องประชุมศูนย์ข่าวยูดีดีนิวส์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมานั้น นอกจากจะมีอดีตแกนนำนปช.ในปี 53 มากล่าวแล้ว ยังมีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกท่านหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักดีในหมู่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตย นั้นก็คือ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ "จ่านิว" นั่นเอง  

ซึ่งสิรวิชญ์ได้เล่าเรื่องราวในช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้นว่าตนทำอะไรอยู่ และขณะนี้คิดเห็นอย่างไร  โดยมีความว่า

สวัสดีพ่อแม่พี่น้องประชาชนทุกท่าน ในวันนี้ครบรอบเหตุการณ์ 10 ปีพอดี ความจริงผมเองอาจจะไม่ได้เตรียมอะไรมาพูดมากนัก 10 ปี จะว่านานก็นาน จะว่าไม่นานมันก็ไม่นานนะครับ 10 ปีนี่คือการที่เปลี่ยนจากช่วงชีวิตคนคนหนึ่ง อย่างผมตอนนั้นผมอายุ 18 วันนี้ก็จะ 28 ก็อายุทุกท่านก็ล่วงเลยมาเหมือนกัน

ในวันนั้นในช่วง เมษา – พฤษภา ปี 2553 ตอนนั้นก็เป็นช่วงปิดเทอม ผมก็ทำงานอยู่แถวศูนย์สิริกิติ์ หลังเลิกงานก็ได้มีแว๊บ ๆ มาฟังปราศรัยบ้าง เพราะกะเวลารถเมล์คันสุดท้ายจะหมดก็กลับบ้าน อาจจะไม่ได้อยู่ประจำเวที บางวันแกนนำที่อยากจะฟังไม่มา แต่รถเมล์คันสุดท้ายเรามาก็ต้องกลับก่อน เราก็ไป ตอนนั้นก็ยอมรับว่าไปโดยที่เราก็ไม่คิดว่า...เอาน่ามันยุคใหม่สมัยนี้แล้ว มันไม่มีใครมาไล่ยิงไล่ฆ่าฟาดฟันประชาชน ก็ไปด้วยความคิดแบบนั้น

เราก็ไม่คิดจนกระทั่งเมื่อก่อนก็จะนั่งรถจากคลองเตยก็จะนั่งรถเมล์สาย 47 กันไป ในวันนี้กำลังรอรถเมล์ช่วงเมษาที่ราชดำเนิน สักพักหนึ่งกระเป๋ารถเมล์บอกว่ารถเมล์ไปไม่ถึงแล้ว ไม่ต้องไปแล้ว เขายิงกันตูมตาม ๆ จะไปให้เขายิงเหรอ วันนั้นก็เลยไม่ได้ไป ก็เลยต้องกลับ พอช่วงที่มีเวทีราชประสงค์ก็แวะไปบ้าง ช่วงนั้นก็ต้องเดินไป แต่ว่าช่วงท้าย ๆ ของเหตุการณ์ก็ไม่ได้เข้าไปแถวนั้นเลย เนื่องจากตอนนั้นเริ่มมีการปิดพื้นที่กันระดับหนึ่ง ช่วงนั้นก็ได้แต่ติดตามสถานการณ์

แล้วก็รับรู้ว่ามันมีความพยายามสร้างทั้งความหวาดกลัว สร้างทั้งความเกลียดชัง จนผมเองก็ไม่เคยคิดว่าการที่เรามีทั้งรัฐบาล โอเตผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ ก็เหมือนทุกท่าน เราก็ไม่โอเค เราก็เอือมระอากับรัฐบาลในตอนนั้น และเราก็เห็นอีกอย่างหนึ่งว่ารัฐบาลกับกองทัพซึ่งเราก็คอยเสียภาษีอากรให้เขามาทำหน้าที่ในการดูแล บำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้ประชาชน กลายเป็นว่าเขาจะนำเม็ดเงินภาษีนั้นมาทั้งสร้างความเกลียดชังและนำมาเข่นฆ่าประชาชน

โอเคครับมันไม่แปลกในประวัติโลกการต่อสู้ทางการเมืองย่อมมีการบาดเจ็บล้มตายกันเสมอ แต่เราอยู่ในยุคที่เราบอกว่าเราเห็นประวัติศาสตร์เหล่านั้นมาแล้ว แต่คนจำนวนหนึ่งนั้นเขาก็ยังเลือกที่จะใช้วิธีการแบบนี้ แม้กระทั่งในยุคสมัยที่ในตอนนั้นอาจจะไม่มีโซเชียลมีเดียว เฟสบุ๊ค อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ แต่ภาพที่มันเห็นมันก็ย่อมจะค้านกับสายตากับสิ่งที่เราคาดหวังว่า โลกมนุษย์ในยุคปัจจุบันการเข่นฆ่ามันต้องไม่เกิดขึ้นแล้ว การเข่นฆ่าเพราะความเห็นต่าง การเข่นฆ่าเพราะความแตกต่างทางการเมือง มันทำไมถึงเกิดขึ้น นี่คือสิ่งที่เราเห็นมาโดยตลอด

แล้วเราก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของการเมืองไทยยุคสมัย จะเรียกว่าสมัยใหม่ก็ได้ หรือสมัยปัจจุบันก็ได้ เพราะ 10 ปีเองถ้าเทียบในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์โลก ก็ไม่ได้ยาวนาน แต่กลายเป็นว่าเราต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ที่คล้าย ๆ กับเหตุการณ์การสังหารประชาชนกลางเมืองอย่างนี้

และท้ายที่สุด คนเหล่านี้นอกจากจะใช้ความโหดเหี้ยมอำมหิต ยังใช้ความเกลียดชัง คล้าย ๆ กับเป็นการฆ่าประชาชนทางอ้อมให้เกิดความแตกแยก การแบ่งฝั่งอย่างที่เราเห็นในทุกวันนี้ และมันก็ทำให้คนจำนวนหนึ่งหน้ามืดมนตาบอดในการที่จะไม่รับรู้รับทราบความจริงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะเชื่อแต่ในความจริงที่ถูกกรอกมา แล้วก็จะเกลียดชังคนอื่นต่อไป

ผมคิดว่าผมเองก็พยายามจะบอกว่าสังคมไทยคงจะต้องหาโอกาสในการก้าวผ่านความขัดแย้งในลักษณะนี้ จุดเริ่มต้นของการทำลายล้างฟาดฟันทางการเมืองขนาดใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นอย่างในรวันดามันใช้เวลาบ่มเพาะกัน 20 ปีนะครับ เท่ากับ 10 ปีของประเทศไทยหรือ 13 ปี จากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองของเรามันยังแค่ครึ่งหนึ่งของการก่อระยะไปสู่การสร้างความขัดแย้งทางการเมืองขนาดใหญ่

ผมคิดว่ากับพวกเรากันเอง ผมว่าพวกเรารู้กันอยู่แล้วว่าสิ่งที่เราควรจะทำคืออะไร ในการที่จะเรียกร้องประชาธิปไตย

มีคนถามว่าเหตุใด ในฐานะตอนนั้นผมเองก็เหมือนกับคนทำงานแล้วก็เหมือนคนใช้แรงงาน แล้วรู้ว่าการที่เราจะออกมาเรียกร้องเราต้องออกมาเรียกร้องในฐานะสิทธิของประชาชน เพราะท้ายที่สุดก็ต้องย้อนกลับมามองที่ตัวเรา เราก็คือประชาชน เหตุใดเราต้องไปเรียกร้องสิทธิให้กับพวกอภิสิทธิ์ชน  คำว่า “คนดี” ที่เขาว่านั้นมันก็คืออภิสิทธิ์ชนที่ไม่ต้องการการตรวจสอบ ไม่ต้องการถูกตรวจสอบ และเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ทำชั่วได้โดยที่ลอยนวล ลอยหน้าลอยตา และมีอำนาจอยู่ได้ทุกวันนี้ครับ นี่แหละครับคือ “คนดี” ของพวกเขา

ผมคิดว่าพวกเราเองคงต้องช่วยกัน วินาทีนี้ผมว่าคงต้องช่วยกันที่จะดึงคนจำนวนนี้ออกมาจากวาทกรรม “คนดี” แบบนั้น “คนดี” ต้องไม่ใช่แบบนั้น “คนดี” ต้องไม่ใช่ความหมายแคบแบบที่พวกเขาสร้างขึ้นมา และเราก็ไม่ใช่ “คนเลว” เราเรียกร้องสิทธิของเรา เราต้องการให้สิทธินี้สำหรับทุกคน

ถ้าพูดกันอย่างแฟร์ ๆ เหตุการณ์วันนั้นข้อเรียกร้องที่เรียกร้องกันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมพูดตรง ๆ นะครับ แม้กระทั่งฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่แสดงความเกลียดชังต่อทุกท่าน สุดท้ายเขาก็ได้สิทธิได้เสียงนั้นด้วย นี่แหละครับคือความไม่ตระหนักรู้ของพวกเขาที่จะสร้างความขัดแย้ง ความรุนแรง และเขาก็ยังย้อนกลับมาที่จะทำลายกระบวนการประชาธิปไตยต่อไป จากที่ล้มลุกคลุกคลานอยู่ มันก็ยิ่งกว่าล้มลุกคลุกคลาน

เหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ก็พยายามจะบอกกับบางคนที่ไม่ได้ผ่านเหตุการณ์ว่า “เราไม่ควรจะลืม” อย่างน้อยก็ต้องไม่ลืมว่าฝั่งที่ไม่ต้องการประชาธิปไตยนั้น เขามีความโหดเหี้ยมอำมหิต รุนแรง จนกระทั่งผมเองก็ต้องมาเจอกับตัวเองอยู่หลายครั้ง ไม่น้อย ซึ่งเราก็ต้องเฝ้าระวัง และเราก็ต้องรู้สรุปว่าจุดยืนของเราต้องหนักแน่น เพื่อไม่ให้สิ่งที่วีรชนเหล่านั้นสูญเปล่าไป ผมเชื่อว่าลึก ๆ คงไม่มีใครอยากจะต้องมาตายทางการเมือง ทุกคนก็อยากจะเห็น อยากจะอยู่ได้เห็นการที่บ้านเมืองของเราได้เป็นประชาธิปไตย เราก็อยากจะเห็นในวันนั้น แต่บางคนเขาไม่มีโอกาสได้เห็นแล้ว

ฉะนั้นสิ่งที่พวกเราต้องทำต่อไปนั่นก็คือ ทำความฝัน ความต้องการของเขาให้ลุล่วง แม้ว่ามันจะยาวนาน ในหลายที่ทั่วโลกการต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยของประชาชนนั้นใช้เวลาร่วมเกือบร้อยปี แต่ผมคิดว่าสังคมไทยคงไม่ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปี เรามีบทเรียน เราเรียนรู้ เราเจ็บปวดกันมาพอสมควรแล้ว มากเลยละครับไม่พอสมควรเลย

ผมคิดว่าหลังจากนี้ต่อไปคนทั้งสังคมไทยเองจะต้องมองอยู่ที่หลักการ อยู่ที่ข้อเรียกร้อง ความจริงข้อเรียกร้องคนเสื้อแดงก็อยู่บนฐานของระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยซะด้วยซ้ำ นั่นคือรูปแบบ แต่กลายเป็นว่าในวันนี้เราถูกสร้าง ผมเองก็ถูกตีกระแสว่าเป็นฝ่ายโน้น ฝ่ายอะไรต่าง ๆ นานา ซึ่งก็เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เราถูกกระทำ

ดังนั้นผมคิดว่าสิ่งหนึ่งคือเราต้องทำให้คนในสังคมต้องไม่ตกเป็นเหยื่อของการใช้ข้อมูลเท็จโจมตีเรา และในการสร้างความเกลียดชัง ซึ่งถ้าสังคมไทยยังมีการสร้างความเกลียดชังจากฝ่ายผู้มีอำนาจอยู่อย่างทุกวันนี้

ท้ายที่สุดเหตุการณ์เมื่อเดือนเมษา พฤษภา ปี 53 จะไม่เป็นครั้งสุดท้ายแน่ ๆ ซึ่งเราก็ไม่อยากจะให้เกิด หลายท่านก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น รู้ว่ามันเจ็บปวดรวดร้าวขนาดไหน ญาติพี่น้องที่ต้องสูญเสียไปแต่ละวันแต่ละวินาทีมันเจ็บปวดยังไง แม้ว่าหลายคนอาจจะบอกว่าเราทำได้แค่การรำลึก...หรือเปล่า?

มีคนบอกผมว่าเธอจะมารำลึกทำไม 10 ปีแล้ว ก็ยังจับใครไม่ได้

ผมบอกไม่ต้องกลัวครับ ฆาตกรมันลอยนวลอยู่ในทำเนียบรัฐบาลตั้งหลายตัว!!!
เรารู้ตัวแล้วครับ ดังนั้นผมคิดว่าการรำลึกนี่แหละครับจะทำให้คนที่สูญเสียยังมีตัวตนอยู่ และผมก็คิดว่าอย่างน้อยเราก็ทำให้เขาไม่สูญสลายไปในสายลมอย่างเช่นหลายเหตุการณ์การสูญเสีย การถูกทำลายล้าง ถูกฆ่าฟันกันในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลายเหตุการณ์ “ถูกทำให้ลืม” และที่สำคัญเราต้องทำให้เหตุการณ์นี้ “ไม่ถูกลืม” และต้องถูกเป็นที่จดจำ

ในหลายที่แม้ต้องใช้เวลาตามตัวฆาตกรที่เห็นอยู่เป็น ๆ 30, 40 ปี เราก็ต้องทำ อย่างเช่นชัยชนะของคนในเมืองกวางจูที่เกาหลีใต้ ในตอนแรกเขาก็มองว่าเป็นความพ่ายแพ้ที่เขาต้องถูกรัฐบาลปราบปราม ถูกจับกุม สุดท้ายสิ่งที่เขาทำนั่นก็คือการพยายามที่จะรำลึกและพูดถึงไม่หายไป ผมคิดว่าสิ่งนี้ทุกท่านก็ช่วยกันทำมา และเราก็ต้องมีภารกิจตั้งว่าความเป็นธรรมจะต้องได้ คนที่ทำต้องถูกลงโทษ มิฉะนั้นเหตุการณ์เหล่านั้นก็จะเวียนมาอีก

ก็ขอแสดงความรำลึกถึงผู้ต่อสู้ ทั้งวีรชนที่ได้ล่วงลับไปแล้ว และวีรชนที่ยังมีลมหายใจ ที่จะช่วยกันต่อสู้และทำให้สิ่งสำคัญที่ผมและหลายท่านที่เรายังออกมาทำกันอยู่ เรายังยืนหยัดอยู่ตรงนี้ เราไม่ต้องการทำให้สิทธิของประชาชนมันสูญหายไป และทำให้รู้ว่า “ประชาชนฆ่าได้แต่หยามไม่ได้” และประชาชนที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข แม้จะตายแต่จิตวิญญาณของประชาชนยังอยู่ ขอบคุณครับ สิรวิชญ์กล่าวในตอนท้าย.