การปรากฏตัวของการต่อสู้ของประชาชนในปี
2549 เป็นการปรากฏตัวของผู้ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร จึงมีหลากหลายกลุ่ม หลายวัย
หลายอาชีพ ทั้งปัญญาชน ชนชั้นกลาง มวลชนพื้นฐาน คนจนเมือง ไม่ใช่เกิดจากเฉพาะฝ่ายการเมืองที่รักทักษิณ
ตรงข้ามในตอนต้นกลุ่มคนรักทักษิณยังไม่ปรากฏ มีกลุ่มคนต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก
และแม้แต่ฝ่ายที่มาจากพรรคไทยรักไทยคือ คุณวีระกานต์ มุสิกพงศ์ พร้อมคุณณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ และคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ก็ออกมาต่อต้านรัฐประหารเป็นหลัก ไม่ใช่รักหรือเกลียดคุณทักษิณ
นี่เป็นประเด็นสำคัญอันแรกที่ฝ่ายรักประชาธิปไตยด้วยกันก็ยังรับเอาวาทกรรมของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นวาทกรรมของตนเองด้วย
ชื่อ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ”
มันบ่งชี้ชัดอยู่แล้วว่า นปก. เกิดมาเพื่อวัตถุประสงค์อะไร จึงเกิดแนวร่วมต่อต้านรัฐประหารหลวม
ๆ ตั้งแต่ต้น จากสนามหลวงในปี 2549, 2550, 2551 ถึง 2552 กลุ่มต่าง ๆ
ที่มาร่วมกันก็มีทั้งมาร่วมในฐานะองค์กรแนวร่วมที่มีรูปการ มีหลักนโยบาย
มีแนวทางยุทธศาสตร์ และมีทั้งที่ร่วมด้วยและแยกจากไป
เพราะไม่เห็นด้วยกับแนวทางและการนำของ นปช. ที่แข็งแรงและเป็นเอกภาพกว่าเดิม
เราจำเป็นต้องพูดให้ชัดเจนว่า
การปรับปรุงองค์กรมาจากการสรุปบทเรียนจากความสับสนไม่เป็นเอกภาพในการนำและนโยบาย
เราพยายามปิดจุดอ่อนโดยในหลักนโยบายพูดชัยเจนในข้อแรก คือ เป้าหมายของ นปช.
ในเรื่องการเมือง คือต้องการระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
และหนทางการต่อสู้ใช้ “สันติวิธี” หมายความว่า เราขีดเส้นใต้ชัดเจน
ไม่มีการใช้อาวุธ ไม่มีเรื่องล้มเจ้า และนี่คือหลักการที่เรามีมติร่วมกัน ถ้าเป็นการนำ
นปช. ต้องอยู่ภายใต้หลักการนี้
เราได้เปิดโรงเรียน นปช. ทั่วประเทศ ย้ำแนวนโยบาย ยุทธศาสตร์ 2 ขา
ทั้งเวทีรัฐสภาและขบวนการประชาชน ทำความเข้าใจกับมวลชนและแกนนำท้องถิ่นต่าง ๆ ใครไม่ชอบนโยบาย
เขาก็เป็นแดงอิสระ ไม่ขึ้นกับ นปช. ไม่เกี่ยวกับ นปช. นั่นเอง
หลักการข้อนี้ต้องมาย้ำเพื่อตอบโต้การกล่าวหา
นปช. มีกองกำลังอาวุธ การก่อการร้าย ชายชุดดำ หรือแนวคิด แก้ว 3 ประการ
ของคนบางส่วน ว่าไม่ใช่แนวทาง ไม่ใช่หนทางต่อสู้ของ นปช. เพราะนี่ไม่ใช่การปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนระบอบ
เรายังมุ่งสู่ระบอบประชาธิปไตย พรรคการเมืองที่เป็นมิตรร่วมกันต่อสู้ก็ไม่ใช่พรรคปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพ
แต่เป็นพรรคการเมืองในระบบทุนนิยม (โลกาภิวัตน์) เพื่อระบอบเสรีประชาธิปไตย แก้ว 3
ประการ เป็นเรื่องของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เป็นขบวนการปฏิวัติที่ต่อสู้ด้วยอาวุธ
มีแนวร่วมประชาชาติประชาธิปไตย (ต่อสู้กองทัพญี่ปุ่น) และมีกองทัพปลดแอกประชาชนจีน
ไม่ใช่ นปช. ซึ่งมียุทธศาสตร์ 2 ขา
ทั้งเวทีรัฐสภาและขบวนการประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การปรับขบวนในปลายปี
2552 และเปิดโรงเรียน นปช. จนถึง 12 มีนาคม สร้างความเข้มแข็งในการนำพาประชาชนจำนวนมากในการต่อสู้ปี
2553 ซึ่งนำมาสู่โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
การนำด้วยหลักการ แนวทางนโยบาย ที่ปรับมาแล้ว
แต่เมื่อเผชิญการต่อต้านครั้งใหญ่จากเครือข่ายอำมาตยาธิปไตย
ซึ่งมีทั้งพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยม หน่วยงานความมั่นคง กองทัพ
และข้าราชการอดีตข้าราชการระดับสูง ล้วนเป็นตัวแทนชนชั้นนำ จารีตนิยม อำนาจนิยม ทำสงครามครั้งใหญ่เพื่อจัดการกับผู้เรียกร้องระบอบประชาธิปไตยจริง
ไม่ใช่แบบปลอม ๆ แบบไทย ๆ ซึ่งจริง ๆ คืออำมาตยาธิปไตย จนในที่สุดพบว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
และศอฉ. ใช้การทหารเพื่อเอาชนะประชาชน
ไม่ใช้การเจรจาเพื่อยุติการประท้วง คนไม่มีอาวุธมากี่หมื่นกี่แสนคน
พบคนมีอาวุธ (ร่วม 67,000) พลซุ่มยิง และใช้ยุทธการการรบในเมืองเต็มรูปแบบ
แน่นอนว่าประชาชนต้องเป็นฝ่ายสูญเสีย จนทำให้แกนนำต้องยอมยุติการชุมนุม
เพราะทนดูการตาย บาดเจ็บ ของพี่น้องประชาชนไม่ได้
เราใช้วิธีการประชาชนในระบอบประชาธิปไตย แต่รัฐบาลใช้วิธีการทหารจัดการประชาชน
เหมือนปฏิบัติการต่อฝูงสัตว์ที่เลือกยิงได้ตามชอบใจโดยไม่มีเหตุผล
สุดท้ายเพื่อทำให้การสังหารประชาชนดูชอบธรรม
วาทกรรมควายแดง, ล้มเจ้า, ชายชุดดำ, เผาบ้านเผาเมือง ก็เกิดขึ้นโดยปฏิบัติการ IO
เต็มรูปแบบ เพื่อให้คนที่ไม่รู้ข้อมูลเชื่อตามที่รัฐโฆษณา
ความจริงจากการไต่สวนการตายจำนวนหลายสิบศพ
ถ้าใครติดตามจะพบผลไต่สวนเป็นคำวินิจฉัยคำสั่งศาลพูดชัดเจนว่า ไม่พบการต่อสู้ใด ๆ
จากประชาชน อาวุธที่ไปงมจากสระวัดปทุมวนารามก็ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของประชาชน
(แปลว่าไปสร้างเรื่องเท็จป้ายสีคนเสื้อแดง)
ไม่พบร่องรอยการต่อสู้และกระสุนจากประชาชน สำหรับอาวุธปืนทหารที่ส่งมาให้ตรวจ
ศาลก็บอกว่าน่าเชื่อว่าไปเปลี่ยนมาหมดแล้ว (ไม่ให้ตรงกับชนิดกระสุนในบาดแผล) ไม่มีเขม่าดินปืนในทุกศพ
ตรวจภาพเคลื่อนไหวทหารที่ยืนซุ่มยิงและที่ยิงจากรางรถไฟฟ้า ไม่มีการหลบกระสุน
ไม่มีรอยกระสุนใด ๆ
จนบัดนี้การกล่าวหาชายชุดดำก็ยกฟ้องไปส่วนใหญ่
มีบางคนก็มีข้อหาพกอาวุธปืนในที่สาธารณะเท่านั้น การเผาเซ็นทรัลเวิลด์ก็ชัดเจนว่าไม่เกี่ยวกับ
นปช. หรือ ผู้ชุมนุมเสื้อแดง ยกฟ้องไปหมด (แล้วใครเผา มือที่สาม ที่สี่
หรือ?)
แม้แต่ตลาดหลักทรัพย์บริษัทประกันต้องจ่าย
เพราะศาลเห็นว่าไม่ได้มาจากผู้ชุมนุม ไม่ได้มาจากการก่อการร้าย
ความจริงเหล่านี้
คนที่ติดตามข่าวคราวเพื่อความจริงความยุติธรรมย่อมทราบได้ แต่ปรากฏว่าคนที่ยืนอยู่กับระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
สาวกขนานแท้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือพลพรรค กปปส. หรือ สลิ่มในวงกรทั้งหลาย
ไม่สนใจความจริงที่จะทำให้พวกเขาหมดความชอบธรรมในกรณีทุ่งสังหาร
ยุทธการราชประสงค์และราชดำเนิน
ก็จะเอาความเชื่อตามที่รับฟังมาจากผู้นำความคิดของพวกเขา
ไม่ต้องหาข้อมูลอะไรอีกแล้ว ตามนั้นแหละ ว่าพวกนี้สมควรตาย เพราะเป็นพวกติดอาวุธ
มีกำลังอาวุธ ล้มเจ้า เผาบ้านเผาเมือง
คนมาเป็นแสน
อยู่กัน 2 เดือน ถ้ามีกองกำลังอาวุธจริง ติดอาวุธจริง และคิดจะเผาบ้านเผาเมืองจริง
ถามว่า...กองทัพไทยจะเอาอยู่ไหม? ใช่...คงตายเป็นหมื่นเป็นแสน
เพราะเราไม่ต้องเช่นนั้น เราเลือกหนทางที่ไม่ต้องการสูญเสีย
แต่เพราะเราสู้กับนักการเมืองที่ไม่มีสปิริตของพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
ผู้นำรัฐบาลที่เห็นประชาชนไม่ใช่คนไทยเหมือนกัน กองทัพและองค์กรอิสระที่ไม่ยึดหลักการระบอบประชาธิปไตย
ไม่ยืนอยู่ข้างประชาชน
ผลลัพธ์จึงเป็นเช่นนี้!!!
เราต้องเผชิญกับสถานการณ์ร้ายสุด
ๆ สังหารประชาชนปี 52, 53 ทดสอบแกนนำ ทดสอบองค์กร ทดสอบขบวนการประชาชน
ว่าจะยืนหยัดได้อย่างไร และส่งไม้ต่อให้กับคนรุ่นใหม่อย่างไร ให้ขบวนการประชาธิปไตยยังแข็งแรงเติบใหญ่ต่อไป
ส่วนแกนนำยังต้องพบคดีความอีกมากมายทั้งแพ่งและอาญา
ขณะที่ผู้นำมวลชนฝ่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยและพรรคการเมือง
ยังดูเหมือนว่าจะเผชิญชะตากรรมไม่หนักหนา (เพราะเป็นคนของคนดีมีอำนาจหรือไม่?)
มีคนนินทาว่า
“สู้แล้วรวย” “สู้แล้วได้เป็นรัฐมนตรี” นี่ก็น่าจะเป็นวาทกรรมที่ฝ่ายปฏิปักษ์ประชาธิปไตยใช้ทำลายขบวนการนำของฝ่ายประชาธิปไตย...หรือเปล่า?
ต้องระมัดระวังว่าในฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันจะนำวาทกรรมนี้มาขยายให้เกิดปัญหาในขบวนตามความประสงค์ของฝ่ายตรงข้าม...หรือเปล่า?
รวยแค่ไหนไม่รู้
ได้เป็นรัฐมนตรีก็เป็นเพียงคนเดียว ดูแล้วก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร และที่ชัด ๆ แน่ ๆ
คือ คำพิพากษาซึ่งกำลังเรียงมาอาจจะทยอยเข้าคุกตามลำดับ นี่ไม่ใช่เรื่องเคราะห์กรรมส่วนตัวของใคร
แต่เป็นเคราะห์กรรมของประเทศไทย
คนรุ่นใหม่ก็ต้องทวงถามความยุติธรรมและทำความจริงให้ปรากฏ
ต่อยอดการต่อสู้ของขบวนการประชาชนและ นปช. ต่อไปอีกเหมือนที่เราได้สืบทอดเจตนารมณ์ของนักต่อสู้รุ่นเก่าที่ผ่านมายาวนานร่วมหลายสิบปีมาแล้ว
22
พ.ค. 63
ยังมีต่อ....