วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

นพ.เหวง โตจิราการ : #สิบปี19พค53อย่าปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล


#สิบปี19พค53อย่าปล่อยให้ฆาตกรลอยนวล

รัฐบาลอภิสิทธิ์โดยศอฉ.ได้ใช้กองทัพไทยทั้งสามเหล่าทัพ
ด้วยกำลังพลกว่าสองหมื่นนาย
ปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนสองมือเปล่าที่เรียกร้องเพียงยุบสภาคืนอำนาจประชาชนเท่านั้น”
โดยอ้างว่ามีกองกำลังติดอาวุธ 500 คนพร้อมสไนเปอร์
ซึ่งเป็นเรื่องเท็จปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อใส่ร้ายป้ายสีประชาชนคนเสื้อแดงและนปช.

หลักฐานปรากฏชัดในวารสารเสนาธิปัตย์ฉบับ 59 ประจำเดือนกันยายน-ธันวาคม2553 บทความที่ 7 หน้า 57 ถึงหน้า 68

เสนาธิปัตย์”เป็นวารสารวิชาการของกรมยุทธศึกษาทหารบก
ถือว่าเป็นวารสารวิชาการทางการทหารของกองทัพอย่างเป็นทางการ

ดังนั้นบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าว
จึงถือว่าได้รับการรับรองจากทางกองทัพบก
ผ่านทางกรมยุทธศึกษาทหารบกแล้ว

โดยเฉพาะหัวหน้าควงได้รับมอบหมายจาก พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เจ้ากรมยุทธศึกษากองทัพบก (ในขณะนั้น) ให้ไปทำเป็นบทความทางวิชาการทหารขึ้นเพื่อจัดทำเป็นเอกสารแนวทางในการปฏิบัติการทางทหารด้วยซ้ำไป
ตามที่ยืนยันในคำขึ้นต้นของบทความดังนี้ว่า

“(บทความนี้)....  เป็นบทความที่เขียนขึ้นเพื่อประกอบการจัดทำ   เอกสารแนวทางในการปฏิบัติทาง ทหาร: กรณีศึกษาการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในเมือง” จากความริเริ่มของ พล.ท.สิงห์ศึก สิงห์ไพร เพื่อกำหนดบทบาทของกองทัพบกในการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในเมืองรูปแบบใหม่”

จึงเป็นหลักฐานมัดแน่นว่า
ข้อเขียนในบทความเป็นสิ่งที่ทางกองทัพได้ปฏิบัติ
ในการ “เข่นฆ่าปราบปรามทำลายเสื้อแดงหรือนปช.
ในคราว 14-19 พฤษภาคม 2553”

ข้อความที่ยืนยันชัดเจนว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กองทัพเพื่อปฏิบัติการสงครามทำลายล้างเสื้อแดงกลางเมือง

ปรากฏในวารสารดังกล่าวหน้า58

ที่การปิดล้อมด้วยกำลังกองทัพไทยครั้งนั้น
ไม่ใช่เพื่อเปิดการเจรจาแต่เพื่อยุติการชุมนุม (นั่นคือสลายการชุมนุม)

ดังที่วารสารเขียนไว้ดังนี้
“.......................
1. นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อม เพื่อการยุติ การชุมนุม
ไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา

ดังนั้นถ้าการเดินทางยุทธศาสตร์ทหารนั้น

ถ้าเป้าหมายทางการเมือง (Political will) ชัดเจน

การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ทางการทหารก็ไม่ยาก

และเมื่อนายกรัฐมนตรีได้สั่งการ ในที่ประชุม ศอฉ.ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้..............”

เท่ากับเป็นการสารภาพมัดตนเองว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กองทัพเพื่อสลายการชุมนุมไม่ใช่เพื่อการเปิดการเจรจา

การใช้กองทัพก็หมายถึงการใช้อาวุธสงครามใช้ทหารประจำการมา “เข่นฆ่า”ประชาชนที่มาชุมนุมชัดแจ้ง

แผนการทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของรัฐบาลอภิสิทธิ์ในการใช้กองทัพปราบปรามทำลายการชุมนุมของเสื้อแดงนปช.ก็มีการบรรยายรายละเอียด (ราวกับจะเขึยนตำราพิชัยสงครามแข่งกับซุนวูเลยทีเดียว)ในหน้า60

"............
2. จุดอ่อนทางยุทธศาสตร์ของกลุ่ม นปช.ที่กลายเป็นจุดแข็งของรัฐบาล คือ การถอนตัวของนายวีระ มุสิกพงศ์ ประธานกลุ่ม นปช. และการเสียชีวิตของ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้มีความเชี่ยวชาญทางทหารที่มีส่วนดูแลและวางแผนการรักษาความปลอดภัยของ การ์ด นปช.

ถือว่าเป็นสัญญาณแห่งความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ เพราะกลุ่ม นปช.ไม่มีหัวในระดับยุทธศาสตร์ทางการเมือง คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ และไม่มีหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางทหารในการวางแผนตั้งรัฐ ในกรณีที่ทหารจะเข้าสลายม็อบ นปช...................."

จากการสารภาพในวารสาร

เห็นชัดถึงแผนยุทธศาสตร์ของรัฐบาลอภิสิทธิ์ร่วมกับกองทัพในการเข่นฆ่าปราบปรามคนเสื้อแดง

โดยการดึงประธานนปช.เวลานั้นนายวีระ มุสิกพงศ์ออกไป
และทำการสังหารพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล
นั่นคือการใช้สไนเปอร์ยิงจากตึกสูงบริเวณนั้น
โดยใช้นกต่อล่อเสธ.แดงเข้าสู่พื้นที่สังหารแล้วก็ลั่นไก

เมื่อพวกเขาประสบความสำเร็จในการทำลายการนำทางการเมือง และที่พวกเขาคิดว่าเป็นฝ่ายนำทางการทหาร

(ซึ่งความจริงแล้วเสธ.แดงไม่มีบทบาทการนำใดๆในการชุมนุมของนปช.ที่ราชประสงค์เลยดังนั้นที่บทความบอกว่าเสธ.แดงเป็นหัวเสธ.ระดับยุทธศาสตร์ทางการทหารจึงเป็นเรื่องมโนจินตนาการสร้างนิยายไปเอาเองของกองทัพและรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยสิ้นเชิง)

ได้เรียบร้อยแล้ว

พวกเขาก็ดำเนินการใช้สไนเปอร์ยิงประชาชนมือเปล่ารอบๆพื้นที่ราชประสงค์ตั้งแต่14-18 พฤษภาคม 2553 จำนวนหลายสิบศพ
ดังปรากฏขั้นตอนต่าง ๆ ใน น.60 ของวารสารเขียนดังนี้

“...............................
1. ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นต้น เพื่อทดสอบกำลังเข้าควบคุมพื้นที่ขั้นต้น ใช้เวลา 1 วัน (14 พฤษภาคม)
2. ขั้นการวางกำลังตรึงพื้นที่รอบนอก เพื่อป้องกันการเติมคนของกลุ่ม นปช. อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับหลังหันรบ 180 องศา มาตั้งรับใน 3 พื้นที่หลัก

ได้แก่ บ่อนไก่ ถนนราชปรารภ และสามย่าน

ขั้นนี้ต้องใช้ความอดทนอย่างสูงสุด ควบคุมสถานการณ์ให้นิ่งให้ได้ รอฟังคำสั่งต่อไปใช้เวลา 4 วัน (15-18 พฤษภาคม)
3. ขั้นการสลายม้อบภายหลังจากปฏิบัติการในขั้นที่ 2 ที่ต้องใช้เวลา 4 วัน เพื่อเช็คข่าวการวางกำลังและอาวุธสงครามในพื้นที่สวนลุมพินี การวางกำลังหลังแนวด่านตรวจ นปช.โดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ การเช็คที่ตั้งจุดใช้อาวุธ M 79 การตรวจสอบกองกำลังกลุ่มก่อการร้ายจำนวน 500 คนว่าวางกำลังพื้นที่ใด เมื่อทุกหน่วยเข้าที่พร้อม การปฏิบัติการก็เริ่มต้นในเช้าตรู่วันที่ 19 พฤษภาคม โดยให้เสร็จสิ้นภารกิจภายใน 1,800 ของวันเดียวกัน
4. ขั้นการกระชับวงล้อมขั้นสุดท้าย เพื่อตรวจสอบค้นหาหลักฐาน อาวุธสงครามและสิ่งผิดกฎหมาย เริ่มปฏิบัติการในวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 สาเหตุที่ไม่สามารถทำได้ในวันบุกสลายการชุมนุมในขั้นที่ตอนที่ 3 เพราะกลุ่ม นปช.ได้วางเต๊นท์และที่พักเป็นจำนวนมาก และตั้งแต่บ่ายของวันที่ 19 พฤษภาคม มวลชนเสื้อแดงได้ก่อการจลาจลในพื้นที่ราชประสงค์และทั่วกรุงเทพฯ...................”

วารสารยังระบุหน่วยงานที่ใช้ในการปราบปรามเข่นฆ่าคนเสื้อแดงนปช.ไว้ใน น.60-60 ดังนี้

หน่วยรับผิดชอบวางกำลังยุทธการกระชับวงล้อม
เป็นการปฏิบัติการร่วม3 เหล่าทัพคือ

กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ

โดยกำลังหลักที่ใช้ปฏิบัติการเป็นกำลังของกองทัพบก จำนวน 3 กองพล ได้แก่
กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.ร.1รอ.) ใช้กำลัง 3 กรม หลักคือ ร.1 รอ. ร.11 รอ.และ ร.31 รอ.ให้ ร.1 รอ กับ ร.11 รอ. วางกำลังพื้นที่ดินแปลง พญาไทราชปรารภ ร.31 รอ.เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว พร้อมปฏิบัติการพิเศษ กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่ถนนวิทยุ บ่อนไก่ ศาลาแดง ลุมพินี สามย่านกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) มีหน้าที่ดูแลพื้นที่อโศก เพลินจิต ชิดลม
นอกจากนี้ยังมีกองกำลังพร้อมสนับสนุน คือ พล.ร.2 รอ.กำลังของหน่วยอากาศโยธิน (อย.) ของกองทัพอากาศสแตนด์บายพร้อมออกปฏิบัติหน้าที่ 24 ชั่วโมง และมีหน่วยปฏิบัติการทางอากาศพร้อมขึ้นบินเหนือพื้นที่ราชประสงค์ ขณะที่กองทัพเรือรับภารกิจพิเศษอารักขาสถานที่สำคัญ โดยเฉพาะบริเวณโรงพยาบาลศิริราช
ทั้งนี้ การปฏิบัติภารกิจของกองทัพจะมีสัญญาณบอกฝ่าย เป็นสัญลักษณ์แถบสี ติดหัวไหล่ แขนขวา โดยจะมีการเปลี่ยนสีทุกวัน แต่เมื่อการปฏิบัติภารกิจเต็มขั้นในวันที่ 19 พฤษภาคม กำลังทุกหน่วยจะใช้แถบสีชมพูเป็นสัญลักษณ์บอกฝ่าย ติดไว้บริเวณหลังหมวกเหล็กทุกนาย....................."

เป็นหลักฐานมัดแน่นว่าเป็น

 “การใช้กำลังทั้งสามเหล่าทัพ”

เพื่อปราบปรามเข่นฆ่าคนเสื้อแดงนปช.
มีรายละเอียดของภาระหน้าที่
และพื้นที่ควบคุมรับผิดชอบของแต่ละหน่วยแต่ละเหล่าชัดเจน

วารสารเขียนไว้ว่าในวันที่ 19 พ.ค. 53 กองทัพใช้ทหารถึงสองหมื่นนายในการล้อมปราบเข่นฆ่าทำลายคนเสื้อแดงนปช.โดยอวดว่ามีทหารเสียชีวิตหนึ่งนายบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง

นี่เท่ากับยอมรับความจริงในทางปฏิบัติว่าคนเสื้อแดงไม่มีกองกำลังติดอาวุธ 500คนที่กองทัพและรัฐบาลอภิสิทธิ์ใส่ร้ายไว้ ไม่มีกองกำลังสไนเปอร์เอาไว้ยิงทหาร

เพราะถ้ามีกองกำลังติดอาวุธ 500 คน และมีกองกำลังสไนเปอร์ไว้ซุ่มยิงทหารจริง

ต้องมีทหารตายเป็นเรือนหลายสิบเรือนร้อยขึ้นไป


แต่ในวารสารยอมรับว่ามีทหารตายคนเดียว
มีบาดเจ็บจำนวนหนึ่งในหน้า 62

โดยไม่ได้ระบุไว้ว่าตายและบาดเจ็บจากสาเหตุอะไร
ถ้าโดนกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำยิงตาย
วารสารต้องประโคมอย่างดุเดือดแน่นอน

ดังนั้นการตายของทหารหนึ่งนายและบาดเจ็บจำนวนหนึ่งนั้นอาจจะเกิดจากพวกเดียวกันทำร้ายทำลายกันโดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตามหรืออาจจะเกิดจากอุบัติเหตุของคนนั้นเอง

รายละเอียดของการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนคนเสื้อแดงตามที่ปรากฏในวารสารหน้า 60

“.........
แผนยุทธการและหน่วยรับผิดชอบการกระชับวงล้อมพื้นที่ราชประสงค์
แผนยุทธการสลายม็อบราชประสงค์ถูกกำหนดดีเดย์ไว้ตั้งแต่ตี 3 ครึ่งวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หน่วยแรกที่เข้าปฏิบัติการคือ หน่วยสไนเปอร์ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มของตึกบนถนนวิทยุ (อาคารเคี่ยนหงวน) และสะพานแยกสารสิน(อาคารบางกอกเคเบิล)โดยที่อาคารสูงบนถนนวิทยุถูกยึดได้ก่อนตี 5 ครึ่ง ส่วนตึกสูงด้านถนนสารสินยังเข้าไม่ได้
หลังจากนั้นทหารจาก พล.ม.2 รอ.ได้แยกกำลังรุกเข้าไป 3 ทิศทาง ตามเส้นทางถนนวิทยุ ถนนสีลม และถนนสุรวงศ์ มีการเคลื่อนรถหุ้มเกราะปฏิบัติพร้อมทหารเดินเท้าอาวุธเต็มอัตราศึกเป็นรูป ขบวนการรบที่คุ้นตาสำหรับการปฏิบัติการของยานยนต์รบกับหน่วยของการยุทธรบในเมือง
แต่กว่าที่ภาพรถหุ้มเกาะจะค่อยๆ บดทับและพังทลายป้อมค่ายป้องกันของ นปช. ที่ศาลาแดงได้นั้น ได้มีการวางแผนปรับแผนส่วนหน้ามาแล้วเป็นเดือนโดยใช้บทเรียน 10 เมษายน เป็นสมมติฐาน ดังนั้นแผนยุทธการครั้งนี้จึงมีการวางแผนอย่างรัดกุมและตั้งอยู่บนสถานการณ์ ที่เป็นไปได้มากที่สุด และจะเห็นได้ว่ายุทธการครั้งนี้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ทางการทหารและ ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่กล่าวมาแล้วข้างต้น...............”

สรุปคือ
รัฐบาลอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ ใช้สามเหล่าทัพพร้อมอาวุธสงครามเต็มพิกัด ด้วยกำลังพลกว่าสองหมื่นนาย เข้าเข่นฆ่าสังหารปราบปรามประชาชนอย่างบ้าเลือด

โดยเริ่มต้นด้วยการใช้สไนเปอร์ยิงเสธ.แดงตาย 13 พ.ค. 53
จากนั้นก็เล็งยิงประชาชนสองมือเปล่าตายเป็นรายวันตั้งแต่14-15-16-17-18 พ.ค. 53

แล้วก็ปิดท้ายด้วยการส่งกำลังทั้งสามเหล่าทัพเข้าเข่นฆ่าปราบปรามประชาชนคนเสื้อแดงนปช.อย่างบ้าคลั่งในวันที่ 19 พ.ค. 53

บทความนี้ในวารสารเสนาธิปัตย์เท่ากับยอมรับว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์ใช้กองทัพทั้งสามเหล่าทัพ
เข่นฆ่าปราบปรามประชาชนสองมือเปล่าที่
ไม่มีกองกำลังติดอาวุธชายชุดดำห้าร้อยคน
ไม่มีกองกำลังสไนเปอร์

ซึ่งเป็นเพียงเรื่องที่พวกเขาใส่ร้ายป้ายสีมาโดยตลอด
เพราะประชาชนมาเรียกร้องเพียง
ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนให้มีการเลือกตั้ง
เป็นการเรียกร้องที่ถูกต้องชอบธรรมด้วยรัฐธรรมนูญ
ไม่มีความจำเป็นใดๆที่ต้องใช้กองกำลังติดอาวุธและประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะไปหากองกำลังติดอาวุธจากที่ไหน

ประชาชนยืนยันใช้การเรียกร้องด้วยสันติวิธีตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น “การฆ่าประชาชนสองมือเปล่ากลางเมืองด้วยกองทัพสามเหล่าทัพกำลังพลสองหมื่นนายกระสุนร่วมสองแสนนัดกระสุนสไนเปอร์ร่วมสองพันนัด”

จึงต้องมีผู้รับผิดชอบตามกฎหมายและต้องได้รับการดำเนินคดีเพื่อรับโทษตามกฎหมาย

จะปล่อยให้ลอยนวลตามที่ป.ป.ช.ยกคำร้องไปโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรได้เป็นอันขาด