ธิดา
ถาวรเศรษฐ : อนาถ “แรงงานไทย” ในวันกรรมกร 1 พฤษภาคม 63
1 พฤษภาคม วันกรรมกรสากล (May Day)
หรือที่เรียกกันในประเทศไทยว่า “วันแรงงาน” เพื่อหลีกเลี่ยงคำว่า “กรรมกร” ที่เป็นของแสลงตั้งแต่ยุคเผด็จการ
จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในวันที่การต่อสู้กับฝ่ายซ้ายและพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นสู่กระแสสูง
ในช่วงแรก ๆ เรามี “กรรมกร” น้อยกว่า “เกษตรกร”
มาก ถ้าถอยหลังไปไกลกว่านั้นเราจะเห็นทุนนิยมนำเข้าของไทยที่นำเข้า “กรรมกรจีน”
เป็นจำนวนมาก ทั้งขุดคลอง, ขนข้าว, ขนสินค้า ตามท่าเรือ กรรมกรโรงงาน
ในระยะแรกล้วนเป็นคนจีน แต่ไพร่ไทยนิยมทำนา
ทำไร่ ทำสวน มากกว่า คนจีนจึงทำหน้าที่ทั้งกรรมกร,
พ่อค้า, นายทุน และเป็นมือไม้ของการค้าการหารายได้ของพระมหากษัตริย์กับขุนนาง ที่เปลี่ยนไปคือปัจจุบันกรรมกรจีนไม่มีอีกแล้ว
วันแรงงานยุคก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีพลังทั้งเป็นปัญหาของทางด้านกรรมกรและการถูกปราบปราม
สำหรับแรงงานไทยและรัฐวิสาหกิจในวัน May Day
การเคลื่อนไหวส่วนใหญ่เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นหลัก
ยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวเพื่อประโยชน์ประชาชน
เมื่อเปรียบเทียบว่าการเดินขบวนชุมนุมในสหรัฐอเมริกาเมื่อ
1 พฤษภาคม 1886 (พ.ศ. 2329) เพื่อเรียกร้องเวลาทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน
โดยชุมนุมทั่วประเทศนับแสนคน ในเวลานั้นประเทศไทยเพิ่งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์
หลังจากการสิ้นประชนม์ของพระเจ้ากรุงธนบุรี 4 ปี เท่านั้น
พัฒนาการของสังคมไทยเวลานั้น นอกจากยังไม่เข้าสู่ยุคทุนนิยมอุตสาหกรรม
ยังเป็นสังคมศักดินาเต็มรูปแบบ ที่ดินในประเทศซึ่งถือว่าเป็นของพระมหากษัตริย์
ก็ถูกถือครองโดยประชาชนที่ต้องส่งส่วนสาอากร เป็นไพร่เข้าเดือนออกเดือน จนมาถึงการจ่ายเงินรัชชูปการทดแทนการถูกเกณฑ์เป็นไพร่
กระทั่งปัจจุบันเราก็ยังใช้การเกณฑ์ทหาร ซึ่งพัฒนาการมาจากการถูกสักเลขการเป็นไพร่สม
ไพร่หลวง ในอดีตนั่นเอง
ตัดภาพมาถึงปัจจุบัน
จากสังคมศักดินาเข้าสู่ยุคทุนนิยมโลกาภิวัตน์ เรามีกรรมกรในระบบของอุตสาหกรรมรวมกรรมกรในระบบจากภาคพาณิชย์,
ภาคการเงิน และภาคบริการ น่าจะราว ๆ 16.4 ล้านคน
ซึ่งตัวเลขที่สูงขึ้นนี้ส่วนใหญ่มาจากกรรมกรในภาคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ภาคอุตสาหกรรม ส่วนแรงงานนอกระบบประมาณ
24.6 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 63.8 ของแรงงานทั้งหมด
ข้อมูลภาวะการทำงาน จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเมื่อเดือนธันวาคม
2562
- มีกำลังแรงงาน 38.21 ล้านคน
- มีงานทำ 37.66 ล้านคน
- ว่างงาน 3.67 แสนคน
- รอฤดูกาลทำงาน 1.79 ล้านคน
ในจำนวน 37.66 ล้านคนที่มีงานทำ 43.69%
เป็นแรงงานในระบบประกันสังคม มาตรา 33, มาตรา 39, มาตรา 40 จำนวน 16.45 ล้านคน
ส่วนอีก 56.31% คือ 21.21
ล้านคน เป็นแรงงานนอกระบบ
พื้นที่กรุงเทพมหานครเป็นแรงงานนอกระบบมากที่สุด
พบ 26.3%
หรือ 2.13 ล้านคน
กลุ่มอาชีพพนักงานบริการในร้านค้าและตลาดมีจำนวน
7.75 ล้านคน
คนที่โดนเต็ม ๆ ต่อความเสี่ยง
ต่อการว่างงาน จึงเป็นจำนวนทั่วประเทศกว่า 20 ล้านคน เฉพาะในกรุงเทพฯ ก็มีกว่า 2 –
3 ล้านคน ในวันนี้ที่มีการปิดประเทศ ปิดเมือง ร้านค้า และกิจการบริการ
คนเหล่านี้ที่เป็นกรรมกรไร้หลักประกันใด ๆ ในชีวิต
ส่วนหนึ่งจึงฆ่าตัวตายประท้วงรัฐไทยที่ไม่อาจดูแลประชาชนให้พอมีชีวิตอยู่ได้
พัฒนาการของสังคมไทยจากระบอบศักดินามาเป็นทุนนิยม
ไม่ได้มีพัฒนาการจากความสามารถทางเทคโนโลยี, องค์ความรู้ และขับเคลื่อนไปทั้งสังคม
แต่เป็นพัฒนาการจากระบบศักดินาที่ยังเข้มแข็ง ผนึกกำลังจากทุนนำเข้า, พ่อค้านำเข้า,
เทคโนโลยีนำเข้า ระบบไพร่ยังดำรงอยู่ และการเกิดรัฐประหารอยู่จำนวนมาก จึงทำให้เกิดความอ่อนแอของระบบทุนนิยมไทยที่เข้าไปอยู่ในวงจรของทุนนิยมโลกาภิวัตน์
จึงเปราะบางและเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ, ทางสังคม, ทางการเมือง อย่างหนัก
สหภาพแรงงานที่เข้มแข็งก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเผด็จการอำนาจนิยมแต่ละยุค สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจจำนวนมากก็กลายเป็นสหภาพแรงงานที่เป็นกรรมกรขุนนาง
อยู่เหนือประชาชน ไม่มีจุดยืนที่ประชาชน ยังร่วมกับรัฐอำนาจนิยม อนุรักษ์นิยม สูบเลือดเนื้อประชาชนและสนับสนุนระบอบอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ดังนั้น “เมย์เดย์” ปี 2563 ของไทย
จึงเป็นปีที่แสนเศร้าสำหรับกรรมกรไทย ผู้ใช้แรงงานไทย ที่ต้องว่างงาน ต้องเผชิญทุกข์เวทนาอย่างหนัก
เพราะลำพังมีงานทำ ค่าแรงก็ไม่พอค่าใช้จ่าย มีหนี้สินอยู่แล้ว ประสบปัญหา COVID-19
ไม่มีงาน ไม่มีเงินใช้จ่าย สุดท้ายหลายคนเลือกจบชีวิตตนเอง
น่าเศร้าใจ แรงงานไทยในวันกรรมกร 1
พฤษภาคม 2563