"ณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ" รำลึกเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553
ไม่น่าเชื่อว่าหนึ่งทศวรรษแห่งความสูญเสียจะผ่านไปพร้อมกับการก้าวถอยหลังทางการเมืองของประเทศครั้งสำคัญ
พูดได้เต็มคำว่าวันนี้ย้อนไปไกลกว่า 10 ปีก่อน
และยากเย็นอย่างยิ่งที่จะกลับคืนสู่วิถีอันถูกต้อง
เรามีรัฐบาลสืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร
นายกรัฐมนตรีเป็นคนเดียวกับหัวหน้าคณะเผด็จการ
มีส.ว.ลากตั้งที่มีหน้าที่เลือกคนตั้งเป็นนายกฯ และมีกติกาเลือกตั้งที่โลกไม่เคยรู้จักออกแบบมาเพื่อ”เขา”เท่านั้น
ในหลายประเทศ
การต่อสู้และเสียสละของประชาชนคือแรงขับดันให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้า แต่กรณี
เมษา - พฤษภา 53 กลับได้มาซึ่งความเพิกเฉยของคนส่วนหนึ่ง
และความยุติธรรมที่คนตายเกือบร้อยชีวิตไม่มีโอกาสย่างกรายเข้าถึง
นั่นคือห้วงเวลาหนักหนาที่สุดในชีวิตผม...
10
เมษายน 2553
รัฐบาลขณะนั้นเรียกร้องตลอดเวลาให้ยุติเวทีราชประสงค์ไปรวมกันที่เวทีผ่านฟ้า
พวกเราประเมินตรงกันว่าราชประสงค์คือเป้าหมาย ผ่านฟ้าคือที่ปลอดภัย
แกนนำหลายคนจึงปักหลักอยู่เวทีกลางเมือง อีกส่วนหนึ่งซึ่งน้อยคนกว่ายึดผ่านฟ้าชุมนุมคู่ขนานประสานภารกิจเรียกร้องประชาธิปไตย
สายวันนั้นเริ่มมีข่าวทหารเตรียมกำลัง
ก่อนเที่ยงมีการเผชิญหน้ากันใกล้ประตูทางเข้ากองทัพภาคที่ 1
ต่อด้วยปฏิบัติการ”ขอคืนพื้นที่”ซึ่งเลี่ยงบาลีจากคำว่า”สลายการชุมนุม”
ใกล้เวลาเย็นเริ่มมีรายงานว่ากำลังทหารพร้อมอาวุธเพิ่มขึ้นจากทุกทิศทาง
เฮลิคอปเตอร์บินวนเหนือเวทีและพื้นที่ชุมนุม
แก๊สน้ำตาถูกโยนลงมาแบบไม่เลือกว่าจะตกลงกลางเวที ในกลุ่มผู้ชุมนุม
หรือศรีษะร่างกายใคร บรรยากาศที่ได้รับรู้ทางโทรศัพท์ราวกับหนังสงคราม
ต่างกันตรงที่ฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธสงครามประจำกาย
อีกฝ่ายคือประชาชนที่มีสิบนิ้วครบมือ
ผมตัดสินใจไปรับมือเหตุการณ์ที่ผ่านฟ้า
เมื่อไปถึงในช่วงค่ำได้ยินเสียงปืนแผดลั่นอยู่ทั่วบริเวณ
เพื่อนแกนนำที่อยู่ตรงนั้นบอกว่ามีคนตายแล้วแต่พี่น้องเรายังยืนหยัดด้วยความกล้าหาญ
ที่เจ็บก็อุ้มกันมา ที่ตายก็ตามไปเฝ้าศพกันอยู่ที่โรงพยาบาล
ผมขึ้นเวทีปลอบขวัญพี่น้อง
ประกาศเรียกร้องรัฐบาลให้ยุติปฏิบัติการ
ครู่หนึ่งก็ได้รับการติดต่อจนเกิดการเจรจาท่ามกลางเสียงปืนและความตายระหว่างผมกับตัวแทนรัฐบาล
โดยคุณจาตุรนต์ ฉายแสง เป็นตัวกลางให้ได้ต่อสายคุยกัน รัฐบาลตกลงสั่งถอนกำลัง
ผมบอกแกนนำให้กระจายกันไปตามพี่น้องจากจุดเผชิญหน้าต่างๆมารวมกันที่เวที
แล้วตัวเองก็ขึ้นประจำการสื่อสารจากเวทีใหญ่ทั้งคุยกับรัฐบาล
บอกกล่าวสถานการณ์กับพี่น้อง
และตัดสินใจในทุกคำถามที่ประดังเข้ามาท่ามกลางความโกลาหล
คนเจ็บหลายรายถูกพามาหลังเวที
คนตายสองชีวิตถูกหามมาโดยเพื่อนร่วมอุดมการณ์วางร่างบนเวทีป้องกันการสูญหายทำลายหลักฐานอาชญากรรมโดยอำนาจรัฐ
เวลาผ่านไปเท่าไหร่ไม่ทราบจนทุกอย่างเริ่มนิ่ง
ผมฝากเวทีไว้กับแกนนำคนอื่นแล้วลงมาดูเหตุการณ์หลังเวที พบว่ากำลังวิกฤตหนัก
ร่างโชกเลือดกับเสียงโอดโอยของคนเจ็บ
เสียงกรีดร้องของญาติมิตรผู้สูญเสียและสูญหาย คำถามมากมายที่พุ่งเข้าใส่
ข่าวสารสารพัดที่ไหลเข้ามา การฉุดดึงให้ผมไปยังมุมที่ต้องการ
ทุกอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน ทุกเรื่องต้องการการแก้ไขในทันที
ในสภาพที่ทุกคนกำลังอกสั่นเสียขวัญ ผมไม่รู้ว่าตอบคำถามใครไปบ้าง กอดปลอบโยนใครไปกี่ครั้ง
ออกคำสั่งให้คนหยิบโน่นโทรนี่ไปกี่หน มารู้ตัวอีกทีอกเสื้อก็ชุ่ม
สำรวจดูถึงรู้ว่าไม่ได้เปียกเหงื่อ
แต่อกเสื้อเปียกน้ำตาประชาชน
สถานการณ์ยังสาหัสอยู่อย่างนั้นจนค่อนรุ่งก็เริ่มคลายตัวลง
คนเจ็บหนักไปโรงพยาบาล เจ็บเล็กน้อยกลับบ้าน บางคนยืนยันสู้ต่อกลับไปนอนตามเต็นท์
ญาติคนตายไปดูตามจุดเก็บศพ
ส่วนที่เหลือยังปักหลักอยู่หน้าเวทีราวกับความเป็นตายเมื่อช่วงค่ำเป็นเพียงสายลมพัดผ่าน
ผมไม่เคยเห็นความกล้าหาญแบบนี้
อยากให้คนสั่งหรือคนลงมือกระทำต่อพวกเขาได้เห็นภาพได้สบตากับกลุ่มคนที่ข้ามพ้นความกลัวมาเผชิญหน้ากับความตายอย่างองอาจ
แม้ว่าคนส่วนหนึ่งจะมองพวกเขาเป็นแค่คนชั้นล่าง ไร้การศึกษา
ไม่มีค่าพอจะสละเวลามารับรู้หรือเวทนาต่อชะตากรรม
เหตุการณ์ตั้งแต่คืนนั้นต่อเนื่องถึงวันยุติการชุมนุม
19 พฤษภาคม มีการประกาศเขตใช้กระสุนจริง ยังคงมีคนถูกยิงตายจากปืนติดลำกล้อง
มีการปฏิบัติการทางทหารเต็มรูปแบบด้วยกำลังเกือบ 70,000 นาย เบิกกระสุนจริงกว่า
400,000 นัด กระสุนสไนเปอร์กว่า 2,500 นัด น่าสนใจว่าในห้วง 30 ปีที่ผ่านมามีศึกสงครามใด
มีข้าศึกศัตรูชาติไหนที่ฝ่ายความมั่นคงไทยใช้สรรพกำลังถึงเพียงนี้
หลังผ่านพ้นเวลา
9 เดือนในเรือนจำ
ผมและเพื่อนมิตรอีกหลายคนเฝ้าติดตามทวงถามความคืบหน้าเรื่องคดีความ
ญาติคนเจ็บคนตายก็ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวหลายกลุ่ม
รวมทั้งศิลปิน นักคิด นักเขียนส่วนหนึ่งต่างค้นหาและพร่ำพูดความจริง
แต่ความจริงที่จริงแท้และเจ็บปวดสำหรับเรื่องนี้คือ
ทุกคนที่ถูกยิงตายเข้าไม่ถึงความยุติธรรม
แม้แต่คดีที่ศาลไต่สวนสาเหตุการตายและวินิจฉัยแล้วว่าเสียชีวิตเพราะกระสุนปืนจากฝั่งเจ้าหน้าที่ก็หยุดนิ่ง
พายเรือในอ่างไม่ต่างกัน
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ไปยื่นหนังสือ
หรือสอบถามความคืบหน้า แทนที่จะได้รับคำตอบกลับได้ความบอบช้ำซ้ำเดิมกลับมา
ล่าสุดไปที่ปปช.(ครั้งที่เท่าไหร่ไม่อาจจำ)นั่งฟังการแถลงข่าวผลการพิจารณาคำร้องของพวกเราให้เอาผิดผู้สั่งการ
ข้อสรุปคือไม่ดำเนินคดี
ผมนั่งน้ำตาเต็มเบ้าใช้เปลือกตาเป็นเขื่อนกั้นไม่ให้ไหลออกมาต่อหน้าเขา
ยืนยันว่าไม่ใช่ความ”โกรธแค้น”
แต่”คับแค้น”
ที่ยังพูด
ถาม ทำทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ด้วยใจอาฆาต
แต่ต้องการคำตอบว่าเราจะจัดการอย่างไรต่อความตายของประชาชนมือเปล่าที่ 10
ปีผ่านไปยังไม่มีความคืบหน้าทางคดี
สำคัญที่สุดคือ
ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังฝังรากลึกในสังคมไทย
การสร้างความปรองดองที่ถูกใช้เป็นเพียงเครื่องสำอางค์ของผู้มีอำนาจ
ไม่มีใครยืนยันได้ว่าวิกฤตใหญ่จะไม่เกิดขึ้นอีก
แต่ผมฟันธงได้ว่าการเข่นฆ่าปราบปรามโดยรัฐจะยังคงเกิดขึ้นในวันเช่นนั้นหากความตายกลางเมืองหลวงของคนเกือบร้อยถูกปล่อยลอยนวล
ไม่มีความจริง ไม่มีความยุติธรรม
จึงเป็นภาระหน้าที่ของยุคสมัยที่ต้องจัดการเรื่องแบบนี้ไม่ให้ตกทอดถึงคนรุ่นต่อไป
ผมปรารถนาสังคมที่คนเห็นต่างอยู่ร่วมกันโดยสันติ
ไม่มีความชิงชังเป็นส่วนบุคคลระหว่างกัน
ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างความปรองดองถ้าความปรองดองนั้นยืนอยู่บนหลักการว่าคนเท่ากัน
ประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยมีการฆาตกรรมใหญ่ต่อประชาชนก่อน
10 เมษายน 53 มาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่จำนวนคนตายมากเท่านี้
และเป็นความตายที่แผ่วเบาขนาดนี้ ไม่ต้องใช้กฎหมายพิเศษ
ไม่ต้องมีกระบวนการแก้ไขใดๆ
ปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามช่องทางปกติจนเกือบร้อยชีวิตที่เข้าถึงความยุติธรรมไม่ได้กลายเป็นเรื่องปกติ
ทุกสนามการต่อสู้ผมลงจากเวทีเป็นคนสุดท้าย
จนวันนี้ค่อนไปทางเป็นผู้ชมข้างเวที แต่กับเวทีการติดตามความยุติธรรมให้คนตายผมไม่เคยลงมา
ผมยังอยู่ที่เดิมตรงนั้น
จนถึงวันที่มีคำตอบว่ารัฐไทยจะจัดการอย่างไรกับเรื่องนี้
ขอคราวะต่อทุกชีวิตที่สูญเสียทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่
ส่งความปรารถนาดีไปยังพี่น้องผู้ร่วมอุดมการณ์
และส่งผ่านความจริงใจไปยังผู้เห็นต่างทุกท่าน เราหันหน้าเข้าหากันได้เสมอ
ความชิงชังไม่อาจสร้างชาติความรักต่างหากที่ทำหน้าที่นั้น
หากแม้จะระงับความชิงชังนั้นไม่ได้ก็ขอให้อยู่บนความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างระหว่างกัน
เพราะถึงที่สุดแนวคิดแบบทั้ง 2 ฝ่ายก็จะไม่มีวันหายไปจากสังคมไทย
เราต้องผ่านมันไปด้วยกัน
ณัฐวุฒิ
ใสยเกื้อ
10
เมษายน 2563