ธิดา
ถาวรเศรษฐ :
ข้อสังเกตวิธีคิดและการทำงานต่อกระทรวงสาธารณสุขในสถานการณ์สู้ศึก
COVID-19 (24 เม.ย. 63)
แม้นดูเหมือนว่าประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการสู้ศึก
COVID-19 ในเชิงเปรียบเทียบกับหลายประเทศ
แต่ดิฉันคิดว่าท่ามกลางการต่อสู้กับโรคร้ายระบาดทั่วโลก
เรามีต้นทุนการสาธารณสุขพื้นฐานที่ดี มีบุคลากรการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง และวิถีประวัติศาสตร์พัฒนาการการต่อสู้ของประชาชน
ทำให้พัฒนาการด้านสาธารณสุขเราโดดเด่นยิ่งกว่าพัฒนาการด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
ดิฉันคิดว่าในสถานการณ์
COVID-19 เราควรทำได้ดีกว่านี้มาก ๆ หากไม่ถูกชี้นำผิด ๆ จากด้านการเมืองและการนำของรัฐบาลในระยะต้นของการระบาด
ทำให้เราเสียหายทั้งด้านเม็ดเงินที่ต้องจ่ายและการล้มตายของผู้คน
ที่สำคัญทำให้เกิดมาตรการเข้มข้นในการปิดเมือง ปิดประเทศ ในช่วงระยะหลังนี้
ทำให้ประชาชนทุกข์ยากแสนสาหัสอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาในแผ่นดินนี้ย้อนหลังไปร่วม
80 ปี
ดิฉันขอเริ่มต้นให้มีการถอดบทเรียนโดยผู้คนด้านสาธารณสุขก่อน
ส่วนความเห็นต่อรัฐบาลและผู้นำรัฐบาล ดิฉันได้พูดในรายการไปแล้ว
ในฐานะประชาชน
โดยจุดยืนผลประโยชน์ประชาชน และพอจะมีความรู้เรื่องโรคติดเชื่ออยู่บ้าง
ดิฉันมีความเห็นต่อการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขโดยสรุปย่อ ๆ ดังนี้คือ
1)
ปัญหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีต่อโรคระบาดร้ายแรงตั้งแต่ต้น ๆ
ประหนึ่งว่าไม่มีแผนการที่เหมาะสมกับโรคระบาดร้ายแรง
เอาประสบการณ์เก่ามาใช้ได้ระดับหนึ่ง เช่น จากโรคซาร์
เท่ากับไม่มียุทธศาสตร์ในการรับมือโรคระบาด Pandemic ที่มีลักษณะร้ายแรงทั้งการดำเนินโรคและการติดต่อรวดเร็ว
ซึ่งคณะทำงานด้านสาธารณสุขต้องมีทีมที่แข็งแกร่งพอที่จะนำเสนอต่อสังคมให้ได้ว่า “ชีวิตประชาชนและสาธารณสุขต้องนำการเมือง”
2)
เมื่อขาดคณะทำงานที่แข็งแกร่งและมีวิสัยทัศน์ ตลอดจนระบบงานป้องกันที่ดีเพียงพอ
ไม่สามารถนำเสนอแผนป้องกันโรคติดต่อร้ายแรงอย่างเป็นระบบเชิงรุก
ด่านแรกในการตั้งรับก็ถูกตีแตก
เพราะระบบการคัดกรองที่สนามบินและจุดทางเข้าประเทศล้มเหลว
ปล่อยให้คนติดเชื้อจากภายนอกเข้าประเทศได้อย่างสะดวกสบาย
นำเชื้อเข้ามาติดต่อในประเทศไทย
3)
ที่มีปัญหามากในการตั้งรับแบบถอยหลังพิงฝาโรงพยาบาล คือการให้นิยาม PUI
คนป่วยที่เข้าข่ายการสอบสวนโรคและมีสิทธิตรวจเชื้อได้ฟรี เป็นนิยามที่แคบ
ต้องมีไข้และอาการแสดงของทางเดินหายใจเป็นหลัก ทำให้จำกัดการตรวจ COVID-19 เฉพาะผู้สงสัยในระดับ 2-3 หมื่นตัวอย่างอยู่นาน
จนเพิ่งขยายนิยามผู้มีสิทธิตรวจ COVID-19 มากขึ้น
แสดงถึงจุดอ่อนในการเข้าใจโรคนี้ว่า ผู้มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการก็ติดเชื้อ
COVID-19 และเผยแพร่ได้
ดังนั้นประวัติการเสี่ยงสัมผัสเชื้อควรจะถือว่าสำคัญยิ่งกว่าไปยืนวัดไข้แล้วอ้างว่าผ่านการคัดกรอง บัดนี้แม้มีการแก้ไขให้นิยามกว้างขึ้น
แต่ก็หลังจากเชื้อแพร่กระจายเสียหายไปโดยใช่ที่ ทั้งเศรษฐกิจและสังคม
และควรอธิบายด้วยว่าปัจจุบันที่แสนกว่า Test นั้น
จำนวนคนยังอยู่ระดับหมื่น อาจไม่ถึงห้าหมื่นคน ไม่ใช่ตรวจแสนกว่าคน
4)
จากการให้นิยามคับแคบเพื่อจำกัดการตรวจหาเชื้อ เท่ากับไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุก
มีแต่ตั้งรับ คัดกรอง ลวก ๆ และถอยหลังพิงฝาโรงพยาบาล
โดยตั้งรับแบบที่ถือเอาความสามารถของโรงพยาบาลเป็นหลัก
ไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุกในการค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้มากที่สุด ณ บริเวณที่สงสัยสัมผัสโรคระบาด
เราเพิ่งเริ่มที่ภูเก็ตและกำลังทำในบางพื้นที่ในกรุงเทพมหานคร แต่ยังไม่เข้มข้นพอ
ถ้ายังไม่มียุทธศาสตร์เชิงรุก ตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อ COVID-19 ให้ดีพอ
คุณจะเอาอะไรไปทำให้ฝ่ายการเมืองยอมเปิดการล็อคเมือง ล็อคผู้คน ล็อคประเทศ
เพราะเขากลัวการติดเชื้อรอบใหม่
5)
การแสดงตัวเลขจำนวนการทดสอบตัวอย่างและผล ตลอดจนรายละเอียดสับสนมาก
จนกระทรวงลบรายงานนี้ออกไป เพราะเมื่อแสดงว่ามีผลรอยืนยันหลายหมื่นตัวอย่าง
สร้างความกังวลให้กับคนที่ติดตามตัวเลข ในที่สุดก็ลบทิ้งจากรายงานทั้งหมดย้อนหลัง
แสดงถึงความเลอะเทอะในข้อมูลและการรายงาน
อีกทั้งต้องให้สาธารณชนเข้าใจว่าการตรวจแสนกว่าตัวอย่าง จริง ๆ
แล้วเป็นจำนวนคนกี่คน เพราะหนึ่งคนส่งตรวจหลายครั้ง หลายตัวอย่าง ที่จริงต้องมีข้อมูลการทดสอบที่ดีและชัดเจนว่าตรวจกี่ราย
ผลบวก ผลลบ และที่รอผลอยู่ จริง ๆ มีเท่าไร? ไม่ใช่มาลบทิ้งเฉย ๆ
6)
ปัญหาการบริหารอุปกรณ์การแพทย์และการป้องกันบุคลากรการแพทย์ให้ปลอดภัย
ควรจะมีการประเมิน ทบทวนและแก้ไข ไม่ใช่ห้ามรายงานว่าขาดแคลน
มีการย้ายคนที่ออกมาปูดเรื่องเหล่านี้
7)
การประเมินสถานการณ์ การวิเคราะห์ และวางแผนการทำงาน
กระทรวงสาธารณสุขควรร่วมกับคณะแพทย์มหาวิทยาลัย, คณะแพทย์โรคทรวงอก,
คณะแพทย์โรคติดเชื้อ และคณะแพทย์โรงพยาบาลเอกชน ไม่ใช่ไปเป็นคนละทางสองทาง
ทำให้ขาดพลังในการเจรจากับฝ่ายรัฐบาลและการเมือง ในการที่ให้สาธารณสุขนำการเมืองในช่วงโรคระบาด
8)
กระทรวงสาธารณสุขและคณะทำงานด้านสาธารณสุขควรถอดบทเรียนสถานการณ์ COVID-19 อย่างจริงจัง ไม่ใช่ชื่นชมด้านบวก ละเลยด้านลบที่มีปัญหาไม่ใช่น้อย
ต้องตรวจสอบถอดบทเรียนอย่างจริงจัง
ใช้วิกฤตเป็นโอกาสในการปรับรื้อโครงสร้างการทำงาน จากรับ/ถอย มาเป็นรุกและรับอย่างมีจังหวะก้าว
ไม่ใช่ปล่อยให้การเมืองนำแบบผิดทิศผิดทาง และต้องรุกเพื่อประชาชน ให้ชีวิตประชาชนและสุขภาพเป็นเป้าหมายหลักในการบริหารประเทศ
นี่คือความมั่นคงแท้จริง ไม่ใช่การปราบปรามผู้เห็นต่างทางการเมือง ดังนั้นต้องมียุทธศาสตร์
ยุทธวิธี ในการรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดไปจนสถานการณ์ปกติ
ประชาชนจะมีสุขภาพที่ดีได้อย่างไร
ผลักดันให้รัฐต้องจัดงบประมาณใหม่ที่เน้นด้านสุขภาพ สิ่งแวดล้อม การศึกษา
เพื่อสร้างคนไทยที่สุขภาพแข็งแรง ไม่ใช่ยืนกุมเป้าขอรับกระผมต่อฝ่ายการเมืองที่เป็นรัฐบาลแต่ละยุค
และจะได้ไม่หลงผิดไปชื่นชมระบอบอื่นที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
เพราะนี่ก็คือบทเรียนเช่นกัน!